พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 447 ธนูคันหนึ่ง (1)
ชายผู้หนึ่งเดินฝ่าฝูงชนมายืนอยู่หน้าประตูเมือง เหล่าชาวเมืองและขุนนางนับร้อยด้านล่างไม่ได้ใส่ใจเขา แต่ฮ่องเต้และสมาชิกแห่งราชสำนักที่อยู่บนกำแพงเมืองนั้นสังเกตเห็น
แม่นางเฉินสิบแปดที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงป๋อหยางได้ยินคำสามพยางค์ว่าเม่าหยวนซานก็ตกใจจนต้องเหลียวไปมอง
ชายผู้นั้นช่างดูแสนธรรมดา เรียกได้ว่ามอซอเสียด้วยซ้ำ
เพื่อคนเช่นนี้น่ะหรือ แม่นางผู้นั้นถึงต้องก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ทั้งยังมิวายโดนหางเลขไปด้วย
ฟ่านเจียงหลินคุกเข่าลงต่อหน้าโอรสแห่งสวรรค์แล้วถวายบังคม ราวกับรู้ว่าฮ่องเต้ไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับเขา พอถวายบังคมเสร็จเขาจึงเอ่ยเข้าประเด็นในทันใด
“ข้าน้อยขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา ผู้ภักดีที่ตายเพราะปกป้องเมืองย่อมไม่ตามอย่างสูญเปล่า” เขาเอ่ยเสียงกึกก้อง
แน่นอนสิ ชีวิตพวกเจ้ามีค่านักหรืออย่างไร ตายไม่ได้เชียวหรือ
ฮ่องเต้แค่นหัวเราะอยู่ในใจ แต่เพราะตนเป็นโอรสแห่งสวรรค์จะชักสีหน้าใส่ชาวเมืองตัวกระจ้อยก็คงไม่ใช่เรื่อง เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าแล้วยิ้มบาง
เหล่าขันทีส่งสัญญาณให้ฟ่านเจียงหลินที่ก้มหัวจรดพื้นอยู่ลุกออกไป ทว่าฟ่านเจียงหลินกลับไม่ยอมขยับไปไหน
“ฝ่าบาท ข้าน้อยร่างกายพิการไม่อาจร่วมศึกฆ่าศัตรูด้วยตัวเองเพื่อพระองค์ได้ เพราะอย่างนั้นข้าน้อยจะขอมอบของสิ่งหนึ่งให้แก่พระองค์ เพื่อปราบศัตรูแทนข้าน้อย เพื่อพระองค์แสดงแสนยานุภาพของพระองค์”
พอหันไปมองก็เห็นสองมือของฟ่านเจียงหลินนั้นว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเขาจะมอบสิ่งใดให้ กลอนถวายพระพรอย่างนั้นหรือ หรือว่าคาถาของแม่นางหมอเทวดา หรือว่ายาที่จะทำให้เป็นอมตะ
ฮ่องเต้ไม่ยินดียินร้าย เย้ยหยันอยู่ในใจ
“เอาออกมาสิ” เขาเอ่ย
“ข้าน้อยขอมอบอาวุธร้ายชิ้นหนึ่งให้แก่พระองค์ หากยังไม่ได้รับอนุญาต ข้ามิบังอาจนำออกมาได้”
ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
อาวุธร้ายอย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้นคนที่อยู่ที่นั้นก็พากันถกเถียงขึ้นมา ส่วนภายในหัวของฮ่องเต้ก็ผุดคำสามพยางว่าเกือกม้าเหล็กขึ้นมา…
“อาวุธร้ายอันใดกัน” เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถาม
“ธนูพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
เมื่อคำนั้นเอ่ยออกไปทุกคน ณ ที่นั้นก็แสยะยิ้มออกมา บางคนถึงขนาดหัวเราะออกเสียง
“ไม่รู้ว่าธนูนี้มียอมฝีมือคนใดใช้มาก่อน”
“ไม่ใช่หรอก น่าจะเป็นเทพเซียนใช้ต่างหาก”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากด้านหลัง
สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงเรียบเฉยดังเดิม
“ธนูของข้าน้อยนั้นพลังร้ายแรงกว่าธนูจ้งหนู่สิบเท่า” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
พลังร้ายแรงกว่าธนูจ้งหนู่สิบเท่าอย่างนั้นหรือ!
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นมาในทันใด ทว่าเขายังพูดไม่จบ
“ธนูของข้าน้อย ยิงได้ไกลสามร้อยสิบสี่ก้าว ทะลุต้นอวี๋ได้ครึ่งลำต้น ยิงทะลุเกราะเหล็กได้ในระยะเจ็ดสิบเก้า” ฟ่านเจียงหลินพูดต่อ
เขาคุกเข่าหลังตรงสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้พูดจาอึกอักเพราะอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ทั้งยังไม่มีท่าทีหวาดกลัวเพราะความเสียงโกลาหลแตกตื่นรอบด้าน
“ฟ่านเจียงหลินเจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองพูดอะไรอยู่” สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มแปรเปลี่ยนไป มองดูไพร่ฟ้าต้อยต่ำเบื้องหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้น
อาวุธร้ายแรงที่กองทัพใช้อยู่ทุกวันนี้คือธนูจ้งหนู่ ใช้ทั้งรับและโจมตี หากเป็นธนูที่อานุภาพร้ายแรงยิ่งกว่าธนูจ้งหนู่ ทั้งยังร้ายแรงกว่าถึงสิบเท่า ธนูนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไรกันนะ โอ้อวดเกินไปหรือเปล่า
“ฝ่าบาทสามารถพิสูจน์ได้พ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
ฮ่องเต้มองเขา
ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา เราไม่ได้ต้องการให้เจ้าขายหน้าต่อหน้าชาวเมืองหรอกนะ
“ได้” เขาเอ่ยขึ้น
หากเป็นจริงเช่นนั้นละก็…
ยิงได้ไกลสามร้อยสิบสี่ก้าว ทะลุต้นอวี๋ได้ครึ่งลำต้น ยิงทะลุเกราะเหล็กได้ในระยะเจ็ดสิบเก้า…
แม้ร่างกายจะป่วยออดแอดมาตลอด ทั้งยังไม่ได้หนุ่มแน่น แต่หากว่าด้วยใจของนับรบแล้ว ฮ่องเต้นั้นห้าวหาญยิ่งนัก ยามเป็นหนุ่มยังถูกเหล่าขุนนางอามาตย์ตำหนิอยู่บ่อยครั้ง
ได้ยินฟ่านเจียงหลินพูดเช่นนั้น ในใจของฮ่องเต้ก็จินตนาการไปแล้วว่าธนูนั้นจะน่ากลัวและร้ายแรงมากเพียงใด
หากเป็นเช่นนั้นจริง
นั่นคืออาวุธทำลายล้างเลยก็ว่าได้
หากเป็นเช่นนั้นจริง…
ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นก็เห็นเหล่าขันทีและองครักษ์สั่งการต่อเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นอาวุธร้ายแรง จึงไม่อาจนำเข้ามาในเขตวังหลวงได้ แม้จะผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังมาไม่ถึง
ในที่สุดเหล่าชาวเมืองก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่บนกำแพงเมืองแล้ว พวกเขาพากันถามไถ่ เพราะเห็นขันทีประกาศราชโองการผ่านไป พอทุกคนรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทันใดนั้นก็โกลาหลกันขึ้นมา
“ยังไม่ถึงฤดูชมสวนของฮ่องเต้ยามเดือนสาม พวกเราก็จะได้เห็นการแสดงของทหารม้ารักษาพระองค์แล้วหรือนี่”
เหล่าชาวเมืองพากันถกเถียงไม่หยุด พวกเขาไม่รู้ว่าธนูที่กำลังจะถูกทดสอบนั้นได้มีคำอวดอ้างสรรพคุณอย่างไรบ้าง เพียงแค่มุงดูอย่างครื้นเครงก็เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว
“มาแล้ว มาแล้ว!”
ท่ามกลางความคึกครื้นนั้น ขันทีนายหนึ่งพร้อมกับขบวนทหารรักษาพระองค์ติดอาวุธสีหน้าเคร่งขรึมกำลังเดินนำชายหนุ่มคนหนึ่งเขามา
ชายหนุ่มผู้นั้นสวมชุดศึก ในมือถือธนูคันหนึ่ง ท่าทางดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก
ทันใดนั้นฝูงชนก็พากันแหวกทางให้ ท่านชายหกจึงกลายเป็นจุดสนใจของสาวน้อยมากหน้าหลายตา บ้างก็โยนถุงบุหงาให้ ราวกับกำลังต้อนรับขบวนการแสดงของทหารม้ารักษาพระองค์ในยามเดือนสามมิปาน
เสียงครื้นเครงตลอดทางเงียบสงัดลงเมือมาถึงเหล่าขุนนาง บรรดาลูกสาวตระกูลขุนนางไม่อาจแก่นแก้วได้เหมือนหญิงสาวชาวเมือง ท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวกนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น
คนจากตระกูลใดกันเหตุใดถึงได้ไร้มารยาทเพียงนี้
ทุกคนพากันขมวดคิ้วเหลียวมอง
“ชายหก!นั่นชายหกใช่หรือไม่” แม่นางน้อยตระกูลโจวผู้หนึ่งร้องตะโกนขึ้น ยื่นมือชี้ออกไปยังชายหนุ่มที่ก้าวเดินอย่างอาจหาญอยู่กลางถนน
ฮูหยินโจวยกมือกุมอกหอบหายใจถี่รัว ราวกับจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ
“เขาบอกว่าวันนี้จะไม่ออกไปไหนไม่ใช่หรือ ไม่ใช่…ไม่ใช่แค่ออกจากเรือน แต่ยังวิ่งโร่มาอยู่หน้าฝ่าบาทอีกต่างหาก”
“เขาจะทำอะไรน่ะ”
เหล่าแม่นางน้อยพากันตะโกนไม่หยุด จนกระทั่งฮูหยินโจวเป็นลมล้มพับไป
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้น ท่านชายโจวหกก็เดินไกลออกไปแล้ว จนมาหยุดอยู่ข้างกายขุนนางยศใหญ่ผู้หนึ่ง แม้จะไม่มีเสียงกรีดร้องของเหล่าหญิงสาวแล้ว แต่ก็กลับมีเสียงผิวปากของบุรุษแทน
ท่านชายโจวหกไม่แม้แต่จะเหลือบตามองก่อนจะเดินต่อไป
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะชอบใจแล้วละสายตากลับมา ก็เห็นสายตาเคลือบแคลงสงสัยจากคนทั้งสองฝากฝั่งที่มองมายังเขา
“ห้าวหาญยิ่งนัก ใช่หรือไม่” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหล่าชาวเมืองกรอกตามองบน ก่อนจะพากันซุบซิบพูดคุยถึงธนูในมือของชายหนุ่มคนนั้น
“…ก็ดูธรรมดานี่…”
“…ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร ดูเหมือนไม่ใช่ทั้งเอ็นวัวเขาวัว… ของเด็กเล่นกระมัง…”
ของเล่นอย่างนั้นหรือ
หากจะเล่นจริงๆ อย่างพวกเจ้าก็คงไม่มีปัญญาเล่นหรอก
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มบาง มองดูท่านชายโจวหกที่เดินเข้าประตูเมืองไป
เพราะในมือถือธนูอยู่ ทั้งยังเข้าใกล้ฮ่องเต้ถึงเพียงนี้ เหล่าทหารรักษาพระองค์จึงคอยตามติดไม่ห่าง มือก็คอยกำดาบไว้ สายตาดั่งพยัคฆ์นั้นจ้องมองท่านชายโจวหกไม่กระพริบ มั่นใจได้ว่าหากเขาตุกติกก็พร้อมจะฟันให้ตายในดาบเดียว
“กระหม่อมโจวฟู ขอเป็นผู้ทดสอบธนูให้แก่ฝ่ายบาท” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงดังกังวาน พลางคุกเข่าข้างหนึ่งลงถวายบังคมฮ่องเต้ที่อยู่บนกำแพงเมือง
เพราะเขาสวมชุดออกศึกจึงไม่จำเป็นต้องถวายบังคับอย่างเต็มรูปแบบ
ฮ่องเต้พยักหน้า มองดูชายหนุ่มผู้นั้น
เด็กเกินไปหรือเปล่า จะมีแรงหรือ สู้ไปตามพลธนูฝีมือดีมาทดสอบไม่ดีกว่าหรือ
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัวของเขา ทว่ากลับไม่ได้พูดออกไป
“ตั้งโล่!”
ทหารรักษาพระองค์ที่รับคำสั่งมาก่อนหน้าตะโกนลั่น
เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็ก้าวออกมาพร้อมโล่ ยืนห่างออกไปเจ็ดสิบก้าว
ขณะเดียวกันทหารรักษาพระองค์บนกำแพงเมืองก็ต้องแถวล้อมเพื่อคุ้มกันฮ่องเต้และเหล่าชาวราชสำนัก
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่ถือธนูอยู่ในมือ