พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 455 สมดังหวัง
ภายในตำหนักของไทเฮาบรรยากาศอึมครึม มีเสียงตบหน้าดังก้องขึ้น
“เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ เป็นความผิดของกระหม่อมเอง”
ขันทีนายหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้น ตบหน้าตัวเองตัวเองเสียงดังก้อง ริมฝีปากเขามีเลือดซึมออกมา
“กระหม่อมกลัวว่าไทเฮาจะเป็นห่วงองค์ชายจึงได้ตัดสินใจเอาเองอย่างการพาพระองค์มาด้วย”
“เป็นกระหม่อมที่ดูแลชิ่งอ๋องไม่ดี…จึงชนเหล่าองค์หญิงเข้า…”
ไทเฮาที่หลับตาอยู่คล้ายถูกเสียงนี้เอะอะรบกวนจนรำคาญ นางตบโต๊ะ
“พาตัวออกไป” นางตวาด
ขันทีที่อยู่ด้านข้างรีบปิดปากเขาไว้แล้วลากตัวออกไป
ภายในตำหนักกลับมาเงียบงันอีกครั้ง
ราวกับผ่านไปเนิ่นนานและคล้ายว่าเพิ่งจะผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ไทเฮามองไปยังด้านนอก
“พวกองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง” นางถามขึ้น
“หม่อมฉันไปดูมาแล้ว ถวายยานอนหลัยให้ หมอหลวงบอกว่าไม่มีอันใดร้ายแรง แค่ตกใจเท่านั้น แต่องค์หญิงน้อยฟื้นขึ้นมากลับยังอกสั่นขวัญหายอยู่ ฝ่าบาทกำลังอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเพคะ” นางกำนัลคำนับทูลเสียงเบา
ไทเฮาทอดถอนใจออกมายาวเหยียด
เพิ่งจะถอนเสร็จก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านข้าง
“กระหม่อมมาขอรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“เจ้ามาเพิ่มความวุ่นวายอันใดอีก” ไทเฮาเอ่ยพลางยกมือขึ้นบ่งบอกให้เขาลุกขึ้นมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับไม่ยอมลุก แต่โขกศีรษะลง
“กระหม่อมมาขอให้ไทเฮาทรงอนุญาตให้กระหม่อมกับชิ่งอ๋องออกจากวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอก
ไทเฮาพลันเลิกคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่โน้มกายโขกหัวอยู่
“เหว่ยหลัง นี่เจ้ากำลังโทษเราอยู่หรือ” นางเอ่ย
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังโทษตัวเอง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้น มองไทเฮา “ไทเฮา กระหม่อมทราบดีว่าได้รับการคุ้มครองเมตตาจากไทเฮา แต่ไม่คิดจะตอบแทน สองปีเข้าไปแล้ว เกือบจะสามปีแล้ว กระหม่อมกลับยังโง่เขลาเหมือนเด็ก ไม่คิดและไม่กล้ายอมรับความจริง กระหม่อมสิบเก้าปีเต็มแล้ว แต่ยังอยู่ในวังหลวง เสพสุขที่ไทเฮากับฝ่าบาททรงปกป้องคุ้มครอง แต่ลืมตัวไปจึงทำให้ไทเฮากับฝ่าบาททรงถูกหัวเราะเยาะจากคนทั้งแผ่นดิน”
“เราบอกไปแล้ว ผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะเจ้า!” ไทเฮาตะคอกแล้วตบโต๊ะ “นี่มันเรื่องในครอบครัวของเรา ขุนนางคนนอกกล้าวิจารณ์ได้อย่างไร”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางส่ายหน้า คลานเข่าเข้าไปหา
“ไทเฮา กระหม่อมไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะ กระหม่อมแค่กำลังอยากหัวเราะเยาะตัวเองเช่นกัน” เขาเอ่ย “กระหม่อมคิดว่าหลบอยู่ในมุมไม่พบผู้ใด ก็จะสามารถเป็นดังแต่ก่อนได้เหมือนเก่า ทุกอย่างล้วนเหมือนเดิม แต่ความจริงแล้ว ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว มิใช่ว่ากระหม่อมหลบซ่อนตัว ไม่คิด ไม่ถาม ไม่เห็นแล้วจะไม่มีตัวตนอยู่เช่นนั้น”
“ไม่เป็นไร เราจะหาตำหนักใหม่ให้พวกเจ้าเอง ให้คนอื่นไม่ไปรบกวนพวกเจ้าได้” ไทเฮารีบตรัส ยื่นมือไปหมายจะพยุงจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับคุกเข่าตั้งตัวตรง
“ไทเฮา กระหม่อมไม่อยากหลบซ่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ชิ่งอ๋องบาดเจ็บ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอาย กระหม่อมจะพาเขาใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผย เปิดเผยบริสุทธิ์และยึดมั่นในความเป็นธรรม”
ไทเฮาน้ำตาไหลริน ยื่นมือไปดึงเขาไว้
“เจ้าว่ามา”
เจ้าว่ามา…
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่โน้มตัวลงกับพื้นหลับตาลง ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพลางเงยหน้าขึ้น
“กระหม่อมขออยู่ที่เมืองหลวงร่วมจวนเดียวกันกับชิ่งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เขาทูลบอก
……
“เขาทูลขอเองอย่างนั้นรึ”
เกาหลิงปอเอ่ยถามอย่างตกใจเล็กน้อย
ผู้ติดตามคนสนิทพยักหน้า
“ไทเฮาบอกมาเช่นนี้ขอรับ”เขาเอ่ย
เกาหลิงปอแย้มยิ้มออกมา โบกมือ ผู้ติดตามคนสนิทก็พลันออกไปทันที
“ข้าบอกแล้วว่าเด็กคนนี้มิใช่คนไร้หัวจิตหัวใจเหมือนที่แสดงออกมาอย่างไม่แยแสเช่นนั้น” เขาเอ่ยกับบรรดานายทหารผู้ช่วย
“พอเห็นว่าเรื่องมีความสำคัญ ก็ตัดขาดทันที สติปัญญาเช่นนี้ไม่ควรดูถูกเลย” ทหารคนหนึ่งพยักหน้าเอ่ย
“นั่นสิ จากปฏิกิริยาครานี้ของไทเฮาและฝ่าบาทแล้ว ก็เดาได้ว่าคิดจะปกป้องชิ่งอ๋องไม่เท่าเมื่อก่อน ซ้ำยังไม่ทรงเสียดายหวงแหนเลยด้วยซ้ำ ดูท่าแล้วเรื่องนี้คนส่วนใหญ่ต่างสามารถทำได้ แต่หลังจากได้เห็นแล้ว การตัดสินชี้ขาดจึงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก” ทหารอีกคนก็ถอนใจเอ่ย “แม้จะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดปรานเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างไรเสียก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่พระองค์โปรดปราน”
ต่อให้ความโปรดปรานจางไป ชีวิตในวังหลวงก็คงไม่แย่เกินไปแน่นอน แต่การออกจากวังไปเช่นนั้นกลับเป็นการที่ไปแล้วจะกลับมาไม่ได้อีก เผชิญหน้ากับอนาคตที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้และตัดสินใจเลือกอย่างเด็ดเดี่ยวมิใช่เรื่องที่ใครก็ออกมาได้ทันที
“แทนที่จะรอให้ไมตรีจิตนั้นหายไป สู้ถอยออกมาก้าวหนึ่งดีกว่า เดี๋ยวจะกลับกลายเป็นว่าฝ่าบาทกับไทเฮาติดค้างบุญคุณเขาไป” เกาหลิงปอเอ่ย
“ใต้เท้า ท่านว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วยหรือไม่” ทหารรับใช้เอ่ยถาม “อย่างไรเสียจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ใช้ชีวิตอยู่ในวังมานานหลายปีเพียงนี้ มิใช่พ่อลูกแต่มันยิ่งกว่าพ่อลูกไปแล้ว”
“มิใช่พ่อลูกอย่างไรก็ยังคงมิใช่พ่อลูกอยู่อย่างนั้น” เกาหลิงปอยิ้มเย็นพลางเอ่ย “เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะมีไมตรีจิตมากมายเพียงใดกัน พระองค์เพียงแค่รักหน้าตากลัวว่าจะโดนคนทั้งแผ่นดินหัวเราะเอาว่าพระองค์ไร้ไมตรีจิตเท่านั้นเอง ยามนี้มีขุนนางฝ่ายนอกเห็นเหตุการณ์กับตามาเป็นพยานให้พระองค์ ให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องออกจากวังไปยามนี้ จึงเป็นเรื่องที่เหมาะที่ควร พระองค์จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร เจ้าต้องรู้ว่าจวิ้นอ๋องอายุสิบเก้าเข้าไปแล้ว อายุเท่านี้เด็กตระกูลอื่นเป็นพ่อคนกันไปหมดแล้ว”
เกาหลิงปอเน้นเสียงกับคำว่าเป็นพ่อคนเข้าไป
เหล่าทหารรับใช้พยักหน้า
“ในเรื่องไมตรีจิต องค์ชายใหญ่ของเราจึงเป็นคนที่มีไมตรีจิตลึกซึ้งต่อเสด็จพ่อของเขา” เกาหลิงปอเอ่ย “เขาเต็มใจออกจากวังไปอยู่จวนแล้ว คนทั้งแผ่นดินจะยังมีอันใดให้วิจารณ์กันได้อีก”
และในขณะที่เฉินเซ่าได้ฟังข่าวนี้ก็เป็นยามที่ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยเรียบร้อยแล้ว
“องค์ชายใหญ่ออกวังไปครองจวนของตน ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นผิงอ๋อง เป็นผู้นำแห่งจางอี้จวินและเจี๋ยตู้สื่อ ชิ่งอ๋องออกวังครองไปจวน เป็นผู้นำแห่งขุนนางช่วยว่าการกระทรวงเสบียงทหาร จิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นผู้นำแห่งองครักษ์รักษาพระองค์ พักอยู่ที่จวนชิ่งอ๋อง ให้กรมจวนบูรณะซ่อมแซมจวนแล้วเลือกวันเข้าอยู่”
ได้ฟังเสมียนอ่าน เฉินเซ่าที่พลิกสาส์นอีกฉบับในมือก็หยุดพู่กันเล็กน้อย
“น่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว” เขาเอ่ย “เลี้ยงดูจวิ้นอ๋องไว้ในวัง เชื่อคำพูดของสตรี มีอย่างนี้ที่ไหนกัน”
“ยามนี้เหล่าองค์ชายต่างออกจากวังมาพักที่จวน แต่กลับทำให้เหล่าอาลักษณ์ต่างลำบากกัน” ทหารรับใช้ยิ้มเอ่ยอยู่ด้านข้าง “การสอบประจำเดือนเกรงว่าต้องหาทางอื่นแล้ว”
เพราะองค์ชายพักอยู่ระยะยาวโดยเฉพาะเรื่องที่จวิ้นอ๋องพักอยู่ในวังมานาน หลายปีมานี้จึงยิ่งมีเหล่าอาลักษณ์ยื่นมติไม่ไว้วางใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะถูกละทิ้งไว้ไม่สนใจ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาในการวิพากษ์วิจารณ์เลยสักนิด
เฉินเซ่าได้ฟังก็ยิ้มเย็นออกมา
“มิได้มีเพียงเหล่าองค์ชายที่ละเมิดระบอบเสียหน่อย และที่ควรออกไปก็มิได้มีเพียงองค์ชายเท่านั้นด้วย” เขาเอ่ย
ยังมีเกาหลิงป๋อด้วยอีกคน
ในฐานะราชนิกูล ตามหลักการแล้วก็ควรจะออกไปรับตำแหน่งนอกวังเช่นกัน
แต่ว่า…
“ยามนี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือได้สมดังหวังแล้ว เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ทรงอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงบุคคลในระยะเวลาอันสั้นนี้หรอกขอรับ” ทหารรับใช้เอ่ยเสียงเบา
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไล่เกาหลิงป๋อให้ออกวังไปเลย สำหรับฮ่องเต้ที่ทรงโปรดปรานเรื่องการรักษาสมดุลแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเฉินเซ่าก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน
“ได้ยินข่าวว่ายามนี้ภัยแล้งในฤดูร้อนของเม่าผิงร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไม่พูดเรื่องเก่าอีก แต่ขมวดคิ้วมองหนังสือราชการแผ่นหนึ่งแทน
“ยังไม่คลายลงเลยหรือ” ทหารรับใช้ก็ตกใจเช่นกัน
“การเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูหนาวก็หมดหวังด้วยเช่นกัน” เฉินเซ่าเอ่ย โยนสาส์นกลับไปบนโต๊ะ ขมวดคิ้วมุ่น “ปีหน้าต้องมีภัยพิบัติใหญ่แน่แล้ว สำนักขนส่งต้องเร่งมือจัดสรรเรื่องเงินและเสบียงอาหารโดยเร็วที่สุด ให้ชาวบ้านได้ผ่านพ้นฤดูหนาวกันไปอย่างสงบสุข อย่างน้อยต้องเอาชีวิตรอดให้ผ่านการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าไปได้”
ขุนนางชั้นผู้น้อยที่อยู่ด้านข้างรีบขานรับแล้วถือสาส์นหันหลังเดินออกไป
ปลายเดือนเก้าต้นเดือนสิบ เมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้นสองเรื่อง หนึ่งคือบ้านพักอาศัยของตระกูลหลี่ที่ค้าขายพลุดอกไม้ไฟในเมืองหลวงถูกเผาหายไปครึ่งหนึ่ง ทำเอาคนอื่นเดือดร้อนโกลาหลไปค่อนเมืองหลวง ทว่าตระกูลหลี่ร่ำรวยมั่งคั่ง หลังจากเหตุการณ์นี้ควักเงินจำนวนมากชดเชยให้แก่ผู้ประสบภัยเพื่อซ่อมแซมบ้านเรือน อีกทั้งออกตัวจับลูกชายที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้มามอบตัวด้วยตัวเอง เรื่องราวจึงจบลงอย่างรวดเร็ว
อีกเรื่องหนึ่งคือองค์ชายทั้งสองแห่งวังหลวง รวมถึงจวิ้นอ๋องที่เป็นโอรสตัวปลอมออกจากวังมาพำนักที่จวน
นี่หมายความว่าเรื่องการแต่งงานของเหล่าองค์ชายก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
“…ได้ยินว่าคนที่มาทาบทามจะเข้าประตูวังมาแล้ว…”
“…พูดเหมือนกับประตูวังเข้าง่ายเหมือนประตูบ้านเจ้าอย่างนั้นแหละ…”
“ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยตระกูลใดที่จะมาเป็นพระชายาผิงอ๋อง ได้ยินว่าฝ่าบาททรงถูกพระทัยหว่านผิงตระกูลคัง…”
“…เอาเถอะ ตระกูลคังเห็นด้วยสิแปลก ตระกูลพวกเขามุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงของอำมาตย์คังในปีนั้น เกี่ยวดองกับองค์ชายจะไม่เป็นการตัดอนาคตของตัวเองรึ”
หอสุราโรงน้ำชาในเมืองหลวงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคัก
แม้ว่าหนึ่งเดือนมานี้จะมีเรื่องนั่นนี่ขึ้นลงมากมาย แต่โดยภาพรวมแล้ว ทุกคนคล้ายต่างได้รับผลลัพธ์ที่น่าพอใจกันไม่มากก็น้อย
แม้ว่าฮ่องเต้จะถูกเจตจำนงของปวงประชาบังคับขู่เข็ญจนขายหน้าไปไม่น้อย แต่กลับได้รับอาวุธวิเศษที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมมา ทั้งยังได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ติดต่อกันมาหลายครา เฉินเซ่าสูญเสียโจวเฟิ่งเสียงไปคนหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ได้กุมอำนาจทางการทหารของตะวันตกเฉียงเหนือเอาไว้ในคราวเดียว ส่วนเกาหลิงปอแม้ว่าเรื่องในครานี้จะยอมถอยให้อย่างอนาถ แต่ก็ได้ไล่จิ้นอันจวิ้นอ๋องออกจากวังไปอย่างสมดังใจหวัง จึงไม่อาจเรียกว่าไม่ได้ประโยชน์ใดเลย
หากมองเช่นนี้คงมีเพียงจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ในที่สุดก็ถึงคราวหมดประโยชน์โดนคนเขี่ยทิ้งแล้ว
เด็กที่ถูกส่งเข้าวังสิบเก้าปีไม่อาจเรียกเช่นนี้ได้แล้ว หากเรียกต่อไป ความหมายก็จะเปลี่ยน
แม้ว่าเหล่าองค์ชายต่างออกจากวังไป เหล่าพระชายาสนมในวังต่างหักใจกันมิได้อย่างเห็นได้ชัด จวนที่เลือกคือ
ระแวกเมืองชั้นในห่างจากวังหลวงใกล้มากก็ตาม
เทียบกับองค์ชายใหญ่ที่ยังคงอ่านตำราอย่างสงบนิ่งไม่ได้รับการก่อกวนจากภายนอกแล้ว จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ไม่ต้องอ่านตำรากลับยุ่งเสียยิ่งกว่า เขาออกไปนอกวังสองวันครั้ง เพื่อดูจวนอ๋องที่ซ่อมแซมโดยหน่วยงานของเมืองหลวงว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
“…เช่นนี้ก็ดี จะได้ไปนั่นมานี่ได้ตามอำเภอใจแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ พลางพาคนรับใช้คนสนิทข้างกายเดินในจวนจนทั่ว
ขุนนางของวังที่รับผิดชอบซ่อมแซมเดินนำทางไปด้วยความระมัดระวัง แนะนำให้เขาฟังไปพลาง ได้ยินประโยคนี้เข้าก็แอบเบ้ปากอยู่ในใจไปพลาง
มิน่าเล่าต่างว่ากันว่าจวิ้นอ๋องผู้นี้ไร้หัวจิตหัวใจ รูปงามโดยเปล่าประโยชน์เสียจริง
ดูท่าแล้วลูกตัวเองไม่อาจให้คนอื่นเลี้ยงได้คงจะจริง มิฉะนั้นคงได้เลี้ยงเสียข้าวสุกแน่แล้ว
“…จะมีทะเลสาบไม่ได้ เติมน้ำเข้ามา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “เดี๋ยวไม่ทันระวังจะเกิดอันตรายได้ เขาไม่รู้จักระวังตัว”
ขุนนางคนนั้นรีบขานรับ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินอยู่รอบหนึ่ง ชี้มือชี้ไม้เลือกสรร
“คนเขาพูดเสียขนาดนี้ว่าจวนที่พวกเจ้าซ่อมแซมแค่ลมพัดก็พังแล้ว ข้าไม่อยากให้จวนชินอ๋องเป็นเช่นนั้น” เขาเอ่ย
ต่อให้เรื่องจริงเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าพวกเขาเลย จวิ้นอ๋องผู้นี้ไร้หัวจิตหัวใจพูดไม่คิดหรือว่าซุกซนเสเพลกล้าพูดกล้าจากันแน่
สีหน้าขุนนางต่างอึมครึมกันขึ้นมาแล้ว รีบเอ่ยว่ามิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพาคนสนิทออกไป เขายืนอยู่หน้าประจูจวน มองซ้ายทีขวาที
“ฝ่าบาทเราจะกลับวังหรือพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยถามขึ้น
“เหตุใดต้องกลับวังเล่า ต่อไปนี้ข้าอยากจะทำสิ่งใดก็จะทำสิ่งนั้น” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย สายตาตกอยู่ฝั่งตรงข้าม “ข้าจะไปเป็นแขกที่บ้านนาง”
บ่าวรับใช้คนสนิทมองรอยยิ้มเขาแล้วถอนหายใจ
คงทำได้เพียงวิธีใช้การพูดคุยมาปลอบใจแทนเช่นนี้แล้วกระมัง
ในตอนที่กำแพงถูกเคาะอีกครั้งนั้น คนภายในเรือนก็ต่างตกใจกันยกใหญ่
“เพื่อนบ้านกำลังซ่อมกำแพงรึ” แม่นางหวงที่อุ้มลูกอยู่เอ่ยขึ้น ยังพูดไม่ทันขาดคำก็เห็นชายคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาจากด้านบน
แม่นางหวงตกอกตกใจหวีดร้องเสียงดัง
“รีบตีเร็วเข้า!” นางรีบเรียกบ่าวรับใช้ทันที
สาวใช้ที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงเข้าก็มองออกไป แล้วถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“นายหญิงใหญ่ คนผู้นี้ตีไม่ได้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางย่อกายคำนับคนบนกำแพง “ถวายบังคมจวิ้นอ๋อง”
จวิ้นอ๋องรึ
แม่นางหวงยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีก มองเด็กหนุ่มบนกำแพงที่กำลังยิ้มแป้น
ที่แท้ราชนิกูลของเมืองหลวงมาพบคนด้วยวิธีการนี้กันนี่เอง