พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 448 ชดใช้ (2)
ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
ดียิ่งนัก ดียิ่งนัก วันเกิดปีนี้ช่างดียิ่งนัก!
หลังรับคำอวยพรจากบรรดาชาวเมือง ฮ่องเต้ก็ควบม้ากลับวังหลวง บรรดาขุนนางราชสำนักก็ติดตามเข้ามานั่งประจำที่ในตำหนัก รวมถึงฟ่านเจียงหลินและท่านชายโจวหกก็ได้รับเชิญเข้ามาด้วย
“ฟ่านเจียงหลิน เราอยากให้รางวัลเจ้า เจ้าต้องการสิ่งใด” ฮ่องเต้เอ่ยขณะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ความตื่นเต้นยังไม่จางหาย ใบหน้าที่เคยซีดเผือดยามนี้ขึ้นสีระเรื่อที่พบเห็นได้น้อยครั้งนัก
ฟ่านเจียงหลินก้มหัวจรดพื้น
“ข้าน้อยต้องการฆ่าศัตรูตอบแทนแผ่นดิน เพียงแต่ยามนี้ร่างกายพิกลพิการไม่อาจยิงธนูได้ ข้าน้อยจริงสร้างธนูนี้ขึ้นมาเพื่อให้ผู้อื่นปราบศัตรูแทน เพียงเท่านี้ข้าน้อยก็สมความปรารถนาแล้ว” เขาเอ่ย
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างชื่นอกชื่นใจ
“เราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาดินแดน ตรวจการประจำกองธนู” เขาเอ่ย
เมื่อคำนั้นเอ่ยออกไปทั้งตำหนักก็ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ
หากบอกว่าตำแหน่งที่ท่านชายโจวหกได้รับยามที่อยู่กำแพงเมืองนั้นก้าวกระโดดเพียงใด หากเทียบกับยามนี้แล้ว ขุนนางฝ่ายบู๊ที่อยู่ ณ ที่นั่นก็พากันนั่งไม่ติดที่แล้ว
“ฝ่าบาท ไม่ใช่ควรหารือกับสำนักราชเลขาก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้สีหน้าดูเคร่งขรึมลงกว่าเดิม
“และเรื่องสงครามทัพตะวันตกเล่าพวกเจ้าหารือกันเสร็จหรือยัง” ฮ่องเต้ไม่ตอบแต่กลับถาม
ขุนนางผู้นั้นถูกตอกกลับจึงทำได้เพียงก้าวถอยกลับไป
ถึงได้เป็นขุนนางตำแหน่งสูงส่งถึงเพียงใด แต่ความจริงแล้วก็แค่ผู้ตรวจการทำธนูประจำกองธนูก็เท่านั้น เพียงเท่านั้น ก็เพียงเท่านั้นเอง ก็แค่ช่างฝีมือเท่านั้น
ลงทั้งแรงเงินแรงกาย ดึงดูดความสนใจของผู้คน ถวายงาน ถวายเงิน ถวายสิ่งของเพื่อประโยชน์บ้านเมือง กลอุบายเช่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว หากเป็นแต่ก่อนคงพบเห็นได้บ่อยนัก
ฟ่านเจียงหลินก้มหัวจรดพื้นขอบพระทัยฮ่องเต้
“ผู้ที่ทำเกือกม้าเหล็กก็เป็นพี่น้องกับเจ้าหรือ” ฮ่องเต้นึกขึ้นได้จึงถามขึ้น
ฟ่านเจียงหลินตอบรับ
“เรื่องมีอยู่ว่าในตอนนั้น น้องสาวมอบเคล็ดวิชาให้พวกข้าทั้งเจ็ดได้ออกรบ ตามความชอบและความถนัดของตน น้องสี่ชอบนั่นรักการเลี้ยงม้า น้องสาวจึงมอบวิชาทำเกือกม้าเหล็กให้แก่เขา ยามนี้ข้าร่างกายไม่สมประกอบ น้องสาวจึงได้มอบเคล็ดวิชาอื่นไว้ฆ่าศัตรู ” เขาเอ่ย
เมื่อเอ่ยจบ สีหน้าของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปในทันที ส่วนคนในตำหนักที่พึ่งได้สติสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด
เจียงเหวินหยวน เจ้าจบสิ้นแล้ว
เกาหลิงปอหลับตาลงช้าๆ รู้สึกเวียนหัวไปหมด
ตั้งแต่ธนูอานุภาพร้ายแรง ทั้งทำได้ง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย มีดคมเล่มแล้วเล่มเล่าถูกแทงเข้ามา จนกระทั่งมีดเล่มสุดท้ายที่คมที่สุดก็ทิ่มแทงเข้าที่หัวใจของฮ่องเต้
พี่น้องเจ็ดคน แต่ละคนจะได้รับเคล็ดวิชาตามความชอบและความถนัดของตน มีสองคนได้เลือกเคล็ดวิชาปราบศัตรูแล้ว ทั้งหมดล้วนแต่ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธร้ายของกองทัพ เช่นนั้นหากห้าคนที่เหลือถนัดด้านใด หรือมีความชอบด้านไหน จะได้รับเคล็ดวิชาที่น่าตกตะลึงเพียงใด
แต่คงไม่มีใครได้รู้ เพราะห้าคนนั้นได้ตายจากไปแล้ว พวกเขาไม่มีสิ่งที่ตนเองถนัดแล้วก็ไม่เคยได้บอกว่าตนนั้นรักชอบในการทำสิ่งใด…
น่าเสียดายแทนบ้านเมืองแท้
นี่สินะที่เรียกว่าน่าเสียดายแทนบ้านเมือง
พอนึกถึงห้าคนนั้นก็ย่อมนึกถึงการตายของพวกเขา พอนึกถึงว่าพวกเขาตายไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ยอมต้องนึกถึงเรื่องนี้
คืนวันสั่งสม เจียงเหวินหยวนไม่เพียงแต่อยู่ในกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือต่อไปไม่ได้ ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าจะได้มีพื้นที่ในหัวใจของฮ่องเต้เลย
ร้ายนัก ร้ายนัก ร้ายกาจนักเด็กบ้าแห่งเจียงโจว!
มานะคนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนต้านทานทั้งยังแปรเปลี่ยนลิขิตของสวรรค์ได้
“นายใหญ่ นายใหญ่”
ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลเฉิน เฉินเซ่าที่ดื่มชาพลางเล่นหมากรุกกับท่านพ่อของตนอยู่ในเรือนก็ถูกบ่าวขัดจังหวะ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวงนั้นบ่าวหนุ่มยังไม่รู้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมืองนั้นมีผู้คนมากมายเห็นกับตา บ่าวหนุ่มน้อยรีบเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างออกรสออกชาติ
เฉินเซ่าได้ฟังก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะบอกให้บ่าวหนุ่มออกไป นายใหญ่เฉินเดินหมากในมือ
“เจียงเหวินหยวนจบสิ้นแล้วล่ะ” เขาเอ่ยพลางมองเฉินเซ่าที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักแล้วยิ้มออกมา “ที่แท้นางกำลังช่วยเจ้านี่เอง”
เฉินเซ่าพยักหน้า สีหน้านั้นทั้งตกใจทั้งตื่นตระหนกทั้งดูกลัดกลุ้มยิ่งนัก
“ที่แท้ที่นางรบเร้าข้าให้เร่งฮ่องเต้เรื่องประทานรางวัล ก็เพื่อใช้โอกาสนี้มอบของขวัญตอบแทนน้ำใจให้ฮ่องเต้” เขาเอ่ยเสียงเนิบ “และเพราะของขวัญที่มอบให้นี้ ทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปเสียหมด”
ธนูเสินปี้
เป็นอาวุธร้ายอย่างว่าจริงๆ!
“กังวัลอันใดเล่า มีอะไรให้น่ากังวลใจกัน ฮ่องเต้โกรธแล้วอย่างไรเล่า ฮ่องเต้รังเกียจชื่อเสียงของนางแล้วอย่างไรเล่า นางไม่ได้พึ่งพาสิ่งเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยตัดพ้อ “ที่นางพึ่งพานั้นคือความสามารถของตัวเอง ยิ่งทำให้ไม่มีผู้ใดครหานางได้ ทั้งยังไม่ใช่เคล็ดวิชางมงามของเทพเซียนแต่อย่างใด”
คนธรรมดาคนหนึ่ง ไร้ครอบครัวให้พึ่งพิง ก่อตั้งร้านอาหารชื่อดังเทียมฟ้าขึ้นมา แต่หากเบื้องหลังของชื่อเสียงเหล่านั้นมาจากคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่สร้างไว้ให้แก่แผ่นดินเล่า
“มองไม่ออกเลยจริงๆ มองไม่ออกเลยจริงๆ” เฉินเซ่าเอ่ยพึมพำ
ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงเรียกนายใหญ่มาจากข้างนอก
“ยินดีด้วยขอรับนายใหญ่ ยินดีด้วยขอรับนายใหญ่” บ่าวสองคนวิ่งเข้ามาในเรือนก้มหัวจรดพื้นพลางเอ่ย
ยินดีอย่างนั้นหรือ ในยามนี้ควรจะยินดีกับฮ่องเต้มากว่า แต่สำหรับขุนนางที่ยื่นคำร้องลาออกแล้วพักผ่อนอยู่ในเรือนอย่างเฉินเซ่ามีเรื่องอันใดน่ายินดีกัน
“นายใหญ่ขอรับ ฮ่องเต้ชื่นชอบอักษรที่แม่นางสิบแปดเขียนถวายนัก แต่งตั้งให้เป็นจิตกรหลวง ได้โปรดรับสาส์นจากฮ่องเต้ด้วยขอรับ” บ่าวหน้าโขกหัวกับพื้นพลางเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ
เฉินเซ่าลุกยืนขึ้นด้วยความตกใจ แม้แต่นายใหญ่เฉินเองก็ตื่นตะลึงอย่างปิดไม่มิด
ภายในตำหนักของวังหลวง แม่นางเฉินสิบแปดก้มหัวจรดพื้นเพื่อขอบคุณ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไปท่ามกลางสายตาริษยา ในมือของนางถือราชโอการที่ฮ่องเต้มอบให้อยู่
แม้จะเคยฝันเช่นนี้อยู่หลายหน แต่วินาทีที่กลายเป็นจริงนั้น ความรู้กลับแต่ต่างจากในฝันโดยสิ้นเชิง
แม่นางเฉินสิบแปดค่อยๆ ก้าวเดินลงมา นางไม่รู้ว่าสติของตนเองครบถ้วนดีหรือไม่ แต่สายตานั้นพร่ามัวจนมองเห็นทางไม่ชัดเจน ทว่านางยังคงเชิดหน้าอกผายไหล่ผึ่ง ก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคง
“วันนี้เป็นวันที่เรามีความสุขเหลือเกิน วันเกิดของเราปีนี้ได้รับของขวัญมากมาย ทั้งยังเป็นของขวัญชิ้นโต”
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หัวเราะพลางชูจอกเหล้าขึ้น
เสียงโห่ร้องอวยพรทรงพระเจริญหมื่นปีดังกึกก้องทั่วทั้งตำหนัก นักดนตรีบรรเลงเพลง นางรำเริงระบำ เสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสนใดปลิวไสว ราวกับสรวงสวรรค์ในแดนมนุษย์
ทว่าตำหนักของชิ่งอ๋องที่อยู่ไกลออกไปนั่นเงียบสงัด ความคึกครื้นจากทางนั้นแพร่มาไม่ถึงที่แห่งนี้แม้แต่น้อย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องและชิ่งอ๋องเองก็จัดงานเลี้ยงเช่นกัน แต่เพราะชิ่งอ๋องนั้นสติไม่สมประกอบ จึงไม่ได้พาออกไปพบเจอผู้คนบ่อยนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพาเขาออกไปให้ฮ่องเต้ลำบากใจในงานเลี้ยงเช่นนั้น
“มา ลองชิมอันนี้สิ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางตักน้ำแกงป้อนชิ่งอ๋อง
ชิ่งอ๋องที่กำลังเนื้อวัวกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ในมือ เบี่ยงตัวหลบด้วยความงุ่นง่าน
“ระวังสำลัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเตือน สุดท้ายก็ป้อนไปได้เพียงแค่ครึ่งช้อน ก่อนจะหันไปมองขันทีที่อยู่เบื้องหน้า “เช่นนั้นแล้ว มีสามคนได้อวยยศเชียวหรือ ท่าทางงานวันเกิดของฮ่องเต้ปีนี้คงสนุกสนานไม่น้อย”
ขันทียิ้มพลางยักหน้าขานตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบสง
“มีความสุขก็ดี” เขาตอบ
ขันทีผู้นั้นก้มหน้าแล้วขอตัวลา มองดูชายหนุ่มที่นั่งเอนกายอยู่ค่อยๆ ยกช้อนทองป้อนเข้าปากตัวเองก่อนจะปิดประตูลง
ขณะเดียวผู้คนบนถนนใหญ่นอกเมืองหลวงกำลังพากันเหลียวมองสุสานใหม่ที่ตั้งอยู่ออกไปไม่ไกลนักด้วยความสงสัยใคร่รู้ มีสาวใช้นางหนึ่งหอบตะกร้ายืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็มีหญิงสาวในเสื้อคลุมยาวกำลังนั่งอยู่บนพื้น
ยามฤดูใบไม้ร่วงสายลมเริ่มหนาวเย็น ข้างเท้าของนางมีสิ่วและเครื่องไม้เครื่องมือแกะสลักป้ายหลุมศพวางอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หยิบสิ่วและค้อนขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มกระเทาะแผ่นป้ายหน้าหลุมศพ
“ฟ่านสือโถว”
“สวีเม่าซิว”
“สวีล่าเยว่”
“ฟ่านซานโฉ่ว”
“สวีปั้งฉุย”
น้องสาวตั้งป้ายชื่อให้พวกเขา
สุสานใหม่ ต้นกู่ไหว สาวใช้ที่ยืนอยู่และแม่นางเฉิงที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ประกอบกันกลายเป็นภาพที่ธรรมชาติรังสรรค์ เหล่าบัณฑิตที่เดินผ่านมองตาค้าง
“น่าเสียดาย น่าเสียดาย หญิงงามเช่นนี้ในมือกลับถือสิ่วถือค้อน หากเปลี่ยนเป็นฉินคงงามไร้ที่ติ” คนหนึ่งเอ่ยพึมพำ