พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 442 มาแล้ว (2)
วันนี้ยังนับว่าไม่มากสักเท่าไหร่ แต่หากเหลียวกลับไปมองบนโต๊ะก็จะเห็นหนังสือคำร้องกองเป็นพะเนินอยู่
ฮ่องเต้ดูไม่สบอารมณ์นักในยามนี้
“ห้ามคนไม่ให้พูด ก็เหมือนห้ามสายน้ำไม่ให้ไหล” เขาเอ่ย “ในเมื่อเหตุเกิดขึ้นจริง จะห้ามไม่ให้ชาวเมืองพูดอย่างนั้นหรือ”
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าหลูเจิ้งนั่น ปั้นน้ำเป็นตัว หลอกลวงฝ่าบาท จนบ้านเมืองอลหม่าน…” ขุนนางผู้นั้นชอบใจที่ฮ่องเต้ตรัสนัก เพราะนั่นทำให้เขามีข้ออ้างให้พูดต่อ
“เรื่องที่เกิดขึ้นในทัพตะวันตกเฉียงเหนือยังไม่ได้ข้อสรุป ไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดกันแน่ที่ปกปิดเบื้องบน กลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชาจนบ้านเมืองร้อนร้าย” มีคนเอ่ยโต้แย้ง
“การเมืองในกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือย่อมมีคนบงการอยู่เป็นแน่ เฉินเซ่า เจ้าเองก็เป็นขุนนางการเมือง เจ้ารู้ดีว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร แต่เจ้ากลับไม่พูด ทั้งยังใช้เหตุนี้โจมตีศัตรูของตน ไม่ตอนแทนคุณฮ่องเต้ ไม่เห็นแก่ประโยชน์สุขของบ้านเมือง กดดันให้ฝ่าบาทต้องรับสั่งให้ไปตรวจสอบข่าวโคมลอย ปลุกปั่นไพร่ฟ้าประชาชน ที่เจ้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อแก้แค้นศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย” ขุนนางผู้นั้นเดือดดาลขึ้นในทันใด เขาก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้าก่อนจะหันไปโจมตีเฉินเซ่า
เฉินเซ่าที่อยู่ทางปีกข้างของท้องพระโรงสีหน้าเรียบเฉย ขุนนางนั้นขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเรื่องร้องเรียนใดก็ต้องกราบทูลให้ทราบ ไม่อาจแบ่งแยกจริงเท็จ เพราะอย่างนั้นขุนนางเช่นเขา ที่ไม่อาจโต้แย้งคำร้องได้ จึงทำได้เพียงรอให้เรื่องจบแล้วหาทางเล่นงานทีหลัง
เพราะเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว เล่นเอาปั่นปวนไปทั้งเมืองหลวงและราชสำนัก พาลให้เรื่องสำคัญมากมายล้าช้าไป
แววตาของฮ่องเต้ดูเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
เกาหลิงปอเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มบางออกมา เขาส่งสายตาให้ขุนนางในราชสำนักคนหนึ่ง ขุนนางผู้นั้นเข้าใจในทันใดแล้วก้าวเท้าออกมาข้างหน้าในทันที
“ฝ่าบาท ที่วัดไท่ฉางทางตะวันตกของเมืองหลวง เหล่าชาวบ้านกำลังจะสร้างศาลหมอเทวดาไว้ที่ตำหนักไท่อี เคารพบูชาแม่นางเฉิงและคนรอบกายนางเหมือนดั่งตนเป็นลูกศิษย์…” เขาเอ่ย
เมื่อประโยคนั้นถูกเอ่ยออกไปทั้งโถก็โกลาหลขึ้นมาในทันใด ฮ่องเต้เองก็ส่งเสียงเหอะออกมาเพียงหนึ่งคำ แม้จะไม่เอ่ยคำใด แต่เพียงเสียงเหอะนั้นก็ทำให้รู้ว่าทรงกริ้วเพียงใด
“รายงานพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงนั้นดังขึ้นจากหน้าประตูของตำหนัก
“สำนักเสมียนกลางรายงานข่าวด่วนจากตะวันตกเฉียงเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
ตะวันตกเฉียงเหนือ!
เสียงดังโหวกเหวกในตำหนักเงียบสงัดลงในทันใด เหตุใดถึงมาเร็วเพียงนี้ นึกว่าจะยื้อเวลากันสักสิบกว่าวันเสียอีก
“ว่ามา” ฮ่องเต้เอ่ย
ภายใต้สายตาของคนทั้งตำหนักที่จับจ้องมา ฮ่องเต้รับสาส์นที่ประทับตราครั่งและตราประจำตะวันตกเฉียงเหนือจากขันที ก่อนจะเปิดออก เพียงแค่สายตากวาดมอง สีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
สำเร็จแล้ว!
เฉินเซ่าโล่งอกอยู่ในใจ
แต่ใจของคนทั้งตำหนักกลับหล่นวูบ
ดูท่าคงไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่ใช่ว่าจะได้เห็นบ่อยครั้งนักอย่างคนถูกฟ้าผ่าตายแล้วกระมัง… เหล่าขุนนางกว่ากึ่งหนึ่งนึกเสียดายอยู่ในใจ
เจ้าพวกเศษสวะ!เกาหลิงปอนึกเคียดแค้นอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับไม่ได้แสดงออกถึงความเดือดดาลออกมา โชคดีที่หญิงนางนี้เป็นที่เกลียดชังของฮ่องเต้ไปเสียแล้ว ถึงแม้จะมีพยานหลักฐานจากกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ไม่ได้ทำให้รูปการณ์เปลี่ยนไปมากนัก
ไม่นานฮ่องเต้ก็อ่านจบ พออ่านจบก็พับกระดาษลงก่อนจะเบนสายตาไปยังหนังสืออีกฉบับที่อยู่ข้างกัน ก็เห็นลายประทับนิ้วมือสีแดงมากมายบนกระดาษนั้น ทว่ากลับไม่หยิบขึ้นมาดู
“หลีจึเหวิน” เขาเอ่ย
เจ้ากรมขุนนางขานรับแล้วยืนขึ้นในทันใด
“กรมขุนนางตัดสินได้แล้ว” ฮ่องเต้เอ่ย พลางชี้ไปที่สาส์นเบื้องหน้าส่งสัญญาณให้ขันที “อ่านสาสน์”
ฮ่องเต้ถือสาส์นไว้ในมือ ในมือของเกาหลิงปอก็มีสาส์นอีกฉบับ ขันทีมึนงงไม่น้อย
“…ความว่าในยามนั้นฟางเจ้อเหอและลูกน้องร่วมกันคุ้มกันเมืองหนึ่งชั่วยาม แต่กลับกลายเป็นว่ายังไม่ทันถึงเวลาเขาก็ถอนตัวออกไปเสียก่อน เหลือเพียงพี่น้องเขาเม่าหยวนซานที่คอยคุ้มกันเมืองท่ามกลางความยากลำบาก...” เกาหลิงปอเอ่ยเสียงแผ่ว อธิบายกับฮ่องเต้
เฉินเซ่าที่อยู่อีกฝั่งแค่นยิ้มออกมา
“ใต้เท้าเกา ยังไม่ทันถึงเวลาแล้วถอนตัวออกไปเสียก่อนนั้นหมายความว่าอย่างไรหรือ” เขาเอา “เรียกว่ากลัวศึกจึงหนีสงครามไม่ใช่หรือ”
“จะเรียกว่ากลัวศึกจึงหนีสงครามได้อย่างไร หากเขากลัวศึกก็คงออกคำสั่งให้ถอนทัพแต่แรกแล้วสิ” เกาหลิงปอก็แสยะยิ้มเอ่ย “เดิมทีกำลังของข้าศึกก็มากกว่าโขอยู่แล้ว เหตุใดต้องเอาชีวิตไปทิ้งในสงครามด้วย”
“เหตุใดต้องเขาชีวิตไปทิ้งในสงครามอย่างนั้นหรือ หากกำลังข้าศึกมากกว่าก็ควรละทิ้งบ้านเมืองเสียอย่างนั้นหรือ ใต้เท้าเกา ท่านพูดอะไรอยู่ เหล่าแม่ทัพตะวันตกเฉียงเหนือได้ยินเช่นนี้คงเศร้าใจนัก” เฉินเซ่าเอ่ยพลางยิ้มเย็น
เจ้ากรมขุนนางที่ยืนอยู่กลางตำหนักกระแอมเสียงดัง ทุกคนจึงหยุดพูด ก่อนจะเห็นว่าขันทีจากด้านนอกกำลังพาตัวแม่นางเฉิงมากจากตำหนักปีกข้างเข้ามา
เกาหลิงปอและเฉินเซ่าสบตากันก่อนจะเบือนหน้าหนี ไม่มีผู้ใดพูดคำใด
ยามเห็นแม่นางน้อยผู้นี้คุกเขาถวายบังคบบนพื้น สีหน้าของฮ่องเต้เองก็ดูไม่สบอารมณ์นัก ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยว แต่ไม่นานก็ถูกสกัดกั้นไว้
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทนักที่ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน” เฉิงเจียวเหนียงจรดหัวลงกับพื้นแล้วเอ่ยขึ้น
เจ้ากรมขุนนางเล่าเรื่องทั้งหมด
“รางวัลที่เหล่าพี่ชายของเจ้าจะได้รับให้เจ้ากรมเป็นผู้ตัดสิน” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ
เฉิงเจียวเหนียงถวายบังคมลาอีกครั้ง
ภายในตำหนักเงียบสงัด ไม่เสียงพูดเอ่ยคำพูดปลอบโยนให้คลายกังวลเหมือนเคย ดูท่าทางฮ่องเต้เองก็ไม่อยากจะเสแสร้งอีกต่อไป ในใจนั้นเกลียดแสนเกลียดเรื่องนี้เป็นยิ่งนัก
เกาหลิงปอแค่นหัวเราะ ทำร้ายผู้ใดก็ไม่ได้ ส่วนตนเองก็ไม่ได้ประโยชน์ใด แม้จะได้ชื่อเสียงจอมปลอมนั่นไปแล้วจะมีความหมายอันใด รนหาที่ตายเองทั้งนั้น!
“ออกไปเถิด” ฮ่องเต้ไม่เอ่ยคำใดต่อดังคาด
เฉิงเจียวเหนียงคำนับแล้วลุกยืนขึ้น
“แม่นางแซ่เฉิง” ฮ่องเต้เอ่ยรั้งนาง
เฉิงเจียวเหนียงคุกเข่าลงอีกครั้ง
“เจ้าทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใดกันแน่” ฮ่องเต้ถาม
“กระหม่อมเคยบอกแล้ว มิได้ทำคุณูปการแต่ยังได้ความดีความชอบ แล้วเหตุใดผู้ทำคุณูปการจะทวงคืนความดีความชอบบ้างมิได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “กระหม่อมคิดว่าการทวงคืนไม่ใช่เรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด”
ฮ่องเต้จ้องมองไปยังนางก่อนจะโบกมือไล่
ขันทีรุดเข้าไปตักเตือนนาง เฉิงเจียวเหนียงคำนับอีกหนแล้วออกจากตำหนักไป ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นเหล่าขุนนางที่พากันกรูเข้าไป
“…ราชเลขาและเจ้ากรมขุนนางก็ปรึกษากันแล้วจัดการต่อเถิด แต่ว่าอย่าคิดว่าฟางจ้งเหอตายไปแล้วเรื่องจะจบ ยังมีเจียงเหวินหยวน ยังมีโจวเฟิ่งเสียง ให้พวกเขาเขียนหนังสารภาพผิดมาเสีย ลงโทษตัดเงินเดือนพวกเขา…” ฮ่องเต้เอ่ยหน้ำดำคร่ำเครียด
ขณะที่คนด้านล่างบัลลังก์กำลังจะขานรับ ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาก่อน
“ฝ่าบาท ผู้ตรวจการแห่งทัพตะวันตกเฉียงเหนือโจวเฟิ่งเสียงมีหนังสือสารผิดมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเซ่าเอ่ย พลางก้มหัวยื่นสาส์นให้
เกาหลิงปอชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา
เร็วกว่าคนอื่นแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ว่ายอมรับว่าตนละเลยในหน้าที่อย่างนั้นหรอกหรือ
ยามนี้ฝ่าบาทยิ่งรู้สึกเหลือทนกับเรื่องป้อมหลินกวานอยู่ด้วย เล่นบทฉลาดแกมโกงเช่นนี้เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
สีหน้าของฮ่องเต้ขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิมดังที่คาดไว้ เขาไม่เอ่ยแม้สักคำก็โบกมือส่งสัญญาณให้ขันที ขันทีจคงรีบยื่นมือออกไปรับแล้วทูนหัวมอบให้
ฮ่องเต้นเปิดสาส์นออก เพียงแค่อ่านบรรทัดแรก สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด
สีหน้าเปลี่ยนไปมากยิ่งกว่ายามที่อ่านสาส์นจากกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อครู่เสียอีก เหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดล้วนแต่เห็นว่ามือของฝ่าบาทที่สาส์นอยู่กำลังสั่นเครือ
เกิดเรื่องอันใดขึ้น เห็นหนังสือสารภาพผิดแล้วเห็นใดถึงได้โมโหถึงเพียงนี้
แววตาของเกาหลิงปอฉายแววความสงสัย สายตาก็เหลือบมองไปทางเฉินเซ่าอย่างอดไม่ได้ ทว่าสีหน้าของเฉินเซ่าช่างเรียบเฉยจนเดาไม่ออก
ภายในตำหนักใหญ่โตนั้นเงียบสงัด ฮ่องเต้อ่านสาส์นนี้นานกว่าฉบับเมื่อครู่นัก ยิ่งเวลาผ่านไป บรรยากาศภายในก็ยิ่งกดดันมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นขันทีหรือเหล่าขุนนาง ต่างสัมผัสได้ถึงอารมณ์อันคุกรุ่นของฮ่องเต้
นั่นกำลัง…โมโห…
โมโหใช่หรือไม่
เมื่อครู่ตอนที่ได้ฟังเรื่องป้อมหลินกวาน ฮ่องเต้ก็เหนื่อยหน่าที่จะฟัง ถึงจะโมโหเพราะโจวเฟิ่งเสียงจะอวดฉลาดเล่นละครตบตาส่งหนังสือสารภาพผิดมาเพื่อแก้ตัว ก็ควรจะแค่นหัวเราะประชดประชันมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้ฉุนเฉียวถึงเพียงนี้
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“สารเลว!กล้าหลอกเราอย่างนั้นหรือ”
เสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดดังลั่นไปทั่วทั้งตำหนัก แม้ประตูปิดอยู่แต่ขันทีที่กำลังก้าวลงบันไดก็ถึงกับชะงักไปด้วยความตกใจ ก่อนจะเหลียวกลับมาในทันใด
หลายปีมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้เดือดดาลถึงเพียงนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน
เสียงกระแอมของหญิงสาวดึงขึ้นข้างใบหู เรียกสติเหมอลอยของขันทีให้กลับมา สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หญิงสาว สีหน้าของนางยังคงนิ่งเรียบดังเดิม เพียงแต่แววตานั้นกำลังเอ่ยเตือนเขาอยู่
แม้แต่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ นางยังไม่กลัว ได้เห็นฮ่องเต้เกรี้ยวโกรธถึงเพียงนี้นางก็ยังไม่กลัว แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ขันทีเหลียวกลับมาแล้วก้าวลงบันไดต่อ เสียงพูดคุยลอดออกมาจากบานประตูที่ปิดสนิท ทว่าได้ยินเพียงแค่รำไร และเขาเองก็ไม่กล้าฟังด้วย
ก็อย่างว่าแหละหนา มิทำคุณูปการยังได้รับความดีความชอบ เหตุใดผู้ทำคุณูปการจะเรียกร้องความดีความชอบบ้างมิได้
เฉิงเจียวเหนียงเยื้องย่ามตามหลังขันทีไปตามเส้นทางสลับซับช้อนของวังหลวง ด้านหลังเองก็มีเหล่าขันทีกำลังลนลานวิ่งไปยังสำนักราชเลขาและสำนักอื่นๆ