พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 448 ชดใช้ (1)
โล่ทั้งสิบถูกนำมาตั้งเรียงรายบนกำแพงเมือง ฮ่องเต้มองดูแต่ละอันด้วยตนเอง
ไม่ใช่เพียงแค่ทะลุ แต่จากรูปร่างของรูที่ทะลุก็พอมองออกว่า หากมีคนอยู่ด้านหลังต้องถูกยิงตายอย่างแน่นอน
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ยังมีทดสอบความเร็วพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่แม่ทัพน้อยเพิ่งยิงติดต่อกันสิบดอก ก็หอบจนมือสั่นแล้ว หากเป็นธนูจ้งหนู่ละก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เพราะใช้เท้าเหยียบถึงได้มีแรงส่ง”
พอได้ยินเขาพูดถึงแม่ทัพน้อย ฮ่องเต้ก็เหลียวกลับมามอง
ด้านหลังของฟ่านเจียงหลินมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ ธนูนั้นถูกยึดไปตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เพราะไม่สามารถนำติดตัวขึ้นมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้
“เจ้ามาจากตระกูลใด” ฮ่องเต้ถาม
“กระหม่อมโจวฝู ลูกชายคนที่หกของกุ้ยเต๋อหลางโจวเยว่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ประจำอยู่เป็นขุนนางขั้นสาม กองทัพตะวันตกเฉียงเหนือภายใต้บังคับบัญชาของจ้าวเฉิงพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยเสียงก้องกังวาน
หนุ่มน้อยท่าทางทะมัดทะแมง กำลังล้นปรี่ เห็นแล้วช่างเจริญหูเจริญตานัก ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วยิ้มให้
“ฝีมือธนูดี แต่งตั้งให้…” เขาพูดถึงคำว่าให้ก็หยุดลง “เป็นสือจิ่นฝ่ายขวา”
สี่ขั้นเชียวหรือ!
ท่านชายโจวหกสูดลมหายใจเย็นเฉียบ เขาฆ่าศัตรูอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือมาสองปี เพิ่งจะได้เลื่อนเพียงหนึ่งขั้น แต่ตอนนี้เขาแค่ทดสอบธนูต่อหน้าฝ่าบาท พริบตาเดียวก็ได้เลื่อนถึงสี่ขั้น!
พอเหลียวไปมองเหล่าขุนนางและแม่ทัพรอบกาย ทุกคนต่างไร้การตอบสนอง บรรดาแม่ทัพที่มายืนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทได้ล้วนแต่ตำแหน่งใหญ่โต ในสายตาของพวกเขาแล้วแค่สือจิ่นเพียงคนหนึ่ง ไม่มีค่าอันให้เอ่ยถึงเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าไม่เก็บมาใส่ใจ ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋น แม้จะไม่พอใจที่ฮ่องเต้เอ่ยปากตบรางวัลให้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขารู้ดีว่าฝ่าบาทนั้นพอใจมาก จะมาคัดค้านตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
อีกอย่างนี่ก็เป็นแค่ตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ หากเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นละก็ รับรองว่าต้องมีทั้งคนค้านฝ่าบาทจนหน้าดำหน้าแดง ทั้งมีคนเถียงจนคอเป็นเอ็นอย่างแน่นอน “ขอบพระทัยฝ่าบาทสิ” ขันทีที่อยู่ข้างกันเอ่ยเตือน
ท่านชายโจวหกเพิ่งได้สติกลับมาก็กล่าวขอบคุณด้วยเสียงอันดังก้องในทันใด
ฮ่องเต้มิได้ขุ่นเคืองที่เขาเสียกิริยา กลับกันยังเอ็นดูแล้วเอ่ยปากชมอีกต่างหาก
ท่านชายโจวหกกำลังยืนขึ้น ความรู้สึกภายในใจของเขานั้นสับสนวุ่นวายไปหมด
‘ข้าจะขอให้เจ้าช่วย’
ขอให้ช่วยหรือ พอช่วยนางแล้วตนกลับได้อวยยศเสียอย่างนั้น นี่ใครช่วยใครอยู่กันแน่
เขายังตกตะลึงไม่หาย ฟ่านเจียงหลินที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็พูดต่อ
“ฝ่าบาท ธนูนี้จะหาคนอื่นมาทดสอบดูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ฮ่องเต้ยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไม่ต้องลองแล้ว” เขาเอ่ย “เราเชื่อเจ้า”
เสียหน้าหรือ ถูกหักหน้าอย่างนั้นหรือ หากเทียบกับเรื่องแจกรางวัลกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว โดนแม่นางน้อยแสนบ้าบิ่นผู้นี้หักหน้าก็หาใช่เรื่องใหญ่อันใด
หญิงสาวก็เช่นนี้แล ช่างเง้างอนนัก
ฟ่านเจียงหลินได้ยินเช่นนั้นก็คุกเข่าลงก้มหัวจรดพื้น
ใบหน้าของฮ่องเต้เผยยิ้มออกมา เกาหลิงปอที่ยืนอยู่ข้างกันก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ทว่ารอยยิ้มนั้นแลดูเฉยชาไม่น้อย
สายตาของเข้าจับจ้องไปที่ฟ่านเจียงหลิน ก่อนจะมองไปยังโล่ที่ตั้งอยู่ข้างกัน
“เป็นอาวุธร้ายดั่งที่ว่าจริงๆ ขนาดใกล้เคียงกับธนูจ้งหนู่ มองดูแล้วฝีมือประณีตกว่า ยามนี้หากให้โรงงานทำธนูจ้งหนู่ขึ้นมาสักคันก็ใช้เวลาถึงสิบวัน” เขาเอ่ยพลางมองไปที่ฟ่านเจียงหลินแล้วยิ้มให้ “ไม่รู้ว่าธนูคันนี้ของเจ้าใช้เวลาเท่าใด”
พอคำนั้นพูดเอ่ยออกมา ท่านชายโจวหกที่กำลังเหม่อลอยอยู่ด้านข้างก็รู้เย็นวาบไปทั้งตัว ไม่ได้การแล้ว เกาหลิงปอตั้งใจจะเล่นงานเขา!
ตามกฎหมายบ้านเมืองแล้ว คนธรรมดานั้นไม่อาจครอบครองอาวุธหรือธนูเป็นการส่วนตนได้ หากครอบคองหนึ่งในห้าอาวุธนั้นย่อมมีโทษถึงประหารชีวิต หากฟ่านเจียงหลินทำธนูนี้ขึ้นมาทั้งยังเก็บไว้ในครอบครองโดยไม่รายงานต่อทางการ ไม่ว่าก่อนเข้าเมืองหลวงหรือหลังเข้าเมืองหลวงก็ตาม ทั้งยังอยู่ที่นี่มานานถึงหนึ่งเดือนสิบว่า จะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น แม้ยามนี้ฮ่องเต้กำลังพึงพอใจอย่างมากคงไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่ผ่านไปไม่กี่วันต้องมีคนหยิบยกขึ้นมายุยงแน่นอน และสุดท้ายฮ่องเต้ก็จะเคลือบแคลงสงสัยในเจตนาของเขา
เขากำลังจะอ้าปากชิงพูดก่อนแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง
“ธนูนี้ทำขึ้นมาอย่างหยาบ ข้าใช้เวลาทำทั้งวันทั้งคืนกว่าหกวันเต็ม” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย ใบหน้าดูกระดากอายชอบกล
หากเป็นน้องสาวละก็ใช้เวลาแค่สามวันเท่านั้น
เป็นไปไม่ได้!เกาหลิงปอเกือบจะเผลอผลุดปากออกมา ทว่าทำได้เพียงกัดฟันกรอดอดทนไว้
ทว่าเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ข้างเขาก็พากันตะโกนโห่ร้องออกมา
เป็นไปไม่ได้!
ส่วนฮ่องเต้นั้นก็เดินเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นเต้นแล้ว
“หกวันอย่างนั้นรึ” เขาถาม “จริงหรือ”
ฟ่านเจียงหลินพยักหน้า
“ข้าน้อยมิบังอาจโกหกฝ่าบาท” เขาเอ่ย
“เจ้าทำคนเดียวหรือ” ฮ่องเต้ถามต่อ ลมหายเริ่มหอบกระชั้น
ฟ่านเจียงหลินพยักหน้าอีกครั้ง
“ฝ่าบาท!ฝ่าบาท!เร็วเข้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ รีบให้โรงธนูทำธนูนี้ รวบรวมคนทั้งหมดให้ไปหาวัตถุดิบ เรียกช่างฝีมือมาให้หมด ภายในสิบวันก็สร้างธนูได้นับร้อยคันแล้ว!จากนั้นก็ส่งไปยังกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ!นับเป็นของรางวัลชิ้นใหญ่ที่ฝ่าบาทมอบให้แก่พวกเขา!” แม่ทัพที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ไม่มีผู้ใดจากกรมขุนนางออกมาตำหนิกิริยาอันไม่เหมาะสมของแม่ทัพผู้นี้ เพราะพวกเขากำลังตกตะลึงกับคำพูดที่ได้ยิน
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
“นอกจากนี้ ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ธนูของข้าน้อยนั้นใช้เพียงแค่ลูกศรไม้” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสริม
เสียงตะโกนโหวกเหวกเงียบสงัดในทันใด
ยังมีอะไรอีกหรือ…
ฮ่องเต้รู้สึกราวกับจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ
“ไม่จำเป็นต้องมีขนนกอย่างนั้นหรือ…” เขาเอ่ยเสียงสั่น
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แค่แผ่นไม้ก็พอแล้ว อีกอย่างตัวคันธนูก็ไม่ต้องใช้เอ็นสัตว์หรือเขาสัตว์ แค่ไม้ก็พอ แล้วก็เพิ่มเชือกป่านเข้าไป…”
ยังมีอะไรอีก…
เสียงพูดของฟ่านเจียงหลินยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ทว่าในหูของฮ่องเต้กลับได้ยินเพียงแค่เสียงรำไร
อานุภาพทำลายล้างนั้นทำให้คนตื่นตกใจ แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจมากที่สุด
อาวุธร้ายแรงนั้นย่อมแลกมาด้วยราคา
ยุทโธปกรณ์นั้นจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ผู้ใดจะไม่อยากมีอาวุธชั้นดีติดตัวบ้าง เพียงแต่เงินเล่า เงินนับหมื่นนับพันก้วนทุ่มลงไปนั้นย่อมคุ้มค่า แต่ท้องพระคลังนั้นแร้นแค้นยิ่งนัก ห้องหับในวังหลวงที่ทรุดโทรมยังไม่มีเงินแม้แต่จะซ่อม ฮ่องเต้เองก็ประหยัดแสนประหยัดแล้ว แต่เงินท้องพระคลังก็ยังร่อยหรออยู่ดี
เพราะเหตุนี้เหล่าขุนนางใหญ่โตถึงมักจะไม่ชอบใจนักยามเกิดสงคราม เพราะนั่นหมายความว่าต้องทุ่มเงินพระคลังออกไปเป็นจำนวนมหาศาล
ทว่าตอนนี้ปัญหาคลี่คลายแล้ว ธนูนี้ไม่เพียงแต่อานุภาพร้ายแรงกว่าธนูจ้งหนู่ถึงสิบเท่า แต่ราคาต้นทุนการผลิตยังไม่ถึงครึ่งของธนูจ้งหนู่ด้วยซ้ำ!
ฮ่องเต้เหลือบตามอง ก็เห็นว่าเหล่าขุนนางราชสำนักที่กำลังขมวดคิ้วทำท่าว่าจะพูดอะไรบางอย่างก็พากันก้าวเท้าถอย
พวกเขาย่อมรู้แล้วว่าไม่อาจจะคัดค้านด้วยเหตุผลค่าใช้จ่ายได้
ฟ่านเจียงหลินผู้นี้พูดได้ดียิ่งนัก ประโยคเดียวก็ตัดปัญหาที่เขาต้องโต้เถียงกับเหล่าขุนนางทั้งวันทั้งคืนได้
เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ก็หมายความว่าหากจะทหารทุกนายใช้ธนูนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ทหารทุกนาย!ทหารทุกนาย!
“…แม้จะโดนน้ำก็ไม่อมน้ำ… แต่หากเทียบกับธนูจ้งหนู่แล้ว อาจจะเสื่อมเร็วกว่าเล็กน้อย…”
ฟ่านเจียงหลินยังคงพูดต่อไป มือของฮ่องเต้สั่นไปหมด
“ตามคนมา ตามคนมา รีบไปนับจำนวนให้เรา นับจำนวนทหารทั้งหมดแล้วเตรียมพร้อม… เตรียมพร้อม…” เขาตะโกนลั่นออกไปครึ่งประโยคก็นึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อของธนูนี้ จึงหันไปหาฟ่านเจียงหลินในทันใด “ธนูนี้ชื่อว่าอะไร”
ฟ่านเจียงหลินก้มหัวจรดพื้นอีกครั้ง
“ข้าน้อยยังไม่ได้ตั้งชื่อพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดประทานนามให้ด้วย” เขาเอ่ย
ฮ่องเต้ทอดสายตามองลงไปด้านล่างกำแพงเมือง ธนูนั้นก็ถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้ว
“ธนูเสิน.. เสิน… ธนูเสินปี้… เช่นนั้นก็ชื่อว่าธนูเสินปี้[1]” พอนึกออกเขาก็พูดขึ้นในทันใด
“ยินดีกับฝ่าบาทที่ได้ของวิเศษนี้พ่ะย่ะค่ะ” เกาหลิงปอเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก
แม้ในใจจะเจ็บแค้นเจียนตาย แต่ยามไหนควรพูดสิ่งใด เขาก็ยังพอมีสตินึกคิดอยู่บ้าง
ทันใดนั้นผู้คนรอบทิศก็พากันคุกเข่าโห่ร้อง พอเสียงตะโกนบนกำแพงเมืองดังขึ้น คนด้านล่างประตูเมืองก็พากันโห่ร้องตาม เสียงดังกึกก้องอื้ออึงราวกลับคลื่นมหาสมุทรถาโถมซัดกระหน่ำ
…………..
[1]เสินปี้ (神臂) แปลว่าแขนของทวยเทพ