พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 441 ยืนยัน (2)
“เจ้าลองคิดดูให้ดี พวกเขาก่อเรื่องใหญ่โตในเมืองหลวงจนถึงหูฮ่องเต้ได้ ตะวันตกเฉียงเหนือเล็กเพียงแค่นี้เหตุใดถึงจะทำไม่ได้”
“ยามนี้เจ้าสงสัยข้า แต่สงสัยข้าแล้วอย่างไรเล่า ข้าเองก็สงสัยเจ้าเหมือนกันว่าจะพาพวกข้าไปตาย!”
โจวเฟิ่งเสียงส่งเสียงถุย ก่อนจะปาสาส์นในมือใส่เจียงเหวินหยวนอย่างเดือดดาล เหล่าแม่ทัพที่อยู่ข้างกายลนลานรีบเข้าไปห้าม
ภายในห้องโถงโกลาหลขึ้นมาในทันใด
สีหน้าของเจียงเหวินหยวนดูไม่สู้ดีนัก
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าพวกพี่น้องเขาเม่าหยวนซานเป็นใครมาจากไหน แต่ใครจะคาดคิดว่าพวกเขาจะร่ำรวยถึงขนาดนี้!
สองแสนก้วน!เงินรางวัลที่ราชสำนักส่งมาให้กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือคราวนี้รวมแล้วยังไม่ถึงสองล้านก้วนด้วยซ้ำ นั่นมันเงินรางวัลจองคนทั้งตะวันตกเฉียงเหนือเชียวนะ แต่พวกเขาแค่เจ็ดคนก็มีเงินปาเข้าไปตั้งสองแสนก้วนแล้ว
ร่ำรวยขนาดนี้แล้วจะมาเป็นทหารเพื่ออะไรกัน!ตั้งใจกลั่นแกล้งเขาหรืออย่างไร
“ใต้เท้าโจว ใต้เท้าเจียง” แม่ทัพผู้หนึ่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากขึ้น “ยามนี้พวกเราอย่าได้สงสัยกันเองเลย ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ใครก็หนีไม่รอดทั้งนั้น ราชทูตเองก็ยังรอพวกเราอยู่ หากให้คำตอบเขาไม่ได้ หากเขากลับไป แค่เรื่องราวที่ได้เห็นวันนี้ก็เพียงพอจะกราบทูลฮ่องเต้ได้แล้ว พอถึงตอนนั้นก็คง…”
ทั้งห้องโถงเงียบสงัดลงในทันใด
นั่นสินะ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือราชทูตผู้นั้น
เพื่อรั้งตัวราชทูตที่ทำทีหุนหันจะกลับเมืองหลวงเสียให้ได้ เมื่อครู่พวกเขาต้องจ่ายค่าน้ำชาเขาไปกว่าหมื่นก้วน
สองแสนก้วน...
ตัวเลขมากมายแวบเข้ามาในหัวของเจียงเหวินหยวน ก่อนจะคำรามเสียงสบถออกมา
เดิมที่คิดว่าแข่งกันด้วยอำนาจ นึกไม่ถึงเลยว่าที่จริงแล้วกำลังแข่งกันด้วยเงินทอง แค่มีเงินก็ควบคุมได้แม้กระทั่งอสูรกายปีศาจ แม้แต่เรือที่ล่มในโคลนตมก็กู้ขึ้นมาได้ เงินทำได้ทุกอย่าง!
“ใต้เท้า เรื่องนี้ว่ากันตามตรงก็เป็นเพราะฟางจ้งเหอนั้นแย่งชิงความดีความชอบของผู้อื่น รายงานเท็จ” แม่ทัพผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “คนมากมายเจ็บหนักหลังศึก เหล่าทหารย่อมต้องการขวัญกำลังใจ แต่เขากับโป้ปดปิดบังความจริง ข้ากับท่านก็เพิ่งรู้ความจริงกันวันนี้”
“เรื่องเป็นเช่นนี้หรอกหรือ” เจียงเหวินหยวนเอ่ย เขาเท้าโต๊ะทำท่าครุ่นคิด
“แล้วจะเป็นเช่นไรได้อีกเล่า หรือจะบอกว่าพวกเราบังคับให้เขาแย่งชิงความดีความชอบผู้อื่น เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งให้เขาอย่างนั้นหรือ” โจวเฟิ่งเสียงเอ่ย
เจียงเหวินหยวนมองเขาไม่เอ่ยคำใด
“ใต้เท้า เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้”
“ใต้เท้าจะปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว”
เหล่าแม่ทัพพากันเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นก็แน่ชัดแล้วว่าเขาเป็นคนกุเรื่องขึ้นมา” เจียงเหวินหยวนเอ่ย
“ยามนี้แล้วท่านยังไม่แน่ชัดอีกหรือ” มีคนถามขึ้นมาในทันใด
หากไม่มีตราประทับของเหล่าขุนนางแม่ทัพในตะวันตกเฉียงเหนือยก็ยังไม่นับว่าแน่ชัด
เจียงเหวินหยวนยกมือค้ำโต๊ะแววตาเหม่อลอย
“ใต้เท้า คนพวกนั้นร้องเรียนเพียงแค่เรื่องของฟางจ้งเหอในตอนนั้น ว่ากันตามตรงแล้วพวกเขาก็แค่คับแค้นใจที่ถูกแม่ทัพละทิ้ง เช่นนั้นแล้วก็แค่คลายความคับแค้นใจของเขาก็พอ” มีคนเอ่ยเสริม
ผู้คนในห้องโถงต่างเห็นด้วย
ดูท่าทางแล้วคงมีเพียงหนทางนี้ ไม่รู้ว่าหากยืดเยื้อต่อไปเรื่องจะบานปลายออกไปแค่ไหน รีบจบลงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่างมากก็ถูกฮ่องเต้ตำหนิแล้วรับโทษละเลยต่อหน้าที่
“พาตัวฟางจ้งเหอมา” เจียงเหวินหยวนเอ่ย “ให้ใต้เท้าราชทูตสอบสวนเขาด้วยตนเอง ฟ้งเขาสารภาพ”
เขาเน้นย้ำคำว่า ‘ด้วยตัวเอง’ แล้ว ‘สารภาพ’
“จับตาดูเขาให้ดีละ อย่าให้เขาหนีไปได้ พอถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะพูดเหลวไหลอันใดอีก” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค
ผู้ติดตามที่อยู่กลางห้องโถงแววตาเป็นประกาย เขาโค้งคำนับขานรับในทันใด
พอเห็นผู้คนที่รวมตัวอยู่หน้าโถงว่าการ ฟางจ้งเหอที่หันหลังวิ่งหนีออกไปก่อนก็ยังออกจากเมืองไปไม่ได้ เหล่าเวรยามประตูเมืองขวางเขาไว้ ไม่ว่าเขาจะยกเหตุผลใดหรืออ้างชื่อใครก็ไม่เป็นผล แถมยังถูกขังอีกต่างหาก
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องมีคนวางแผนไว้แล้วเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นคนที่ประตูเมืองจะขวางเขาไว้ทำไมกัน ก็เห็นกันอยู่ว่าข่าวจากศาลาว่าการยังไม่แพร่ออกมาเสียด้วยซ้ำ!นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทหารผู้น้อยที่ออกไปโวยวายร้องขอเป็นพยานพวกนั้นจะทำได้ ต้องเป็นฝีมือของคนในศาลาว่าการอย่างแน่นอน!
ภายในห้องที่สร้างขึ้นมาอย่างไม่มีพิถีพิถันนักของประตูเมือง ฟางจ้งเหอกัดฟันกรอดขณะถูกจับมัดให้นั่งอยู่บนพื้น
ผู้ใดกัน ผู้ใดกัน
เหตุใดเรื่องถึงกลับกลายเป็นเช่นนี้
เสียงฝีเท้าม้าที่ควบเข้ามาอย่างไวว่องและเสียงพูดคุยดังขึ้น ไม่นานก็มีใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
“ฟางจ้งเหอ ใต้เท้าราชทูตเรียกพบเจ้าไปสอบสวน” คนด้านนอกประตูเอ่ยขึ้น
คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ฟางจ้งเหอหวาดกลัวแต่อย่างใด ทว่ากลับดีใจกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
คิดจะให้รับโทษอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าเองก็อย่าหวังว่าจะรอดพ้น!
ประตูถูกเปิดออก มีคนเดินเข้ามาสองคน
สีหน้าตื่นเต้นดีใจของฟางจ้งเหอหายไปกลายเป็นใบหน้าเรียบเฉย เขามองดูสองคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับเศษผ้าในมือของพวกเขา
“พวกเจ้าจะทำอะไร ข้าจะไปพบท่านราชทูต...”
ทันใดนั้นประตูก็ถูกปิดลง ตัดขาดจากสายตาของคนภายนอก เสียงอู้อี้ดังขึ้นไม่กี่ครั้งก็เงียบหายไป
‘เจ้าจะต้องเสียใจ เจ้าจะต้องเสียใจ’
ยามลมหายใจเฮือกสุดท้ายถูกพ่นออกมา สายตาของฟางจ้งเหอพร่ามัวไปหมด ประโยคหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู
‘ไม่สิ พวกข้าไม่สนว่าท่านจะรายงานตามความเป็นจริงหรือไม่ ใต้เท้าฟาง คุณงามความดีที่ท่านแย่งชิงไปข้าไม่ถือสา ท่านได้ในสิ่งที่ท่านไม่ควรได้ พวกข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พวกข้าต้องการให้ความจริงของพี่น้องของข้าได้ถูกรายงาน รายงานว่าเหล่าพี่น้องของพวกข้าตายไปเพราะปกป้องเมือง เป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง’
‘เจ้าคนแซ่ฟาง เจ้าจะต้องเสียใจ!’
อันที่จริงมาคิดดูแล้วทำเช่นนี้ก็ง่ายดีเหมือนกัน… อย่างน้อยก็ง่ายกว่าเอาชีวิตไปทิ้ง…
ฟางจ้งเหอคอพับก่อนจะแน่นิ่งไป
ตราประทับสีแดงสดทาบทับลงบนสาส์นกราบทูลข้อราชการ โจวเฟิ่งเสียงถอนหายใจออกมา ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก พอหันไปมองรอบกายทุกคนก็มีสีหน้าเช่นเดียวกัน
ข้าหลวงคนหนึ่งชูสาส์นกราบทูลข้อราชการเหนือศีรษะพลางส่งต่อให้กับราชทูตอย่างเบามือ
“ลำบากใต้เท้าแท้ๆ” เจียงเหวินหยวนเอ่ยอย่างละอายใจ “คำให้การของพยานทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว เพียงแต่เจ้าสารเลวฟางจ้งเหอนั่นเกรงกลัวความผิด ชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน”
ราชทูตส่งเสียงฮึดฮัด เพราะเห็นแก่เงินในแขนเสื้อ เรื่องบางเรื่องแม้ทุกคนจะรู้ดีอยู่แก่ใจก็ต้องเก็บไว้ ขันทีหนุ่มน้อยห่อสาส์นและบันทึกคำให้การของพยานด้วยผ้าสีเหลือง จากนั้นทั้งสองก็ควบขึ้นม้าออกไป
เจียงเหวินหยวนเฝ้ามองดูจนลบตาไป ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ทั้งข้าและเจ้าไปเตรียมสาส์นสารภาพผิดกันเถิด” เขาเอ่ย
เหล่าแม่ทัพทั้งหลายขานรับ แค่โทษละเลยในหน้าที่ก็น่าจะหนักพอแล้วกระมัง คงถูกหักเงินเดือนและโดนฝ่าบาทตำหนิไม่กี่คำเท่านั้น
ในที่สุดเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นไปเสียที ทว่าในใจของเจียงเหวินหยวนยังคงคับแค้นไม่หาย เขาสะบัดแขนเสื้อก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในศาลาว่าการ