พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 454 คาดไม่ถึง
หลังฝนสารทฤดูผ่านไป อากาศก็หนาวเย็นขึ้นมาไม่น้อย
หลี่เม่านายทวารเฝ้าประตูเมืองทิศตะวันออก กลับมิได้ควบม้ากลับเรือนเหมือนดังเก่าก่อน แต่เปลี่ยนจากชุดทางการเป็นเสื้อผ้าที่มักจะสวมใส่อยู่บ้าน ควบม้าไปยังนอกเมือง
ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนมีไม่น้อย แต่ยิ่งใกล้ประตูเมืองมากขึ้นเท่าใด คนก็ใช่ว่าจะน้อยลงแต่กลับยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เสียงจอแจเบื้องหน้าราวกับตลาดนัด ทั้งเสียงเรียกลูกค้าก็ดังขึ้นไม่หยุด
“เหตุใดที่นี่จึงมีตลาดนัดด้วยเล่า ห่างจากเมืองไปไม่ใกล้แต่ก็ถือว่าไม่ไกล ยิ่งไปกว่านั้นมุ่งไปทางตะวันตกอีกสามลี้ก็เป็นตลาดนัดแล้วนี่”
ผู้คนสัญจรที่ฉงนสงสัยมีไม่น้อย ทั้งสนใจใคร่รู้ทั้งไม่เข้าใจ
“มุ่งไปทางตะวันตกสามลี้มีสุสานเม่าหยวนอยู่ด้วยน่ะสิ” มีคนเอ่ยแก้ข้อสงสัย
คำนี้ทำให้คนผู้นั้นยิ่งตกใจขึ้นไปใหญ่
ไม่เพียงแต่จะมีตลาดนัด ยังมีสุสานอยู่อีกด้วยหรือ!
คนเป็นในยามนี้ไม่หลบเลี่ยงคนตายกันเช่นนี้แล้วรึ
ในขณะที่เขายังคงตกใจอยู่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นจากด้านข้าง เป็นเสียงร้องไห้ดังลั่นอย่างโศกเศร้า
เขาหันไปมอง เป็นดังคาด เห็นหน้าชายอายุอานามมากแล้วคนหนึ่งตีอกกระทืบเท้าร้องห่มร้องไห้ถูกรั้วล้อมไว้ใน สุสานแห่งนั้น
“มาเยี่ยมหลุมศพหรือนั่น” เขาเอ่ยด้วยความตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
“ไม่ใช่ เป็นคนที่มาดูอักษรจนเสียสติไปอีกคนแล้วน่ะ” สหายที่ตั้งแผงด้านข้างบอกด้วยสีหน้าท่าทางที่เห็นจนชินตาแล้ว
ดูอักษรรึ
คนที่ผ่านทางมาผู้นั้นหันไปมองคนที่กำลังร้องไห้เสียงดังลั่นนั่นอีกหน เห็นชายที่ร้องไห้คนนั้นสวมชุดคลุมตัวยาว บ่งบอกชัดว่าเป็นบัณฑิต
“ท่านบัณฑิต ร้านข้ามีพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกชั้นดีมากมาย และแบบฝึกคัดลายมือแบบใหม่ที่คัดลอกมาจากป้ายหลุมศพด้วยตัวเอง…” สหายผู้นั้นเห็นว่าคนที่ผ่านทางมาตั้งใจดูมากจึงรีบเรียกลูกค้าเสียงดัง “ไม่เหมือนกับหนังสือคัดลอกมาจากป้ายหลุมศพของคนอื่น”
คนที่ผ่านทางมายังไม่ทันจะเข้าใจ คนอื่นๆ ด้านข้างก็ไม่พอใจขึ้นมา
“…เจ้าโม้ให้มันน้อยๆ หน่อย ยามนี้ป้ายหลุมศพถูกปิดล้อมไปแล้วไม่อนุญาตให้เข้าไปใกล้ เจ้าจะมาลอกไปได้อย่างไร…”
“…สิ่งนี้พวกเจ้าสู้ไม่ได้หรอก น้องชายเมียของลูกชายของป้าของหลานของลุงสามข้าทำงานอยู่ในเรือนไท่ผิง ขออนุญาตมาจากเถ้าแก่…”
“…ไปพล่ามให้แม่เจ้าฟังโน่น…”
เห็นว่าทางด้านนี้ก่นด่ากันขึ้นมา คนที่ผ่านทางมาก็ยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่ ลืมกระตุกเชือกม้า สายตามองไปยังบัณฑิตเฒ่าที่ตีอกกระทืบเท้าคนนั้น
“…ข้าอยู่มาปูนนี้แล้ว เรียนรู้จากทุกสำนักมามากมาย อวดภูมิความสำเร็จด้านอักษร ได้ยินผู้คนต่างเล่าขานกันว่าหลังหลานถิงมีอักษรสิงซูอันดับสองของใต้หล้าไว้ให้ผู้คนได้เชยชม ข้ายังไม่ยอมรับ…” บัณฑิตเฒ่าคนนั้นพูดไปร้องไป
ทว่าประโยคนี้สำหรับคนที่มามุงล้อมแล้วมิใช่สิ่งแปลกใหม่อันใด ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้ยินอยู่ทุกวัน ตัวเองยังเคยพูดกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น แต่ละคนเพียงแค่มองไปที่ป้ายหลุมศพก็คล้ายโง่งมคล้ายมัวเมาขึ้นมา
แต่ก็ก็มีไม่น้อยที่มาชมความคึกคักสนุกไม่รู้เบื่อกับท่าทางเสียกิริยาของบัณฑิตเหล่านี้
“เช่นนั้นเจ้าร้องไห้เพราะรู้สึกอับอายที่เทียบไม่ได้อย่างนั้นรึ” มีคนเอ่ยถามขึ้น
“ร้องไห้เพราะรู้สึกอับอายที่เทียบไม่ได้นั่นมันเรื่องธรรมดา แต่ที่ข้าร้องไห้เพราะรู้สึกมองจนเจ็บปวดใจต่างหาก” บัณฑิตเฒ่าเอ่ยทั้งน้ำตา “ความรู้สึกตรงไปตรงมา คร่ำครวญถึงความไม่เที่ยงแท้ของโลก โศกเศร้าและไม่พอใจไปกับมัน ดวงจิตยึดมั่นในตำรา ตำรามีจิตวิญญาณของมนุษย์ เป็นตำราแต่ก็มิใช่ตำรา เป็นอักษรแต่ก็มิใช่อักษร”
คำพูดเสียสติเหล่านี้คนที่มาชมความคึกคักก็ได้ยินกันมาไม่น้อยแล้ว บางคนหัวเราะออกมา บางคนมึนงงไม่เข้าใจ
ทางด้านบัณฑิตเฒ่าเพิ่งจะเอ่ยจบ ทางด้านปัญญาชนที่นั่งอยู่บนพื้นคนหนึ่งก็ตบมือกระโดดขึ้นมา
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว” เขาตะโกนขึ้นเสียงดังพลางกระโดดโลดเต้น “เป็นตำราแต่ก็มิใช่ตำรา เป็นอักษรแต่ก็มิใช่อักษร มือกับจิตแยกจากกันจึงจะเป็นความล้ำเลิศพิสดารอันแท้จริง”
เขากล่าวจบก็หัวเราะออกมายกใหญ่ เดินโซซัดโซเซออกไป
คนที่มามุงดูต่างพากันส่ายหน้า
“ตรัสรู้ไปอีกคนแล้ว”
“บางทีอาจจะบ้าขึ้นมาอีกคนก็เป็นได้”
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่
หลี่เม่าเบี่ยงกายหลบ เห็นปัญญาชนเดินออกไปอย่างเสียสติก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปหา
“ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ ไม่อนุญาตให้เข้าไปใกล้” ด้านหน้าสุสานมีคนเฝ้าสุสานสองคนรีบเอ่ยตำหนิขึ้น
หลี่เม่าหยุดฝีเท้าลง และข้างกายตนมีคนจำตนได้
“แม่ทัพใหญ่หลี่ ท่านก็มาชื่นชมอักษรกันกับเขาด้วยหรือ” พ่อค้าตั้งแผงคนหนึ่งเอ่ยทัก
แม่ทัพใหญ่หลี่คำเดียวทำให้คนที่มุงดูต่างหันมามอง ในฐานะนายทวารรักษาประตู คนทำมาค้าขายที่เข้าๆ ออกๆ ส่วนใหญ่แม้จะไม่รู้จัก แต่ก็นับว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ ทุกคนจึงต่างตกใจกันทันควัน
“ที่แท้แม่ทัพใหญ่หลี่ก็ชอบสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน”
“ไม่เป็นแม่ทัพใหญ่แต่จะไปเป็นปัญญาชนแล้วหรือ”
“เป็นแม่ทัพใหญ่จะมีอนาคตอันใดเล่า ขุนนางด้านอักษรสิจึงจะรุ่ง…”
“น่าจะไม่ได้มาดูอักษรนะ น่าจะมาดมกลิ่นสุรามากกว่า”
“ยามนี้หน้าสุสานถูกเหล่าปัญญาชนล้อมไว้ อย่าว่าแต่ดมกลิ่นสุราเลย กระทั่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจอแจที่นี่ก็ยังทำให้พวกเขาไม่พอใจได้…”
“เหล่าปัญญาชนพวกนี้ก็พาลหาเรื่องเสียจริง พวกเขามาดูอักษรได้ มีสิทธิอันใดไม่ให้คนอื่นมาดมกลิ่นสุรา”
“เฮอะๆ หลิวซื่อ เจ้าคิดจะอาศัยจังหวะนี้ขายสุรากระมัง”
ณ ที่นั้นต่างโหวกเหวกวิพากวิจารณ์เสียงดังไปทั่วทั้งบริเวณ หลี่เม่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยจึงรีบหันหลังเดินจากไป เขาขี่ม้ากลับมาถึงเรือนก็โดนบิดาเรียกให้ไปพบ
ในฐานะลูกชายของอนุที่ปัญญาทึบ ไม่รู้จักพูดจักคุยเหมือนเหล่าพี่ชายน้องชายคนอื่นๆ คบค้าสมาคมกับใครไม่ค่อยได้ แต่งานฝีมืออย่างเคล็ดลับดอกไม้ไฟของหลี่เม่ากลับส่งต่อตกทอดไปให้ลูกชายคนโตได้ ทว่าเขาก็ไม่อาจไปเป็นกรรมกรได้กระมัง
ดังนั้นสูงไปก็รับไม่ไหว ต่ำไปก็ไม่เอา ยังดีที่บิดาหาโอกาสให้เงินเขาเพื่อฝึกศิลปะการต่อสู้ และเพื่อให้ในตระกูลยิ่งได้รับการพึ่งพามากขึ้น แต่ในขณะนี้ หวังแค่จะให้เขาสร้างผลงานนั้นเป็นไม่ได้หรอก
“ได้ยินว่าเจ้ามักจะไปโรงงานหัตถกรรมรึ” หลี่ฟู่เอ่ยเข้าประเด็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ซ้ำยังปรับสูตรเองด้วย คิดจะทำอันใด”
“ข้า…ข้าแค่อยากจะลองดูเท่านั้นขอรับ” หลี่เม่าลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยบอก
“ลองรึ ลองอันใดกัน!” หลี่ฟู่ตะคอกพลางตบโต๊ะ “ในเมื่อเจ้าเป็นแม่ทัพก็ตั้งอกตั้งใจเป็นแม่ทัพของเจ้าให้ดี เรื่องงานหัตถกรรมเป็นสิ่งที่เจ้าต้องมาสนใจรึ”
“ท่านพ่อ ยังจำพลุวันนั้นของเหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนซานได้หรือไม่ขอรับ แต่ต้องดีกว่าตระกูลเรามากนัก ลูกอยาก…” หลี่เม่ารีบเอ่ยขึ้น
หลี่ฟู่มองเขาอย่างเย็นชา หลี่เม่าจึงเอ่ยเสียงค่อยลง
“เจ้าอยากจะทำอันใดมากมาย” เขาเอ่ย “ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าเรื่องในบ้านไม่ต้องให้เจ้ามากังวล เจ้าไปคิดว่าจะทำเช่นไรจะได้เลื่อนขั้นดีกว่า กี่ปีมาแล้ว คนที่เข้ามาก่อนเจ้าเลื่อนขั้นไปแล้ว คนที่เข้ามาทีหลังเจ้าก็เลื่อนขั้นไปแล้วเช่นกัน เหลือแค่เจ้าคนเดียว หรือชาตินี้จะเป็นแค่นายทวารเฝ้าประตูเมือง”
หลี่เม่าก้มหน้าไม่กล่าวคำ ฟังบิดาตำหนิยกใหญ่
“เรื่องนี้เจ้าคิดไปถึง หรือพวกเราจะคิดไม่ถึงกัน” หลี่ฟู่เอ่ยขึ้นอีก มองหลี่เม่าอย่างข่มขู่ “เป็นคนต้องมีความรับผิดชอบ ต้องเพียรพยายาม”
หลี่เม่าจึงก้มหน้าขานรับ เขารู้สึกถึงพื้นสั่นไหว ในขณะเดียวกันก็มีเสียงรุนแรงดังสนั่นอยู่ไม่ไกล คนภายในห้องต่างออกมามองไปทางตะวันตก เห็นควันเข้มข้นลอยขึ้นบนอากาศจากเรือนหลังหนึ่ง
นั่นเป็นทิศที่ตั้งโกดังของตระกูลหลี่
“แย่แล้ว”
หลี่ฟู่กับหลี่เม่าสีหน้าพลันเปลี่ยน
“เจ้าไม่ต้องคิดว่าจะเลื่อนขั้นอย่างไรแล้ว” หลี่ฟู่มองไปยังหลี่เม่าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “คิดว่าจะขอรับโทษอย่างไรดีกว่า!”
เสียงกลองและฆ้องดังขึ้นบนถนนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง
เกาหลิงปอที่เพิ่งจะกลับมาถึงเรือนก็ตกใจขึ้นมายกใหญ่เช่นกัน
“ไฟไหม้รึ” เขาเอ่ยถาม พลางเงยหน้ามอง ควันดำเข้มลอยขึ้นจากทางทิศตะวันตก
คล้ายกับกำลังกังวลอันใดอยู่ เขาหยุดฝีเท้าลงยืนอยู่กลางลานบ้าน
“นายท่านวางใจ ไหม้ไม่ถึงทางเราหรอกขอรับ” ผู้ติดตามคนสนิทรีบเอ่ยขึ้น
เกาหลิงปอหรี่ตาลง
“ไฟไหม้ครานี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนัก เกรงว่าฝ่าบาท ไทเฮา และเหล่าพระสนมก็คงต่างตกอกตกใจเช่นกัน” เขาเอ่ย
เกาหลิงปอคิดไม่ผิดจริงๆ ไม่นานเรื่องอัคคีภัยครั้งใหญ่ในเมืองหลวงก็ถูกรายงานเข้าไปในวัง
ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะสะสางราชกิจเสร็จพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งก็ตกใจจนลุกขึ้นมา
เมืองหลวงไฟไหม้มิใช่เรื่องน่าแปลกอันใด แต่ทุกครั้งกลับเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากอย่างร้ายแรง เรื่องคราก่อนที่อนุตระกูลหนึ่งเพื่อแอบซ่อนเงินไม่กี่ตำลึงเผาไปเสียครึ่งถนนยังผ่านพ้นไปได้ไม่นานเลย
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ดับไฟได้แล้ว และบาดเจ็บล้มตายไปไม่มากพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขันทีรีบทูลบอก
ฮ่องเต้กลับไม่เชื่อที่พวกเขาบอก ไฟยังไม่ได้ดับลงเสียหน่อย รู้ได้อย่างไรว่าบาดเจ็บล้มตายไปเท่าใด พวกขันทีเหล่านี้โง่งมหนักนัก กระทั่งคำปลอบใจคนยังพูดไม่เป็น
พระองค์พลันออกจากตำหนักไปยังตำหนักในวังที่ตั้งอยู่สูงที่สุดทอดพระเนตรมองไปในเมือง แต่ก็พบว่าไทเฮาและเหล่าสนมต่างอยู่ที่นี่กันหมด
“ได้ยินว่าพลุของตระกูลหลี่ระเบิดรึ” ไทเฮาถาม
คนในกองนครหลวงย่อมไปสืบและมารายงานเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอันใดต้องปิดบัง ฮ่องเต้จึงพยักหน้าตอบ
“บอกแต่แรกแล้วว่าของพวกนั้นมันไม่ดี เหตุใดยังเอาไปเก็บไว้ในเรือนอีก ทำร้ายคนไปเท่าใดแล้วนั่น” ไทเฮาพนมมือสวดมนต์พลางเอ่ยขึ้น
“เมื่อก่อนมิได้เก็บไว้ในเรือน” ฮ่องเต้ตรัส “รายละเอียดของเรื่องเป็นอย่างไรทหารหน่วยห้ากำลังสืบถาม”
“ต้องลงโทษให้ได้นะเพคะ” ไทเฮาตรัส
ฮ่องเต้พยักหน้า
ทุกคนมองไปนอกเมืองโดยไม่พูดอันใดอีก โชคดีที่สถานการณ์ของเพลิงไหม้ค่อยๆ ดีขึ้น ควันเข้มข้นก็เริ่มจางไปแล้ว และยามนี้ข้อมูลที่ละเอียดกว่าเดิมก็รายงานมาแล้วเช่นกัน
“เรื่องสำคัญเช่นนี้ กระหม่อมพาเขาเข้ามาทูลรายงาน ฝ่าบาทและไทเฮาอยากถามสิ่งใดก็จะตอบอย่างละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” คนของกองนครหลวงทูลบอก ชี้ไปยังทหารหน่วยห้าที่ตามมาด้านหลัง
ภายในวังหลังหากไม่ได้รับสั่งให้เข้าเฝ้าไม่อาจเข้าไปได้
ฮ่องเต้พยักหน้า
“คนในตระกูลหลี่บอกว่าก่อนหน้านี้ต่างระมัดระวังกันมาก ร้านรวงต่างอยู่นอกเมือง วันนี้ลูกๆ ในตระกูลไม่ดี ฝ่าฝืนกฎโดยการเพิ่มส่วนผสมไปมากกว่าเดิม คนในตระกูลเรียกมาไต่ถาม ผลปรากฏว่าในโกดังของตระกูลที่เกิดระเบิดด้วยตัวเองนั้นเป็นเพราะมีกองกระดาษและไม้อยู่จึงทำให้เผาไหม้ขึ้นมา ลูกคนนั้นโดนมัดไว้แล้ว กำลังรอการลงโทษพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางเอ่ยทูล
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็พาขันทีเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ไทเฮาเกิดเรื่องใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขารีบทูลถาม
“เหว่ยหลัง” ไทเฮาเห็นเขาก็รีบยื่นมือไปดึงไว้ พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เรากำลังจะให้คนไปตามเจ้าอยู่พอดี…”
พอประโยคนี้เอ่ยออกไปก็เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องสีหน้าแปรเปลี่ยน ยังไม่ทันจะหันหน้าไป ด้านหลังก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เสียงร้องไห้แหลมเล็กของเด็กน้อยดังขึ้นมาตามๆ กัน พร้อมกับเสียงกรีดร้องของนางกำนัล ดังระงมไปค่อนวัง
ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง จิ้นอันจวิ้นอ๋องสาวเท้าวิ่งไปทางด้านหลัง
“เป็นองค์หญิงน้อย!” สนมนางหนึ่งจำเสียงลูกตัวเองได้ในทันที นางไม่สนใจว่าจะเสียกิริยาใดก่อนจะวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
ขุนนางที่กำลังพูดคุยอยู่นั้นก็ชะงักงันไป เป็นคนจากกองนครหลวงที่ได้สติขึ้นมาก่อน เรื่องของวังหลังจะมาเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร เขารีบดึงขุนนางคนนั้นออกไปทันที
เรื่องอื่นสามารถสนใจใคร่รู้ได้ แต่เรื่องวังหลังขุนนางกลับไม่สนอกสนใจสักนิด ได้สติขึ้นก็รีบหันหลังกลับ แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง มีนางกำนัลวิ่งมาโน่นแล้ว ในมืออุ้มองค์หญิงน้อยไว้สองพระองค์ คนหนึ่งร้องเสียงดังลั่น อีกคนคล้ายสลบไป นางกำนัลทั้งกรีดร้องทั้งร้องไห้ มีเสียงหัวเราะฮ่าๆ อันแปลกประหลาดดังขึ้นด้านหลังพวกเขา เห็นมือสองข้างที่ยกขึ้นสูงได้จากช่องว่างระหว่างคนที่วิ่งมา
คนผู้นั้นคือองค์ชายรองหรือชิ่งอ๋องคนปัจจุบันที่ไม่ได้ปรากฏตัวให้ใครเห็นมาสองปีแล้ว
ขุนนางต่างคิดกันอย่างเหม่อลอย มองเงาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รูปร่างอ้วนท้วม แสยะปากออกกว้างน้ำลายไหลย้อย ใบหน้าเป็นประกายภายใต้แสงตะวัน
“…องค์หญิงตกใจจนสลบไปแล้ว…”
“ไทเฮา ไทเฮา ข้าจะหาไทเฮา”
“…ซูหนิง ซูหนิง เจ้าเป็นอันใดไป”
“…รีบตามหมอหลวง รีบตามหมอหลวง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินผ่านเสียงกรีดร้องหนวกหูเหล่านี้ไป ยืนนิ่งอยู่ข้างกายชิ่งอ๋องที่ตื่นเต้นกว่าเดิมจึงกระโดดโลดเต้นเนื่องจากคนเยอะ
“รีบจับเขาไว้!”
เสียงไทเฮาดังขึ้นจากด้านหน้า
“มัดเขาไว้!มัดเขาไว้!”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้ามองไป เห็นสีหน้าที่ทั้งตกตะลึงทั้งเดือดดาลอย่างยากจะปิดบังไว้ของไทเฮา รวมถึงสายตาห่วงใยสุดท้ายของฮ่องเต้ตกลงบนร่างองค์หญิงที่ถูกเหล่าสนมอุ้มไว้ เขาหลับตาลงเบาๆ หันหลังออกแรงจับชิ่งอ๋องที่ยังอยากจะวิ่งพล่านไปทั่วเอาไว้
แรงอันมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อน กดชิ่งอ๋องเอาไว้กับที่อย่างแน่นหนา ชิ่งอ๋องที่ถูกจับไว้รวมถึงความเจ็บปวดที่ถูกบีบรัดไว้ฉับพลันทำให้เขาแหกปากร้องออกมาเสียงดัง
“อย่ากลัว ลิ่วเกอร์ พี่จะไม่ให้ใครมาดูถูกเจ้าได้”