พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 453 คิดมากเกินไป
“นี่เป็นชาผลไม้ที่เข้ามาใหม่”
“นี่เป็นขนมเกาลัดที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ”
“เจ้าลองอันนี้ดูสิ…”
ภายในตำหนักชิ่งอ๋องที่เงียบงันมาโดยตลอด เสียงฝีเท้าของขันทีและนางกำนัลเดินสวนกันอย่างรีบร้อน ในมือถือถ้วยจานใบเล็กเข้าออกกันขวักไขว่
บนโต๊ะเบื้องหน้าเฉิงเจียวเหนียงของว่างละลานตา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับยังคงพูดไม่หยุด
เฉิงเจียวเหนียงกลับมิได้เอ่ยคำใดออกมา ไม่ว่ามีสิ่งใดวางอยู่ นางล้วนชิมอย่างตั้งอกตั้งใจทั้งหมด
“กินไม่หมดก็อย่าฝืนนะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ชอบอันไหนก็ให้คนห่อกลับไปด้วยเสีย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างมีความสุขขึ้นอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าอีกหน ยกมือขึ้นชี้ไปบนโต๊ะโดยไม่เกรงใจ
“อันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้เพคะ” นางบอก
นางกำนัลและขันทีที่อยู่ด้านข้างต่างสบตากัน ปิดบังความตกใจไว้ไม่มิด
แม่นางน้อยผู้นี้…ไม่เกรงอกเกรงใจจริงๆ ด้วย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเรียกนางกำนัลให้รีบมาเอาไปห่ออย่างปลื้มปริ่ม แล้วเอ่ยถามซ้ำอีกรอบว่าชิ่งอ๋องตื่นหรือยัง
ขันทีทั้งสองรีบออกไปดู
“ฝ่าบาทพบเจอคนมาทั้งปีก็ไม่เคยพูดเยอะถึงเพียงนี้กระมัง”
พวกเขากระซิบกันเสียงเบา
“เจ้ากลับเจียงโจวไปเมื่อใดรึ”
เสียงจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงดังขึ้นต่อเนื่องภายในตำหนัก
“ปีก่อนเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งเสียงอ๋อขึ้น
“เรื่องของบรรดาพี่ๆ เจ้าช่างน่าเสียใจจริงๆ” เขาบอก
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าขอบคุณ
ไม่รู้ว่าขอบคุณที่เขาถามไถ่หรือขอบคุณที่ช่วยเหลือกันไว้ในครานี้ หรืออาจจะทั้งคู่กระมัง จิ้นอันจวิ้นอ๋องแย้มยิ้มอีกครา
“ชิ่งอ๋องมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มีคนรายงานขึ้นจากด้านนอก จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบลุกขึ้น มองชิ่งอ๋องที่ขยี้หูขยี้ตาถูกขันทีลากเข้ามาด้วยความไม่เต็มใจนัก
“ลิ่วเกอร์ รีบมาดูนี่เร็ว แม่นางเฉิงมาแหน่ะ” เขายิ้มบอก ยื่นมือไปจูงชิ่งอ๋องเข้ามา
ขนาดเขาเองชิ่งอ๋องยังจำไม่ได้ ไหนเลยจะจำแม่นางเฉิงได้ เขาร้องอือๆ อาๆ สองสามคำแล้วนั่งลงกับพื้น ยื่นมือไปคว้าของกินบนโต๊ะ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องปล่อยเขาทำตามอำเภอใจพลางมองเฉิงเจียวเหนียง
“ดูสิ ไม่เจอกันปีกว่าเขาสูงขึ้นแล้วใช่หรือไม่” เขายิ้มถาม ซ้ำยังแฝงความภาคภูมิใจไม่น้อย
เฉิงเจียวเหนียงมองชิ่งอ๋องอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วพยักหน้า
“สูงขึ้นแล้ว” นางเอ่ย
“แต่อ้วนเกินไปหน่อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย มองชิ่งอ๋องที่ทานอาหารอย่างมูมมาม
ภายในห้องเงียบงันลง ได้ยินเพียงเสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์ของชิ่งอ๋องเท่านั้น
ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่คราแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขาเอาแต่พูดเรื่องขนมน้ำชาเช่นนี้ ขันที่มองชิ่งอ๋องพลางมองใบหน้ายิ้มแย้มของเฉิงเจียวเหนียง ทว่าจนกระทั่งตอนนี้จวิ้นอ๋องก็ยังไม่ยอมพูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที
เขาเงยหน้ามองขันทีด้านนอกที่ก้าวเข้ามา ก่อนยื่นหน้าเข้ามาจากด้านนอกครึ่งลำตัว
รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ฝ่าบาท พวกเราขอทูลลาก่อน” เขาก้าวเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “ท่านพูดคุยกับแม่นางเฉิงเถิด”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องร่างกายแข็งทื่อมองแม่นางเฉิง
เฉิงเจียวเหนียงคล้ายไม่ได้ยินที่ขันทีพูด ยังคงก้มหน้าก้มตากินขนมผลไม้ดื่มชาบนโต๊ะอย่างเงียบๆ ต่อไป
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนกินขนมได้ตั้งอกตั้งใจเช่นนี้ เหมือนไม่เคยกินมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น จิตใจจดจ่อท่าทางดูเคร่งขรึมนัก..
ที่นางกินอยู่นี้มิใช่อาหารแต่เป็นน้ำใจกระมัง
เหมือนตอนเด็กๆ ยามอยู่ที่บ้าน ในวันปีใหม่พ่อแม่จะวางของอร่อยไว้ตรงหน้าพวกเขาพี่น้อง สิ่งที่วางไว้นั้นล้วนเต็มไปด้วยความรักเอื้ออาทร
แม้ว่าในความทรงจำจะมีไม่กี่ครั้ง แต่ก็คงจะดีกว่าของนางกระมัง
นางน่าจะไม่มีเลยสักครั้ง
ทุกคนภายในตำหนักเริ่มทยอยออกไป เสียงฝีเท้าทำให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องหลุดจากภวังค์
“เดี๋ยวก่อน” เขาเอ่ยขึ้น
ขันทีที่อยู่หน้าสุดร่างกายแข็งทื่อหยุดนิ่งลง ทุกคนจึงยืนนิ่งตามไปด้วย
“แม่นางเฉิง ปีกว่าแล้ว เจ้าว่ายามนี้อาการป่วยของชิ่งอ๋องจะรักษาหายหรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงวางตะเกียบในมือลง เงยหน้าขึ้น
“เขามิได้ป่วย” นางเอ่ย “ดังนั้นจึงคุยเรื่องรักษาไม่รักษามิได้เพคะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าทอดถอนใจ
“อืม ข้ารู้แล้ว” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงคำนับ
“หม่อมฉันทูลลา” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าไม่ได้เอ่ยคำใด มองเฉิงเจียวเหนียงเดินออกไปอย่างช้าๆ ไกลจากสายตาไปเรื่อยๆ ราวกับว่าจะไม่ได้พบอีกแล้ว…
เขามองตาไม่กะพริบ ทันใดนั้นก็เห็นหญิงสาวที่เดินไปถึงหน้าประตูหยุดฝีเท้าลง เงยหน้าขึ้นมองเขา นางแย้มยิ้มบาง ขยับริมฝีปากว่า
ฟางป๋อฉง อย่าเสียใจไปเลย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งหลังตรงขึ้นโดยพลัน ชั่วขณะนั้นราวกับตนหยุดหายใจไป
เฉิงเจียวเหนียงข้ามธรณีประตูเดินออกไป
ชิ่งอ๋องกินเสร็จก็ใช้แขนเสื้อเช็ดปาก ลุกขึ้นไปวิ่งเล่น เหล่านางกำนัลและขันทีต่างรีบตามกันไป ภายในตำหนักพลันเงียบงันขึ้นมาในทันใด
มองจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่นั่งตัวตรงไม่ขยับไหวคล้ายแข็งค้างไปแล้ว ขันทีนายนั้นจึงเดินเข้าไปหา แล้วคุกเข่าลง
“บ่าวมาขอรับโทษเองพ่ะย่ะค่ะ” เขาโขกศีรษะเอ่ยขึ้น
“ซื่อเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี เจ้าทำเพื่อข้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“ฝ่าบาท” ขันทีเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
“ทว่าสิ่งใดที่เรียกว่าทำเพื่อข้าน่ะหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขัดเขาขึ้น สายตาตกไปบนร่างเขา “สิ่งที่ข้าคิดว่าดี จึงเป็นสิ่งที่ทำเพื่อข้า”
ขันทีสีหน้าขาวซีดค้อมกายลง
“เรื่องที่ต้องทำมีหลากหลายวิธีนัก ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ทำร้าย…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย สายตามองไปยังด้านนอก ตรงนั้นมองไม่เห็นเงาร่างของเฉิงเจียวเหนียงแล้ว “คนที่เราห่วงใย”
ฟางป๋อฉง อย่าเสียใจไปเลย
รอยยิ้มบนใบหน้าจิ้นอันจวิ้นอ๋องแย้มบานอีกครั้ง
เฉียดฉิว เกือบไปแล้ว โชคดี เคราะห์ดีนัก
ภายในตำหนักไทเฮา กุ้ยเฟยมองไปยังด้านนอกบ่อยครั้ง
“ไทเฮาเพคะ เหตุใดไม่ให้ชิ่งอ๋องมาที่นี่เล่า เราจะได้ฟังด้วยว่าจะรักษาอย่างไร พูดกันหลบๆ ซ่อนๆ เราไม่อาจทราบกันได้นะเพคะ” นางเอ่ย
“ชิ่งอ๋องหลับอยู่แหน่ะ เหว่ยหลังไหนเลยจะหักใจปลุกเขาให้เขาเดินมาไกลถึงที่นี่ได้ ระหว่างทางยังจะโดนพวกไม่มีตามองตกอกตกใจเอาอีก” ไทเฮาเอ่ย “เหตุใดกุ้ยเฟยจึงบอกว่าหลบๆ ซ่อนๆ เล่า เรื่องนี้มีอันใดน่าหลบน่าซ่อนกัน”
กุ้ยเฟยแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ตกอกตกใจอย่างนั้นหรือ…
มีจิ้นอันจวิ้นอ๋องอยู่ ยามนี้ในวังจะมีใครกล้าตกอกตกใจเด็กสติไม่ดีนั่น ไม่ทันระวังก็ต้องโทษรังเกียจชิ่งอ๋องถูกโบยจนเกือบขาดใจตายแล้ว
นางกำลังจะเอ่ยต่อก็มีขันทีสาวเท้าเข้ามา
“ทูลไทเฮา จวิ้นอ๋องบอกว่าแม่นางเฉิงยังไม่อาจรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ” เขาค้อมกายก้มหน้าเอ่ย
ไทเฮาเอ่ยรับแล้วนั่งลง
“จริงรึ” นางถาม
กุ้ยเฟยก็ถามด้วยสีหน้าเช่นเดียวกัน
“พ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นบ่าวอยู่หน้าห้อง ได้ยินจวิ้นอ๋องถามอย่างชัดเจน แม่นางเฉิงบอกว่าชิ่งอ๋องมิได้ป่วยดังนั้นจึงคุยเรื่องรักษาไม่รักษามิได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยตอบ
“เหตุใดจึงบอกว่ามิได้ป่วยเล่า” กุ้ยเฟยเอ่ยถาม
ขันทีไม่ได้ตอบนาง ไทเฮาตอบออกมาก่อนแล้ว
“ตอนนั้นเหว่ยหลังพาลิ่วเกอร์ไปหานาง นางก็บอกเช่นนี้เหมือนกัน บอกว่าลิ่วเกอร์สติไม่ดี มิได้ป่วย และมิใช่คนใกล้ตาย ดังนั้นนางจึงไม่รักษาและรักษามิได้ด้วย” นางบอกแล้วถอนใจ สีหน้าระทมทุกข์ “เหว่ยหลังเล่าเช่นนั้น”
“พระองค์บอกว่าจะไปดูชิ่งอ๋อง จึงมิได้มาทูลเหนียงเหนียงด้วยตัวเอง ขอไทเฮาอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ย
“ดูสิ ปวดใจอีกคราแล้ว” ไทเฮาเอ่ย แล้วทอดถอนใจยาวออกมาอีกยก
กุ้ยเฟยถอนหายใจตาม ก่อนเอ่ยปลอบใจแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกมา พอเดินออกมาจากตำหนักไทเฮาแล้วคิ้วนางก็ขมวดขึ้น
“จริงรึ” นางเอ่ยถาม
ขันทีที่เพิ่งจะโค้งคำนับคนนั้นเดินเข้ามาอย่างระมัดระวังพลางแย้มยิ้ม
“ไม่กล้าปิดบังเหนียงเหนียง บ่าวได้ยินได้เห็นได้ยินมากับตัวเอง พูดเช่นนี้จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ พอแม่นางเฉิงพูดจบ จวิ้นอ๋องก็ยังไม่ดีขึ้น ยามนี้ยังนั่งเหม่ออยู่ในตำหนักไม่พบผู้ใดอยู่แหน่ะพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอก
กุ้ยเฟยปิดปากสนิทไม่เอ่ยคำใดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เช่นนั้น…” นางเอ่ย มองไปทางตำหนักชิ่งอ๋อง “หากเกิดป่วยขึ้นมาเล่า”
“เกิดป่วยก็รักษาในอาการป่วยที่ควรจะรักษา สติไม่ดีมิใช่การป่วย”
เกาหลิงปอที่ถูกเรียกตัวมาได้ฟังกุ้ยเฟยบอกเล่าก็ส่ายหน้าเอ่ยขึ้น
“กุ้ยเฟยคิดมากเกินไปแล้ว”
“เจ้าไม่เชื่อว่านี่เป็นคำพูดโกหกของจวิ้นอันจวิ้นอ๋องกับแม่นางเฉิงรึ” กุ้ยเฟยเอ่ยถาม “จงใจปกปิดว่าสามารถรักษาได้”
“เหนียงเหนียง ปกปิดได้อย่างไร คนมากมายต่างฟังและมองอยู่เช่นนั้น พูดชัดเจนเพียงนั้นแล้ว ยังมีอันใดให้ต้องปกปิดกัน ปกปิดฝ่าบาทมีอันใดน่าสนุกกัน” เกาหลิงปอเอ่ย “ฮ่องเต้เป็นคนที่นางเอามาหยอกเล่นตามอำเภอใจได้หรือ ครั้งเดียวยังไม่พอ ยังต้องมีอีกกี่ครั้งกัน”
กุ้ยเฟยนั่งลงที่เดิมอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“แม่นางเฉิงผู้นี้ในเมื่อบอกว่าไม่รักษาถึงสองครา ข้าว่านางไม่อาจตบหน้าตัวเองต่อหน้าผู้คนในแผ่นดินในเร็วๆ นี้แน่ ยามนี้เจ้าไม่ต้องคิดมากเกินไป” เกาหลิงปอเอ่ยขึ้นอีก “หนึ่ง ไม่ถึงขั้นคุกคามถึงองค์ชายใหญ่ สอง ฝ่าบาทยามนี้ก็ไม่อาจหักใจให้นางจากไปได้ ไม่ถึงขั้นจำใจต้องทำ เราไม่อาจเสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจนกับนาง มิฉะนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย”
เรื่องราวมีการแบ่งแยกความสำคัญไม่สำคัญ ช้าและเร็ว ต้องแยกแยะให้ชัดเจน มิฉะนั้นจะเป็นตนเองที่เสียเปรียบ
“ยามนี้เรื่องราวยังไม่ถึงขั้นต้องรีบร้อนอีกหรือไร” กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าร้อนใจ “จิ้นอันจวิ้นอ๋องคนเดียวอยู่ในวังทั้งวี่ทั้งวันก็กวนใจข้ามากพอแล้ว นี่ยังมีแม่นางเฉิงที่วางตัวผิดปกติไม่อยู่ในกรอบในธรรมเนียมเพิ่มมาอีกคน...”
“สิ่งที่ควรจัดการก็จัดการไป ที่ควรดึงมาเป็นพวกก็ไปดึงมา” เกาหลิงปอเอ่ย “ไม่รีบ ไม่รีบ”
“จะไม่รีบได้อย่างไร จวิ้นอ๋องสิบเก้าชันษาเข้าไปแล้ว ซ้ำยังอยู่ในวังอีก ยามนี้ยังมีหมอเทวดามาอีกคน แม้จะบอกว่าไม่ใกล้ตายก็ไม่รักษา แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าจะมีวิธีของเทพเซียนอันใดอย่างอื่นอีกหรือไม่ สำนักเต๋าเหล่านั้นถนัดเรื่องบำเพ็ญตนเป็นเซียนมิใช่หรือไร บัณฑิตถงผู้นั้นให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่งมิใช่หรือ ฝ่าบาทก็อายุอานามพอๆ กับเขา ไม่แน่ว่าอาจจะขอเคล็ดลับมาให้กำเนิดบุตรชายอีกคนก็ได้…” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างร้อนรน
เกาหลิงปอลูบเคราจิตใจจดจ่ออยู่พักใหญ่
“เช่นนั้นก็ให้จวิ้นอ๋องออกจากวังไป” เขาเอ่ย
“ออกอย่างไร” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างโมโห “ไทเฮากับฝ่าบาทต่างโอบอุ้มเขาไว้อย่างกับเด็กสามขวบเช่นนั้น ใครจะกล้าเอ่ยปากไล่เขาออกไปได้ เช่นนั้นก็เหมือนทำร้ายเขาให้ตายอย่างไรอย่างนั้น ไทเฮาแทบจะกินเขาเข้าไปอยู่แล้ว”
เกาหลิงปอแย้มยิ้ม
“ในเมื่อไทเฮาห่วงว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องออกจากวังจะโดนทำร้าย เช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว” เขาเอ่ย “ให้องค์ชายใหญ่ออกจากวังไปด้วยสิ”
องค์ชายใหญ่รึ
กุ้ยเฟยนั่งลงอย่างฉับพลัน
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!ข้าต้องการไล่เขาออกไป มิใช่ไล่ซื่อเกอร์ออกไปเสียหน่อย!” นางเอ่ยอย่างร้อนรน “ซื่อเกอร์เพิ่งจะสิบสาม เด็กเพียงนั้น…”
“องค์ชายใหญ่เยาว์เพียงนี้ก็สามารถออกจากวังไปจวนชินอ๋องได้แล้ว เขายังไม่กลัว จิ้นอันจวิ้นอ๋องโตเพียงนี้ยังต้องกลัวอันใดอีก” เกาหลิงปอเอ่ย
“ตะ…แต่ว่า” กุ้ยเฟยยังคงส่ายหน้า
“เหนียงเหนียงคงจะรู้ดีว่ายามนี้ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับจิ้นอันจวิ้นอ๋องในเรื่องราชสำนักแล้วกระมัง”
เกาหลิงปอเอ่ยถามขัดนางอย่างเคร่งขรึม
พูดถึงเรื่องนี้กุ้ยเฟยก็ยิ่งเดือดดาลกว่าเดิมทันที
นางได้ยินมาหลายครั้งหลายคราแล้ว ฝ่าบาทมักจะชื่นชมจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ส่วนองค์ชายใหญ่กลับยิ่งโดนละเลยขึ้นเรื่อยๆ
“ดังนั้นข้าจึงบอกให้รีบไล่เขาอย่างไรเล่า!” นางเอ่ย
“ในวังหลวง องค์ชายใหญ่กับจวิ้นอ๋องดูๆ แล้วล้วนเหมือนกัน แต่พอออกจากวังไป คนหนึ่งคือชินอ๋องซ้ำยังเป็น
รัชทายาท อีกคนเป็นจวิ้นอ๋องแต่เป็นได้แค่จวิ้นอ๋อง กุ้ยเฟย ชินอ๋องเข้าวังไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด จวิ้นอ๋องอย่างเขาจะเข้าวังมาทุกวี่ทุกวันได้อย่างไร ต่อให้ฮ่องเต้กับไทเฮายินยอมเต็มใจ เหล่าขุนนางในราชสำนักไม่ยอมหรอก” เกาหลิงปอเอ่ย “ใกล้ชิด ใกล้ชิด หนึ่งต้องมีใกล้ สองต้องมีชิด จึงเรียกว่าใกล้ชิด หากมีแต่ใกล้ไร้ซึ่งชิด น้ำใจคนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว”
เป็นเช่นนี้เอง หลังจากออกจากวังไป จวิ้นอ๋องจะไม่อาจปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าไทเฮาและฝ่าบาทได้ทุกเมื่อทุกเวลาเหมือนยามนี้ได้แล้ว ส่วนองค์ชายใหญ่กลับไม่เหมือนกัน หนึ่งเขาเป็นพระนัดดาที่แท้จริง สองในวังยังมีนางอยู่ ส่วนจิ้นอันจวิ้นอ๋องน่ะหรือ ไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น และไม่เหมาะสมกับสิ่งใดทั้งนั้นด้วยเช่นกัน!
กุ้ยเฟยเท้าแขนครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“แต่ชิ่งอ๋องเล่า” นางเอ่ยถามขึ้นอีก “เด็กคนนั้นต้องใช้ชิ่งอ๋องมาเป็นโล่ไม่ยอมไปแน่”
“ชิ่งอ๋องน่ะหรือ” เกาหลิงปอลูบเครายิ้มบาง “เหล่าองค์หญิงในวังก็มีไม่น้อย ย่อมมีคนเจอเด็กบ้าคนนี้โดยไม่ทันระวังแน่นอน ไม่แน่อาจจะตกอกตกใจก็ได้”
กุ้ยเฟยกระจ่างแจ้งดวงตาเป็นประกายแต่ก็เข้มขึ้นโดยพลัน
“ตอนนั้นก็เคยตกใจมิใช่หรือ สุดท้ายโดนไทเฮาตำหนิเอา” นางเอ่ย
เกาหลิงปอยิ้มบาง
“กุ้ยเฟย นั่นเป็นเมื่อก่อน ยามนี้ผ่านไปจะสองปีแล้ว” เขาเอ่ย “เรื่องชิ่งอ๋องทุกคนเสียใจกันหมด แต่ไม่อาจเสียใจกันไปตลอดหรอกกระมัง”
ดังนั้นหมายความว่าเรื่องต่างๆ มีการแบ่งแยกความสำคัญไม่สำคัญ ช้าและเร็ว เวลาใดควรทำเรื่องใด ไม่อาจรีบร้อนได้ หวังแต่จะให้เร็ว ไม่ดูประสิทธิผล จะทำให้ยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย
และยามนี้เป็นเวลาที่ควรจัดการคนที่ควรจัดการแล้ว
ทำสิ่งใดมักต้องมีราคาที่ต้องจ่าย ใครให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องผู้นี้พูดจามากความในราชสำนักเมื่อครั้งนั้นกันเล่า เกาหลิงปออย่างเขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียด้วย ครานี้เสียเปรียบไปไม่น้อย แต่มิใช่ว่าจะเลิกแล้วต่อกันไปเช่นนี้ได้ เขาจะทวงคืนมาทีละนิดทีละน้อยเลยเชียวล่ะ