พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 451 ไม่มีอะไรขัดขวางได้ (2)
“มีรายงาน!”
เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านนอก
“…ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะใหญ่…แม่ทัพจงทวงป้อมปราการคืนมาได้แล้วสองป้อม ค่ายทหารอีกสามค่าย…”
เสียงตะโกนนี้ดังเข้ามา สีหน้าเจียงเหวินหยวนพลันซีดเผือด เขานั่งตัวตรงแข็งทื่อ โน้มตัวไปด้านหน้าต้องการจะฟังให้ถนัดชัดเจนอีกครั้ง
ทว่าเสียงตะโกนกลับไกลออกไปเสียแล้ว
ฟังผิดไปกระมัง เป็นภาพหลอนกระมัง
คนในเรือนสาวเท้าเดินออกไป เพียงไม่นานก็เข้ามาถึง
“รายงานชนะศึก ใต้เท้าเจียง แม่ทัพจงรับชัยชนะภายในศึกเดียว ตะวันตกเฉียงเหนือสงบมั่นคงแล้ว” เขายิ้มบางเอ่ยขึ้น “ท่านวางใจได้แล้ว”
วางใจได้แล้ว…
ทันใดนั้นเจียงเหวินหยวนก็นั่งลงไปดังเดิม คล้ายว่าเรี่ยวแรงถูกสูบไปจนสิ้น
“เป็นเพราะธนูเสินปี้นั่นใช่หรือไม่” เขาถามเสียงขุ่น
บุรุษในห้องหลุดหัวเราะออกมา
“ใต้เท้า ประโยคนี้ช่างกล่าวได้เกินไปเสียจริง ย่อมเป็นเพราะแม่ทัพจงนำทัพได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้วสิขอรับ” เขาเอ่ย
เจียงเหวินหยวนก็หลุดขำออกมาเช่นกัน เขาลุกขึ้นมา
“ไปกันเถิด” เขาเอ่ย ก้าวเดินไปจนถึงด้านในเรือนแล้วหยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง “ธนูเสินปี้นั่นเป็นฟ่านเจียงหลินที่ถวายรึ”
ชายคนนั้นอมยิ้มพยักหน้า
“เป็นผู้บังคับบัญชาฟ่าน” เขาเอ่ยเสียงเข้ม
ผู้บังคับบัญชาฟ่าน
เจียงเหวินหยวนรู้สึกจั๊กจี้อยู่เล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกเลื่อนลอยราวกับภาพลวงตา เขาหันไปมองลานบ้านอย่างอดไม่ได้
สามปีแล้ว…
คิดว่าจะสามารถอยู่ได้นานกว่านี้อีกหน่อย…
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้กัน
‘ท่านจะต้องเสียใจ!’
เสียงเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
หรือนี่จะเป็นเพราะตอนนั้นมิได้ตรวจสอบเรื่องรางวัลของทหารเหล่านี้ที่ตายไปกันนะ เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่
‘เจียงเหวินหยวน เจ้าจะต้องเสียใจ!’
เจียงเหวินหยวนหลับตาลงหันหลังก้าวเดินออกไป
เจียงเหวินหยวนยังไม่ทันจะถึงถนน ข่าวคราวชัยชนะของตะวันตกเฉียงเหนือก็รายงานไปถึงเมืองหลวงโดยม้าเร็วแล้ว เสียงตะโกนประกาศชัยชนะลอดผ่านประตูเข้าตรอกซอกซอยไปตลอดทาง ทำเอาถนนในเมืองคึกคักขึ้นมา
ณ หอสุราแห่งหนึ่งใกล้ตลาด เกาหลิงปอมองไปยังเบื้องล่างอย่างอดไม่ได้ เห็นทหารส่งข่าวควบม้าเร็วผ่านไปอย่างชัดเจน
“…ใต้เท้า ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้นายท่านของพวกเรานะขอรับ”
เหล่าบุรุษบ้างหนุ่มบ้างเฒ่าเบื้องหน้ายังคงพล่ามไม่หยุดปาก
“นายท่านของข้าถูกคนเกลียดชังยัดของกลางใส่ร้ายจนถึงกลายเป็นแบบนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาเลย…”
เกงหลิงปอพยักหน้าแล้วส่ายหน้า
จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับเขาได้อย่างไร ตราบใดที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ก็ต้องกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของคนอื่นแน่นอน คิดจะไม่เกี่ยวข้องนั้นเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือไม่เหลือโอกาสให้คนอื่นมาถอนรากถอนโคนตัวเอง
แต่เจียงเหวินหยวนดันไม่เหลือโอกาสนั้นไว้แล้ว แม้ว่าโอกาสนี้จะเรียกได้ว่าน่าขันก็เถอะ
เกาหลิงปอให้คนของตระกูลเจียงถอยออกไปให้หมดแล้วก็เดินเยื้องย่างเลียบไปตามบันได
เขานึกไปถึงเฉินเซ่าอีกครั้ง ในที่สุดก็แน่ใจว่าเฉินเซ่าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
เฉินเซ่าเรียนรู้ที่จะใช้แผนการน่าไม่อายเหล่านั้นเป็นแล้ว อย่างเช่นวิธีการเหล่านั้นที่จัดการปลุกระดมที่ตะวันตกเฉียงเหนือ รู้จักใช้การล่าถอยเป็นการโจมตีกับฮ่องเต้แสดงละครโวยวายขอลาออก ซ้ำยังรู้จักพูดคำปลุกใจมาเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้อีก
เรื่องเหล่านี้ที่เมื่อก่อนเฉินเซ่าทำไม่เป็น
เขาเปลี่ยนไปเมื่อใดกันนะ หรือบางที เขาฟังใครแล้วจึงเปลี่ยนไปกัน
หรือว่า…เด็กบ้าเจียงโจวนั่น
เด็กบ้าเจียงโจวผู้นั้นน่ะหรือ
เป็นเพราะร้านอาหารแห่งเดียว ก็ทำเอาราชเลขาหลิวอยู่ไม่สู้ตายอย่างไร้ตัวตน ยามนี้ก็แค่รางวัลของทหารที่ตายไปแล้ว บีบบังคับขุนนางที่เกี่ยวข้องด้วยผู้หนึ่งให้ตายยังไม่พอ เด็กบ้าเจียงโจวนั่นจะหัวรั้นกัดไม่ปล่อย บ่อนทำลายผู้บัญชาการฝ่ายปกครองเชียวหรือ
เรื่องเล็กน้อยแท้ๆ ต้องทำถึงขั้นนี้เชียวหรือ ทั้งหมดนี้ฟังดูแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่กระทั่งคนอื่นคิดยังไม่กล้าจะคิด นางไม่เพียงคิดเท่านั้นยังลงมือทำด้วย ซ้ำยังสบายลอยชาย ทำเรื่องหนักหนาสาหัสเช่นนี้อย่างสบายๆ
เด็กบ้าแห่งเจียงโจว!
“สวีเม่าซิว!”
“ไม่สิ ไม่สิ ฟ่านสือโถวดีที่สุด!”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!ในห้าคนจากเขาเม่าหยวนซานของสวีปั้งฉุยประณีตสวยงามที่สุด!”
เสียงเจี๊ยวจ๊าวทำให้เกาหลิงปอหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน ว่าอย่างไรนะ
เขาเม่าหยวนซานรึ เหตุใดจึงยังมีคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ไม่จบไม่สิ้นเสียทีรึ เจ้าสวีเม่าซิวผู้นี้เป็นใครอีก
“ใต้เท้า ท่านไม่รู้หรือ หน้าสุสานของทหารกล้าเขาเม่าหยวนซานตั้งป้ายชื่อแล้ว” บ่าวรับแขกด้านข้างเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง หน้าบานเป็นกระด้ง “สวีเม่าซิว ฟ่านเจียงหลิน สวีปั้งฉุย ฟ่านซานโฉ่ว สวีล่าเยว่ เป็นชื่อของทหารกล้าห้านาย…”
เกาหลิงปอฟังรายนามที่บ่าวรับแขกร่ายออกมาอย่างลื่นไหลก็ยากจะปกปิดความตกใจเอาไว้ได้
เหตุใดชื่อของคนเหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างรู้จักกันได้เล่า
แค่เขาเม่าหยวนซานอย่างเดียวไม่พอหรือไร
“อักษรบนป้ายนั่น ประณีตสวยงามเกินจะหาใดเปรียบ ยามนี้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างกรูกันไปดูแหน่ะ คนพวกนั้นบอกว่า บอกว่า ดีกว่าอักษรของวัดเฉี่ยถิงเสียอีก...งามที่สุดในแผ่นดินก็ว่าได้…” เด็กต้อนรับเอ่ยเสียงดังใบหน้าบานเป็นกระด้ง
งามที่สุดในแผ่นดินอย่างนั้นหรือ!
เกาหลิงปอนิ่งอึ้ง
ดี ดี เป็นอย่างที่คาดไว้ แค่เขาเม่าหยวนซานยังไม่พอ ชาวบ้านร้านตลาดพูดคุยเล่าขานกันยังไม่พอ ยังต้องให้เหล่าใต้เท้าปัญญาชนจดจำไม่ลืมอีก!สุดท้ายยังให้ทั้งห้าคนทิ้งชื่อเสียงเรียงนามไว้ให้คนท่องจำด้วย!
เด็กบ้าแห่งเจียงโจว!เกาหลิงปอหรี่ตาลง
“…ดูแล้วก็แค่ตัวอักษรไม่กี่ตัวเท่านั้น…แต่คนในเมืองต่างคลั่งกันหมดแล้ว…”
“…ทางการจำต้องส่งคนไปล้อมสุสานไว้ สกุลเฉิงนั่นก็ส่งคนไปเฝ้าสุสาน มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าจะถูกคนขโมยไป…”
“…อย่ามาล้อเล่นน่า ใครจะไปขโมยป้ายหลุมศพกัน”
“…ใครจะขโมยรึ ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าเห็นตัวอักษรยังอยากจะขโมยเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนพวกนั้นที่แทบจะเฝ้าป้ายหลุมศพทั้งวันทั้งคืน…”
“ขนาดองค์หญิงป๋อหยางยังไปดูด้วยพระองค์เองเลย พอดูเสร็จกลับไปก็ไปร้องห่มร้องไห้เชียวล่ะ…”
“…โมโหรึ”
“โมโหอะไรล่ะมีความสุขต่างหากเล่า บอกว่าชาตินี้ทั้งชาติได้เห็นป้ายหลุมศพเช่นนี้ก็คุ้มค่าแล้ว…”
เสียงกระซิบพูดคุยข้างหูดังขึ้นไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็มีคนกระแอมขึ้นเบาๆ
แม่นางเฉินสิบแปดเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“…เทียบกับแม่นางเฉินแล้วเป็นอย่างไร”
“…ไอ้หยา คำถามนี้มิใช่เจ้าถามให้เสียเปล่าหรือไร นั่นจะไปเทียบได้อย่างไรเล่า…”
“เป็นใครเทียบใครมิได้”
ไม่มีคนตอบ เสียงหัวเราะสูงๆ ต่ำๆ ดังขึ้น
เสียงหัวเราะนี้ทำเอาอับอายขายหน้าเสียยิ่งกว่าคำตอบอีก
แม่นางเฉินสิบแปดกัดริมฝีปาก ก้าวเดินไป เดินออกมาจนไกลมากแล้ว แต่คล้ายว่ายังได้ยินเสียงกระซิบพูดคุยกันชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์ด้านหลังนางอยู่เลย
ยังดีที่ทางตำหนักห้องเรียนขององค์ชายใหญ่มีคนว่างงานน้อย ไม่นานนางก็หาที่ที่เงียบสงบหยุดฝีเท้าลงได้ นางหยิบกระดาษใบหนึ่งที่กำไว้ในแขนเสื้อออกมากางเปิด
ฟ่านสือโถว
สามคำนี้กระแทกตาเข้าอย่างจัง ทำเอาตาลาย
แม่นางเฉินสิบแปดหลับตาลงอย่างอดไม่ได้
‘วันนี้ข้ามาเพราะคิดจะให้แม่นางได้ดูว่าความพยายามของข้านั้นมีประโยชน์หรือไม่ อยากให้แม่นางได้ดูว่าข้าก้าวหน้าไปขั้นหนึ่งแล้วหรือยัง’
‘ก้าวหน้าแล้ว’
นางบอกว่าก้าวหน้าแล้ว เป็นคำตอบของคำถามที่สอง
เช่นนั้นมิได้ตอบคำถามที่ว่าไม่ว่าความพยายามข้านั้นมีประโยชน์หรือไม่
ตอนนั้นนางเดินมาถึงหน้าประตูแล้วจึงหยุดฝีเท้าลง คิดอยากจะลองถามดู แต่ก็ไม่กล้าถามหรือบางทีอาจจะไม่อยากถาม
ยามนี้นางรู้แล้วว่าทำไมแม่นางผู้นั้นจึงไม่ได้ตอบ และรู้แล้วว่าเหตุใดตัวเองจึงไม่กล้าและไม่อยากถาม
เพราะคำตอบ...ยังคงเดิม
‘ตราบใดที่ฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะสามารถเขียนสวยได้เหมือนแม่นางแล้วหรือ’
‘ไม่ได้ บางทีก็เป็นพรสวรรค์’
ไม่ได้!ไม่ได้!ไม่ได้!
แม่นางเฉินสิบแปดกำหมัดแน่น กระดาษในมือค่อยๆ ถูกขยำเป็นก้อน น้ำตาไหลรินลงมาทีละหยด
“แม่นางเฉิน”
เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง
แม่นางเฉินสิบแปดตกใจได้สติ ยัดก้อนกระดาษไว้ในแขนเสื้อพลางเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว นางหันหลังไป สูดหายใจลึกอมยิ้มบาง
นางกำนัลคนหนึ่งเดินมาคำนับนางจากบันไดสูง
“กุ้ยเฟยเรียกท่านไปพบ” นางเอ่ยบอก
แม่นางเฉินสิบแปดขานรับ สาวเท้าเดินไปข้างหน้า เดินเลียบไปตามทางภายในวัง ไกลออกไปนางเห็นขันทีคนหนึ่งเดินนำสตรีนางหนึ่งมาอย่างช้าๆ นางหยุดฝีเท้าลงอย่างอดไม่ได้พลางมองเงาร่างอันคุ้นเคยนั้น
นางก็มาด้วยหรือ…
“นั่นใครรึ”
กุ้ยเฟยที่ยืนอยู่บนบันไดสูงหรี่ตาเอ่ยถามขึ้น มองไปยังหญิงที่เดินมาแต่ไกล
“กุ้ยเฟย นั่นคือแม่นางเฉิงเพคะ ฝ่าบาทรับสั่งให้นางเข้าเฝ้า” นางกำนัลเอ่ยบอก
กุ้ยเฟยอ๋อคำหนึ่ง เดินไปด้านหน้าสองสามก้าว
“คือแม่นางเฉิง ศิษย์เทพเซียนที่ปลุกฟื้นคนตายให้ฟื้นได้นั้นน่ะรึ” นางเอ่ยถาม มุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้ม “ข้าว่า อาการป่วยของชิ่งอ๋องคงมีหวังที่จะดีขึ้นแล้วกระมัง”
มุมปากนางประดับรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
ยืดเยื้อมานาน ทำเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ เทียบกับเมื่อสองปีก่อนแล้ว ยามนี้ช่วยรักษาชิ่งอ๋องให้หาย รางวัลจึงจะคุ้มค่ากว่ากระมัง
เด็กบ้าแห่งเจียงโจว!