พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 445 โปรดบอก (1)
ช่วยข้าอย่างนั้นหรือ
เฉินเซ่าชะงักไป
“ว่ากันตามตรง อันที่จริงแม่นางก็ช่วยข้าอยู่ตลอด” เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“มิใช่หรอก ใต้เท้าคิดมากเกินไป แต่ก่อนข้าไม่เคยมีความคิดจะช่วยผู้ใดอยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าเอ่ย “ข้าเพียงแค่ลงมือทำเรื่องของตนเองก็เท่านั้น”
ส่วนผู้ใดจะได้ประโยชน์ นางไม่เคยสนใจ
นี่ขนาดไม่ได้มีความคิดจะช่วยผู้ใดยังช่วยคนได้มากมายเช่นนี้ หากนางทุ่มกายใจช่วยผู้ใดขึ้นมาจะเป็นเช่นไรหนอ
เฉินเซ่ามองนาง จะว่าไปก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่เหมือนกัน หญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาในยามนี้ รุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของเขา แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวมากมายที่เคยเกิดขึ้น กลับไม่อาจมองนางด้วยสายตาเดียวกันกับที่ใช้มองลูกหลาน
“เช่นนั้นก็ขอบคุณแม่นางยิ่งนัก แม่นางมีเรื่องอันใดก็ว่ามาได้เลย” เขาเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขึ้นนี้แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องรู้ผลแพ้ชนะสักที จะปล่อยให้เหมือนคราวก่อนที่ถูกฮ่องเต้ใช้กลอุบายถ่วงดุลไกล่เกลี่ยได้อีก ต้องตัดคนผู้นั้นให้ขาดจากกิจการทหารกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือให้ได้
ไม่เช่นนั้นการเดิมพันด้วยชีวิตโจวเฟิ่งเสียงจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าสนุกปาก!
“เรื่องรางวัลของบรรดาท่านพี่ข้า อย่าได้ยื้อเอาไว้เลย ได้โปรดสั่งการโดยเร็วด้วยเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เฉินเซ่าชะงักไป ว่าอย่างไร
รางวัลอย่างนั้นหรือ
นี่พวกเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วหรือ
“แม่นางพูดถึงรางวัลจากคุณงามความดีที่ทำไว้หรือ” เขาถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“รางวัล เรื่องนี้ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งแล้วหรอกหรือ เช่นนั้นก็อย่าได้ยื้อเวลาต่อไปเลย” นางเอ่ย
เช่นนั้นก็คงต้องช่วยนางไปก่อน อย่างอื่นไว้ว่ากันที่หลังก็แล้วกัน
เฉินเซ่าพยักหน้าอย่างโล่งอก เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว นางสมควรได้รับมัน แม้คราวนี้จะก่อเรื่องวุ่นวายไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหา
“ได้” เขาพยักหน้า
เฉินตันเหนียงที่ยืนอยู่เริ่มอดรนทนไม่ไหวแล้ว
“แม่นางสิบแปด ข้าจะไปหาท่านแม่แล้วนะ” นางเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดรีบรั้งนางไว้
“รออีกประเดี๋ยว สักพักก็คงออกมาแล้ว นั่นแม่นางเฉิงเชียวนะ” นางเอ่ย
เฉินตันเหนียงสะบัดมือออก
“ข้าไม่ได้รู้จักนางเสียหน่อย แม่นางสิบแปด เจ้าอยากเจอก็รอไปคนเดียวสิ กลัวอะไรเล่า!” นางเอ่ยแล้วหันหลังวิ่งหนีไป
แม่นางเฉินสิบแปดรีบเอื้อมมือออกไปคว้านางไว้
“เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าน่ะหรือจะกลัว ยืนให้มันนิ่งๆ หน่อย แต่ก่อนแม่นางเฉิงเอ็นดูเจ้าที่สุดแล้ว นางมาทั้งทีก็ไปพบหน้ากันเสียหน่อย…” นางเอ่ย
ขณะที่สองพี่น้องกำลังยุดยื้อกันไปมา เสียงฝีเท้าจากอีกฟากก็ดังขึ้น
“แม่นาง” แม่นมตะโกนเรียก
แม่นางเฉินสิบแปดและเฉินตันเหนียงชะงักไปก่อนจะหันหลังกลับ ก็เห็นแม่นมกำลังเดินนำหญิงสาวนางหนึ่งและสาวใช้ออกไป
ชุดกระโปรงสีล้วน เสื้อคลุมสีล้วน เส้นผมที่ถูกหวีรวบสูงขึ้นประดับด้วยปิ่นไม้ ด้านข้างมีหวีเงินเสียบอยู่ ใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมาถึงสองปีช่างดูไม่คุ้นเคยเสียเลย ทว่าไม่นานก็ซ้อนทับกับภาพในความทรงจำ
“แม่นางเฉิง” แม่นางเฉินสิบแปดคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางเฉินสิบแปด” ปั้นฉินเองก็ยิ้มแล้วคำนับให้
“แม่นาง…” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มเอ่ย นางอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่จู่ๆ ก็ลืมไปชั่วขณะ “ข้า… ไปนั่งที่เรือนข้าก่อนดีหรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงไม่เอ่ยคำใด เฉินตันเหนียงที่เอาแต่เอียงคอมองนางก็ก้าวเข้ามา
“ท่านคือแม่นางเฉิงหรือ” นางถาม
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองนานแล้วยิ้มบาง
“เจ้าคือเฉินตันเหนียงหรือ” นางถาม
“ใช่แล้ว ท่านรู้จักข้าหรือ” เฉินตันเหนียงถามพลางส่ายหน้า “แต่ข้าไม่รู้จักท่าน”
แม่นางเฉินสิบแปดรีบเอื้อมมือไปสะกิดนาง
“ตันเหนียง” นางเอ็ด
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มให้อีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ไว้ค่อยรู้จักกันใหม่ก็ย่อมได้” นางเอ่ยพลางคำนับให้ “ข้าคือเฉิงเจียวเหนียง”
เฉินตันเหนียงยิ้มแล้วก้าวมาข้างหน้า
“ข้าคือเฉินตันเหนียง” นางเอ่ยพลางยกชายกระโปรงขึ้นแล้วย่อเข่าคำนับ
พอเห็นท่าทางของทั้งสอง แม่นางเฉินสิบแปดก็เผลอยิ้มออกมา เหล่าแม่นมที่อยู่ข้างกันก็หัวเราะเช่นเดียวกัน
“…แม่นางผู้นี้ยังคงคุยกันถูกคอกับเด็กๆ เหมือนเคย” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
พอพูดคุยหัวเราะกันไปได้สักพัก ความอึดอัดจากความห่างเหินเมื่อครู่ก็จางหายไปในบัดดล
“อืม ข้ามานึกดูดีๆ แล้ว เริ่มนึกออกแล้วล่ะ” เฉิงตันเหนียงเอียงคอเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“แม่นางเฉิง ข้าตั้งใจมารอท่านที่นี่ พวกเราไปคุยกันที่เรือนเถิด” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
“คงมิได้ วันนี้ข้ามีธุระ ไว้คราวหลังเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
นางกำลังบ่ายเบี่ยง หรือว่าหลบเลี่ยง หรือว่า…
ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวของแม่นางเฉินสิบแปด ทว่าพริบตาเดียวสติก็กลับคืนมา มองดูเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังฟังเฉินตันเหนียงพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ ก็นึกหัวเราะเยาะตนเองออกมาอดไม่ได้
เฉิงเจียวเหนียวคำนับให้ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป
“แม่นางเฉิง” แม่นางเฉินสิบแปดตามมาอย่างรีบร้อน “ข้าจะไปส่งท่าน”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า
แม้จะไม่ได้พบหน้ากันกว่าสองปี แต่ความจริงแล้วไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย แม่นางเฉิงยังคงไม่ชอบพูดจา แต่ก็มีอีกคนที่ยังช่างพูดเหมือนเดิม
“ข้าไม่ได้สนิทสนมกับแม่นาง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับแม่นาง” เฉินตันเหนียงเอ่ย
“ข้าก็เช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้
แววตาของเฉินตันเหนียงเป็นประกายขึ้นมาในทันที
เหล่าแม่นมที่ยืนรายล้อมหน้าหลังก็เผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง
แม่นางผู้นี้หยอกล้อกับเด็กเก่งนัก
“แต่ข้าคิดว่าพวกเราคงมีอะไรให้พูดคุยกันได้บ้าง” เฉินตันเหนียงเดินตามนาง พลางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ที่จริงแล้วก็ง่ายมาก อยากพูดสิ่งใดก็พูดออกมา” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
พอเห็นเด็กกับผู้ใหญ่คุยกันอย่างสนุกสนาน แม่นางเฉินสิบแปดก็ถอยออกมา
“ไม่คุ้ยเคยอันใดกัน เช่นนี้ก็เหมือนกับแต่ก่อนไม่ใช่หรือ” นางเอ่ยพลางส่ายหน้า
รถม้าจอดรออยู่หน้าประตูตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ปั้นฉินประคองเฉิงเจียวเหนียงขึ้นรถ
แม่นางเฉินสิบแปดที่เงียบมาตลอดก็ก้าวเข้ามาใกล้
“แม่นางเฉิง” นางเอ่ย “จะต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน”
“ใช่ จะต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
มองดูรถม้าเคลื่อนออกไป แม่นางเฉินสิบแปดก็ยังไม่อาจวางใจ พาเฉินตันเหนียงที่เดินกระโดดโลนเต้นออกไปก็มาถึงเรือนของท่านปู่ ทว่ากลับพบว่าท่านพ่อเองก็อยู่ที่นี่
“ท่านพ่อ แม่นางเฉิงมาขอความช่วยเหลือจากท่านหรือ” นางเอ่ยถามในทันใด ไม่รอให้เฉินเซ่าตอบก็อ้อนวอนต่อในทันที “ท่านพ่อ ได้โปรดช่วยนางด้วยเถิด”
เฉินเซ่าได้ยินเช่นนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา ทว่าเสียงหัวเราะกลับฟังดูแปลกหูนัก
“นางมาช่วยข้าต่างหาก” เขาเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดชะงักไป นึกว่าตนเองหูฟาด
“ช่วยท่านพ่อหรือเจ้าคะ” นางถาม “ช่วยท่านพ่อเรื่องอันใดกัน”
แจกจ่ายรางวัลให้แก่พี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานน่ะสิ
เฉินเซ่าพูดอยู่ในใจ ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกลูกสาว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้นางเข้าใจ
ยามนี้ใครช่วยใครกันแน่
“นางกำลังช่วยเจ้า” นายใหญ่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น จ้องมองเฉินเซ่าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “บางทีการให้ผู้อื่นช่วยเหลือเจ้า อาจจะเป็นประโยชน์ที่สุดแก่เจ้าก็เป็นได้”
ให้ผู้อื่นช่วยเหลือเป็นประโยชน์ที่สุดหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน
แม่นางเฉินสิบแปดเหลียวไปมองท่านพ่อ ก็เห็นท่านพ่อพยักหน้ารับด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง
หากแม้แต่จะช่วยยังไม่ได้เลยสักนิด เช่นนั้นก็คงถึงคราวตัดขาดกันแล้วกระมัง
…
“นั่นคือสิ่งใดกัน”
ภายในตำหนักว่าราชการ ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นสาส์นที่เฉินเซ่ายื่นให้
“รางวัลของเหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนซานทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเซ่าเอ่ย
พอได้ยินดังนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องกับองค์ชายใหญ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างก็เหลียวมองมา องค์ชายใหญ่นั้นท่าทางดูตกใจอย่างไม่อาจปกปิด
เหตุใดเขาถึงกราบทูลเรื่องนี้ในยามนี้
ใบหน้าของฮ่องเต้เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะวางสาส์นลงบนโต๊ะ
“เรารู้แล้ว” เขาเอ่ย
ทว่าเฉินเซ่ายังคงไม่คำนับลา
“ฝ่าบาท สำนักราชเลขาได้พิจารณาแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยให้ความเห็นชอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
“เหตุใดเจ้าถึงรีบร้อนเพียงนี้”
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตะเบ็งเสียงขึ้น
“รีบร้อนตอบแทนผู้มีพระคุณ จะรอสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ”
ทั้งตำหนักเงียบสงัด พอเห็นฮ่องเต้ฉุนเฉียวขึ้นมา จิ้นอันจวิ้นอ๋องและองค์ชายใหญ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างก็ลุกยืนขึ้นในทันใด
“ฝ่าบาท หลังจากที่แม่นางเฉิงรักษาอาการป่วยของท่านพ่อกระหม่อม ก็ได้รับเรือนหลังหนึ่งเป็นค่าตอบแทน” สีหน้าของเฉินเซ่าเรียบเฉย ไม่ได้ตอบคำถามของฮ่องเต้ ทั้งยังไม่เอ่ยปากรับผิดแต่อย่างใด
“เช่นนั้นแปลว่าเจ้าไม่ได้มีบุญคุณติดค้างกับนางอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ
“กระหม่อมเองก็ไม่คิดเช่นนั้น แต่แม่นางเฉิงเป็นคนพูดเช่นนั้นเอง” เฉินเซ่าเอ่ย “นางบอกว่า นางเป็นหมอช่วยชีวิตคน ข้าเป็นคนป่วยก็ต้องจ่ายค่ารักษา เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน เช่นนั้นแล้ว นางไม่ติดค้างอันใดกับกระหม่อม กระหม่อมเองก็ไม่ติดค้างอันใดกับนาง”
ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอีกครั้ง
“แม้แม่นางน้อยผู้นั้นจะพูดเช่นนั้น แต่เจ้าคิดว่าไม่ถูกทำนองคลองธรรมใช่หรือไม่” เขาถามประชดประชัน
เฉินเซ่ายิ้มแล้วพยักหน้า
“ไม่ถูกทำนองคลองธรรม ทั้งยังน่าสงสารด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
น่าสงสารอย่างนั้นหรือ ฮ่องเต้แค่นหัวเราะไม่เอ่ยคำใด
“หากไม่ใช่เพราะสิ้นหวังจนไร้หนทางแล้ว นางก็คงไม่กลายเป็นคนที่ไม่เชื่อใจผู้ใด ไม่พึ่งพาผู้ใดเช่นนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
มนุษย์โลกนั้นต่างก็รู้ดีเพียงแต่ไม่อาจปล่อยวางได้ หากต้องการปล่อยวางอย่างแท้จริง ย่อมต้องมองโลกให้ออกอย่างถ่องแท้
จิ้นอันจวิ้นอ่องหลุบตาลง
“ฝ่าบาทเองก็รู้ดี ว่าแม่นางเฉิงผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร” เฉินเซ่าพูดต่อ “สติไม่สมประกอบแต่กำเนิด ถูกทอดทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า แม่ตายจาก พ่อไม่เหลียวแล ญาติพี่น้องรังเกียจ แม้จะมีบ้านแต่ไม่มีญาติพี่น้อง”
“คนน่าสงสารบนโลกนี้มีถมไป จะเอาความน่าสงสารมาเป็น… เหตุผลไม่ได้” ฮ่องเต้เอ่ย “แม้เจ้าจะทดแทนบุญคุณ แต่จะทำผิดกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้”
เฉินเซ่าขานรับ
“กระหม่อมก็เห็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้คิดว่าตนนั้นไม่ติดค้างอันใดกับนางแล้ว จึงอยากจะตอบแทนคุณมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะยากเย็นเพียงนี้” เขาเอ่ยพลางหัวเราะเย้นหยันตัวเอง
ฮ่องเต้สีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ยี่หระใดๆ แต่ก็ไม่ได้ห้ามเขาพูดต่อ
“กรณีทหารหนีทัพเมื่อสองปีก่อน นางมาขอร้องให้กระหม่อมช่วยเหลือเป็นคนแรก” เฉินเซ่าพูดต่อ พูดถึงเพียงเท่านั้นก็ทอดถอนใจพลางยิ้มอย่างขมขื่นออกมา “เพียงแต่ฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจช่วยนางได้”
เรื่องเมื่อสองปีก่อนฮ่องเต้นั้นลืมไปเสียหมดแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขานึกขึ้นมาได้ ฮ่องเต้พยักหน้า ในตอนนั้นเฉินเซ่าไม่ได้ช่วยนางดังที่ว่าจริงๆ
“กลับกันกระหม่อมบอกกับนางว่ากฎหมายบ้านเมืองหรือข้อบังคับของทหารล้วนแต่ไม่อาจฝ่าฝืนได้ แม้ยามนั้นท้ายที่สุดฝ่าบาทจะตัดสินเช่นนั้น แต่จนถึงบัดนี้ กระหม่อมก็ยังเห็นว่าหนีทหารอย่างไรก็ต้องโทษประหาร” เฉินเซ่าเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม