พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 450 เสียมารยาท
สาวใช้ด้านนอกยื่นหน้ามามองจากหน้าประตูห้องด้วยความสนใจใคร่รู้ พอเห็นปั้นฉินเดินมาจากระเบียงก็รีบหดหัวกลับไป
“แม่นางเฉิน ชาเจ้าค่ะ” ปั้นฉินดันถ้วยชาร้อนๆ ถ้วยหนึ่งให้พลางเอ่ยบอกเสียงเบา
แม่นางเฉินสิบแปดเบี่ยงหน้าหันไปยกถ้วยขึ้นมาดื่ม
“เฉินซู่เสียมารยาทแล้ว” นางเอ่ยเสียงเบา
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าให้
ภายในห้องเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง
“เฉินซู่ยังดีไม่พอเอง ฉุนเฉียวไร้น้ำใจไร้มารยาทไป” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยต่อ
บางทีพอได้ระบายความกลัดกลุ้มระทมทุกข์ในใจออกมา หลังจากร้องไห้ออกไปยกหนึ่งแล้ว นางจึงกลับมานิ่งสงบได้
“วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อขอบคุณ…”
นางพูดถึงตรงนี้ก็มองไปยังเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง เป็นไปดังคาดแม่นางผู้นั้นมองนางอยู่ก่อนด้วยความนิ่งสงบ
แม่นางเฉินสิบแปดจึงยิ้มเยาะตัวเอง
ขอบคุณรึ…เจ้าหลอกผู้ใดกันเล่า
“วันนี้ที่ข้ามานั้น ครึ่งหนึ่งก็เพื่อขอบคุณแม่นาง อีกครึ่งหนึ่งคืออยากจะได้คำชื่นชมจากแม่นาง ผลสุดท้าย…”
ผลสุดท้ายไม่ได้รับคำชม คำขอบคุณก็กลายเป็นความริษยา…
หลอกผู้ใดกันเล่า
“วันนี้ข้ามาเพราะคิดจะให้แม่นางได้ดูว่าความพยายามของข้านั้นมีประโยชน์หรือไม่ อยากให้แม่นางได้ดูว่าข้าก้าวหน้าไปขั้นหนึ่งแล้วหรือยัง” นางสูดหายใจลึกพลางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงอ๋อออกมา แล้วหยิบกระดาษคัดอักษรแผ่นนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง
“ก้าวหน้าแล้ว” นางพยักหน้าแย้มยิ้มบางเอ่ยขึ้น
ดวงหน้าแม่นางเฉินสิบแปดแย้มเป็นรอยยิ้ม
“จริงหรือ” นางคุกเข่านั่งหลังตรงเอ่ยถามอีกครา
“ข้าไม่พูดโกหก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พยักหน้ามองอักษรในมือ “ก้าวหน้าขึ้นแล้ว”
แม่นางเฉินสิบแปดปลิ้มปริ่มจนร้องไห้ออกมา นางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปาก เสียกิริยาอีกครั้ง
“ขอบคุณแม่นางมาก ขอบคุณแม่นางยิ่งนัก” นางเอ่ย
ความจริงแล้วก็เพื่อเรื่องนี้เองหรือ พอมาถึงก็พูดออกมาตรงๆ แต่แรกเลยไม่ดีกว่าหรือไร ปั้นฉินส่ายหน้า
“รบกวนแม่นางแล้ว นี่ก็ดึกแล้ว ข้าขอตัวลาก่อน” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “แม่นางจะอยู่ที่เมืองหลวงต่อหรือไม่เจ้าคะ”
“ยังมิได้ตัดสินใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ไปไหน” เฉิงเจียวเหนียงบอก
“เช่นนั้นต่อไปข้ายังสามารถมาขอคำชี้แนะจากแม่นางได้หรือไม่” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยถาม
“แน่นอน ตราบใดที่เจ้าต้องการ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มพลางคำนับอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงคำนับคืนแล้วลุกขึ้นออกไปส่ง
โคมแขวนส่องสว่างใต้ทางเดิน แกว่งไกวไปตามลมราตรี เคล้าเสียงกระดิ่งต้องลม กระบอกไม้ไผ่ที่ติดไว้ใต้ชายคากระทบกับก้อนหินเป็นจังหวะเข้าทำนอง ทั้งหมดนี้ล้วนเหมือนเมื่อสองปีก่อน
แม่นางเฉินสิบแปดหันหน้ากลับไปมองเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่บนทางเดิน เงาของหญิงสาวใต้แสงไฟเลือนลางมองเห็นรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน
ใช่แล้ว เหมือนดังในอดีต
แม่นางเฉินสิบแปดย่อเข่าคำนับแล้วหันหลังก้าวเดินต่อ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดคล้ายกับอยากจะหันหลังกลับมาอีก แต่ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงก้าวเดินจากไป
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปในเรือนตระกูลเฉิน คนในบ้านต่างร้อนใจกันอย่างมาก
“สิบแปด เจ้าไปทำอันใดมา” เหล่าพี่สาวน้องสาวต่างพากันบ่น
“ข้าไปขอบคุณแม่นางเฉิงมาเจ้าค่ะ” แม่นางเฉินสิบแปดอมยิ้มตอบ
ขอบคุณอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินเฉินตะลึงเล็กน้อย อยากจะถามบางอย่าง เหล่าสหายและญาติพี่น้องหญิงสาวภายในห้องต่างกรูกันออกมา
“รีบมาประจำที่นั่งได้แล้วแม่นางอวี้เหรินของเรา”
“ไม่ว่าอย่างไร คืนนี้สิบแปดเจ้าต้องเขียนอักษรให้ข้า”
ทุกคนต่างหัวเราะพูดคุยกัน แม่นางเฉินสิบแปดอมยิ้มเอ่ยขอบคุณให้ทีละคน นางเข้าไปกลางวงที่ห้อมล้อมด้วยทุกคน
โคมไฟภายในห้องสว่างไสว เสียงหัวเราะพูดคุยดังเจื้อยแจ้ว
ฮูหยินเฉินแย้มยิ้ม มองหญิงสาวภายในห้องแล้วเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ส่วนทางสะพานอวี้ไต้ ปั้นฉินไล่ดับไฟทีละดวง ภายในห้องมืดสลัวขึ้นมาทันใด
เฉิงเจียวเหนียงกำลังแกะผมอยู่ข้างเตียงนอน
“นายหญิงเจ้าคะ” ปั้นฉินลังเลครู่หนึ่ง เดินไปเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านตอบคำถามของแม่นางเฉินไปคำถามเดียวกระมัง แล้วมันเป็นคำตอบของคำถามไหนกันแน่เจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงมองนางแล้วแย้มยิ้มออกมา
“ปั้นฉินก็ก้าวหน้าขึ้นเช่นกันนี่” นางเอ่ย “นึกไม่ถึงว่าจะนึกคำถามออกมาได้หลายข้อ”
ปั้นฉินหลุดขำออกมา
“นายหญิงเจ้าคะ ข้าโง่เขลา มิใช่ปัญญาอ่อน” นางเอ่ยอย่างไม่พอใจพลางนั่งลงมองเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิง ไม่โกรธข้ากระมัง”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าไม่เคยโกรธอยู่แล้ว” นางอมยิ้มบอก
ปั้นฉินจึงได้ถอนใจออกมา พยักหน้าแล้วลุกขึ้น
“นายหญิง รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางบอก “พรุ่งนี้ยังต้องไปแกะสลักป้ายอีกนะเจ้าคะ”
นางปิดประตูห้อง แสงไฟมืดสลัว หญิงสาวบนเตียงด้านหลังม่านนอนตะแคงกาย
เพราะเจ้าดีเกินไป เจ้าดีเกินไป ดังนั้น เจ้าจึงสมควรตาย
ข้าไม่โกรธ เพียงแค่เสียใจในบางคราเท่านั้น
กลางเดือนเก้า สิบวันหลังจากวันคล้ายวันเกิดของฮ่องเต้ที่ได้รับธนูเสินปี้ รถที่บรรจุธนูเสินปี้สามร้อยคันโดยทหารรักษาพระองค์เป็นผู้คุ้มกันกำลังขับเคลื่อนไปยังทางตะวันตกด้วยความเร็วสูง เดิมทีเป็นอาวุธทางการทหารต้องห้ามในสถานที่สำคัญของกองธนู จึงยิ่งเข้มงวดจนกระทั่งแมลงวันสักตัวก็บินเข้าไปมิได้ ได้ยินเพียงเสียงกระทบกันจากด้านในดังตึงตังไปตลอดทั้งวันทั้งคืนอยู่ไกลๆ เท่านั้น
“แค่รอทดสอบยืนยันประสิทธิภาพของมันในสนามรบเท่านั้น” ฮ่องเต้ที่ประทับบนบัลลังก์มังกรท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ยากจะปิดบังรอยยิ้มเอาไว้ได้ “รอดูเหล่าโจรตะวันตกพวกนั้นได้รับเกียรติจากเราในการรับธนูหน้าไม้พวกนี้ไปเถิด”
ด้านนอกเมืองหลวง ทหารยอดฝีมือกองหนึ่งควบม้าเร็วมาหยุดลงเบื้องหน้าทหารรักษาพระองค์
“จงเฉิงปู้ผู้บัญชาการแห่งกองทัพซีโจวรับราชโองการ ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ย้ายไปประจำการยังฝ่ายวางแผนกลยุทธ”
พร้อมกับเสียงกล่าวรายงานของทหารคนสนิทนั้น แม่ทัพรูปร่างสูงใหญ่อายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีคนหนึ่งควบม้าเข้ามา
แม้ว่าจะล่าช้าไปสองปีกว่า แต่ในที่สุดจงเฉิงปู้ที่เคยถูกเฉินเซ่าผลักดันก็สมดังใจปรารถนา ทว่าอย่างไรเสียเพราะอายุยังน้อยเกินไป จึงมิได้ประจำในตำแหน่งวางแผนกลยุทธในทันที
แต่สีหน้าของจงเฉิงปู้ก็ไร้ซึ่งความขุ่นเคืองใด กลับกันยังแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจอย่างมากด้วย
อายุน้อยแล้วอย่างไร สิ่งที่เขาต้องการเป็นแค่ผลงานไม่กี่สนามเท่านั้น
สายตาจงเฉิงปู้ตกอยู่บนรถม้า เขายื่นมือไปเลิกผ้าม่านขึ้น เผยให้เห็นธนูที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้านใน
“นี่คืออาวุธทหารที่มีประสิทธิภาพที่ได้ฉายาว่ายิงทะลุต้นอวี๋ได้ครึ่งท่อนในระยะกว่าสามร้อยสี่สิบกว่าก้าว ยิงทะลุเกราะเหล็กในระยะกว่าเจ็ดสิบก้าวใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม แววตาดูสงสัยอยู่บ้าง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบธนูขึ้นมาคันหนึ่ง หนามบนธนูทิ่มมือเขาจนเจ็บเล็กน้อย
ฝีมือไม่ประณีตเช่นนี้…
“มิใช่ฉายา”
เสียงเยาว์วัยเสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างกาย
“แต่เป็น”
จงเฉิงปู้หันหน้าไป เห็นแม่ทัพหนุ่มยืนอยู่
“เจ้าคงเป็นโจวซื่อจิ้นที่ได้รับตำแหน่งขุนนางเพราะลองธนูเสินปี้ให้แก่ฝ่าบาทกระมัง” เขายิ้มบางเอ่ยถามขึ้น
ท่านชายโจวหกคำนับ
“คารวะท่านแม่ทัพ” เขาเอ่ย
จงเฉิงปู้หัวเราะออกมา วางธนูเสินปี้ในมือกลับใส่รถไป
“เช่นนั้นก็ให้ข้าดูหน่อยสิว่าจะสมคำร่ำลือหรือไม่” เขาเอ่ย
ไม่รู้ว่าหมายถึงธนูเสินปี้หรือท่านชายโจวหกกันแน่
ท่านชายโจวหกลุกขึ้นด้วยสีหน้าไม่หวั่นไหว
“เดินทาง” เสียงคำสั่งที่ให้แก่ทหารดังขึ้นพร้อมกับรถใหญ่ที่เคลื่อนไปทางด้านตะวันตกด้วยความเร็ว
ผู้คนบนถนนใหญ่หลบหลีกให้อยู่ก่อนแล้ว เห็นกองทัพใหญ่กองนี้เคลื่อนจากไปไกลจึงได้กลับลงบนถนนใหม่
“เห็นหรือยัง สิ่งที่อยู่บนรถก็คือธนูเสินปี้” มีคนชี้พลางเอ่ยขึ้น
เหล่าผู้คนที่สัญจรต่างพากันมองไป ชายหนุ่มสองสามคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตในฝูงชนนั้นท่าทางจะ เดินทางอย่างลำบากลำบน เห็นได้ชัดว่าเป็นบัณฑิตที่เข้าเมืองหลวงมาล่วงหน้าเพื่อจะสอบขุนนาง
เรื่องที่มีคนถวายธนูเสินปี้ในวันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้ได้แพร่กระจายไปทั่วนานแล้ว ยังมีกลอนกวีจำนวนหนึ่งแพร่สะพัดออกมาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นส่วนใหญ่เป็นกลอนที่ใช้คำฟุ่มเฟือยเพื่อประจบประแจงฮ่องเต้ ทว่านี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขนส่งธนูเสินปี้เลย
เหล่าทหารที่เข้าเมืองหลวงมาต่างได้ยินข่าวคราวมาตลอดทาง ทว่าก็เกิดความสงสัยในความจริงของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“ทุกปีต่างมีนิมิตมงคลของสิ่งที่มาถวาย สุดท้ายเป็นอย่างไร” มีคนส่ายหน้าเอ่ยขึ้น
“จะเป็นอาวุธวิเศษที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ก็ต้องดูที่ผลงานก่อนค่อยว่ากัน” อีกคนเอ่ยขึ้นมา
“อีกทั้งไม่ฟังนิมิตมงคลที่เยินยอเหล่านั้น หากจะกล่าวถึงสิ่งของที่ดีที่แท้จริงในเมืองหลวงแห่งนี้นั้นมีแน่นอน อย่างเช่นอักษรห้าตัวที่ไร้นามของวัดเฉี่ยถิงแห่งนั้น” มีอีกคนเอ่ยเปลี่ยนประเด็นไป
สิ่งที่บัณฑิตชอบที่สุดก็ยังคงเป็นหลักคำสอนกลอนกวี จึงพูดถึงเรื่องประเภทนี้ด้วยความสนอกสนใจ ซ้ำยังไม่มีใครยอมใคร
“ใช่ ใช่ ข้าก็มักจะได้ยินคนพูดเช่นกัน”
“ข้ารอดูว่ามันมีอะไรดีกันแน่”
“แบบฝึกหัดคัดลายมือที่คัดลอกมาดูแล้วยังไม่สมใจพอ ในที่สุดก็ได้มาเห็นกับตาเสียที”
บัณฑิตที่พูดก่อนหน้าถูกแย่งความสนใจไปจึงไม่สบอารมณ์ เขาเดินตามคนด้านหน้าไป ยามนี้พวกเขามองเห็นประตูเมืองอยู่ลิบๆ แล้ว สายตาของเขาตกอยู่ด้านข้างอีกด้านเป็นประกายอยู่แวบหนึ่ง
“โอ้ ตรงนั้นเป็นสุสานของพี่น้องเขาเม่าหยวนซานนี่” เขาเอ่ยเสียงดัง
เหล่าบัณฑิตที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อักษรกันอยู่พอได้ยินเสียงตะโกนของเขาจึงหันหน้ามาอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ
“เป็นสุสานของผู้มีคุณธรรมคนใดรึ” พวกเขาเอ่ยถาม
เหตุใดจึงไม่มีความทรงจำนั้นเลยแม้แต่น้อยเล่า
“เหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนซานอย่างไรเล่า ถ้าจะให้เล่าก็ยาวแน่ เห็นว่าธนูเสินปี้เหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้ก็เพราะพวกเขานั่นแหละ” บัณฑิตคนนั้นบอกอย่างภูมิใจ “วัดเฉี่ยถิงแห่งนั้นเป็นเรื่องของเมื่อสามปีก่อน ไม่สดใหม่แล้ว แต่เขาเม่าหยวนซานเป็นข่าวใหญ่ในช่วงนี้ ตอนนั้นเรื่องราวน่ะนะแพร่ไปทั่วทั้งเมืองทุกตรอกซอกซอยเชียว…”
ทุกคนต่างรวมตัวกันตามเสียงเล่าเรื่องของบัณฑิตคนนั้น ทุกคนฟังอยู่เดี๋ยวก็ตกใจ ประเดี๋ยวก็เดือดดาล เดี๋ยวทอดถอนใจด้วยความเศร้าไปกับการบอกเล่าของเขา
“…ยามนี้ได้ปล่อยตัวหลูเจิ้งออกมาแล้ว ซ้ำยังได้เลื่อนยศอีก...”
“นั่นก็ถูกแล้ว นี่จึงจะเป็นขุนนางที่ปรึกษาที่คอยปกป้องอย่างไรเล่า”
“ในเมื่อมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็ไปดูสุสานวีรบุรุษผู้กล้ากันหน่อยเถิด”
“ใช่ ใช่ แต่น่าเสียไม่ได้เอาสุรามาด้วย มิเช่นนั้นคงได้เทคารวะสักจอก”
ทุกคนหัวเราะพูดคุยกันพลางลงจากม้าเดินเข้าไป ได้ยินคำว่าสุรา บัณฑิตที่เอ่ยขึ้นมาคนแรกก็หัวเราะอีกครั้ง
“แม่นางสกุลเฉิงนางนั้นทุบไหสุราที่อยู่หน้าสุสานแตกไปแล้วยี่สิบกว่าใบ ได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้ล้วนมีแต่กลิ่นสุรา คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ล้วนมาหาของแก้อยากกันทั้งนั้น” เขายิ้มเอ่ย
ยามนี้ทุกคนยืนมั่นอยู่หน้าสุสาน ได้ยินประโยคนี้เข้าก็ต่างพากันหัวเราะ มีคนหนึ่งก้มหน้าลงดมบริเวณหน้าสุสานจริงๆ
“ข้าลองดมดูก่อนว่ามีหรือไม่” เขาเอ่ย
“ได้ยินว่านี่เป็นสุราแรงอันดับหนึ่งของแผ่นดิน วันนั้นคนเมาจนล้มนับไม่ถ้วนเชียว…” บัณฑิตคนนั้นเอ่ย ยังกล่าวไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงปึกดังขึ้น ทุกคนต่างตกใจรีบหันไปมอง เห็นบัณฑิตที่ก้มหน้าอยู่หน้าสุสานคนนั้นคุกเข่าลง
คุกเข่ารึ
“พี่เทียนซือ ได้กลิ่นสุรามากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” มีคนหัวเราะยกใหญ่พลางเอ่ยขึ้น
บัณฑิตที่คุกเข่าลงคนนั้นสีหน้าเหม่อลอยจดจ้องป้ายสุสาน
“เมาแล้ว…” เขาพึมพำบอก ยื่นมืออันสั่นเทาไปลูบป้ายหลุมศพ “สวีเม่าซิว…”
แบบนี้ไม่เหมือนคนเมา แต่เหมือนคนถูกของเข้ามากกว่า ทุกคนรีบห้อมล้อมกันไถ่ถาม บัณฑิตคนนั้นกลับไม่ตอบ ทำเพียงแค่ลูบป้ายหลุมศพ เริ่มวาดบางอย่างบนนั้น
“สวีเม่าซิว…” ปากเอาแต่พึมพำเรียก
สวีเม่าซิวเป็นใครกัน
ทุกคนมองไปยังแผ่นป้ายหลุมศพ ทันใดนั้นก็ตกตะลึงงัน
“นะ…นี่ ตอนแรกเป็นป้ายไร้อักษร มีการแกะสลักอักษรบนป้ายตั้งแต่เมื่อใดกัน” บัณฑิตด้านหน้าพึมพำ เอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดลง สีหน้าเหม่อลอยเหมือนกับบัณฑิตที่คุกเข่าอยู่คนนั้น
“สวีเม่าซิว…” เขาเอ่ยพึมพำ
และในเวลาเดียวกันนั้นเองเสียงเรียกก็ดังขึ้นมากกว่าเดิม
“ฟ่านสือโถว!”
“ล่าเยว่!”
“สวีปั้งฉุย!”
“ฟ่านซานโฉ่ว!”
เสียงเรียกทีละเสียงดังขึ้นหน้าสุสาน บัณฑิตทั้งกลุ่มตื่นตกใจ จะนั่งก็นั่งไม่ได้ จะยืนก็ยืนไม่ได้อีก ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ดึงดูดให้คนที่สัญจรไปมาหันมามอง
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น”
ทุกคนตกใจตะลึงงันกันอย่างมาก จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่าเป็นสถานที่ใดแล้วก็ยิ่งนิ่งอึ้งกว่าเดิม ช่วงก่อนหน้านี้หน้าสุสานก็คึกคักเช่นนี้เหมือนกัน เหล่าผีสุราจำนวนมากมาที่นี่เพื่อหาสุราดื่ม แต่ว่ายามนี้กลิ่นสุราจางหายไปหมดแล้ว สองคืออย่างไรเสียก็เป็นด้านหน้าสุสานของคนอื่น เพียงไม่นานก็ไม่มีคนมากันอีกแล้ว
เหตุใดจู่ๆ จึงมีคนมากมายมาอีกเล่า ดูจากการแต่งตัวแล้วก็มิใช่ผีสุรา แต่เป็นบัณฑิต เหตุใดแต่ละคนจึงบ้าบิ่นเหมือนผีสุราอย่างนั้นได้
“คงมิใช่ว่า…ผีสิงหรอกกระมัง…”