พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 456 บอกได้ (1)
โชคดีที่ครานี้จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้ปีนข้ามกำแพงมาด้วยบันได แม่นางหวงจึงไม่ต้องตกใจอีกครั้ง
ประตูถูกเปิดออก แม่นางหวงพาเฉิงเจียวเหนียง นางมือจูงลูกพร้อมกับบ่าวรับใช้และสาวใช้กลุ่มหนึ่งถวายคำนับ
เมื่อเห็นลานบ้านเต็มไปด้วยคนที่ถวายคำนับ อย่าว่าแต่คนเหล่านี้ที่อยู่ในเรือนจะรู้สึกอึดอัดเลย กระทั่งจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน
เขารู้สึกแปลกๆ ย่อมไม่ใช่เพราะคนถวายคำนับให้แก่เขา แต่เป็นเพราะคิดไปถึงสมัยก่อน
เด็กหนุ่มที่หมอบอยู่บนกำแพงได้เปลี่ยนไปแล้ว เรือนหลังเล็กอันอ้างว้างแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
คิดได้ดังนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ยากลำบากที่สุดในชีวิต ยามนี้นึกย้อนไปกลับอิสระเสรีมีความสุขเพียงนั้น
คนเราไม่มีวันได้รู้ว่าพริบตาต่อมาจะมีความทุกข์ใดรออยู่ และไม่รู้เลยว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นความทุกข์ในยามนี้ ความจริงแล้วก็อาจเป็นความสุขได้เช่นกัน
“…ลิ่วเกอร์ วันนี้พี่จะไปทำเรื่องหนึ่งที่มีความสุข”
ก่อนเขาจะออกมา เขานั่งอยู่ในห้องโถงมองชิ่งอ๋องเล่นของเล่นกองพะเนิน
“เจ้าอยากรู้หรือไม่”
เขานั่งขัดสมาธิโน้มตัวไปข้างหน้า ถามด้วยความภาคภูมิน้อยๆ
ชิ่งอ๋องย่อมไม่สนใจเขาอยู่แล้ว อีกฝ่ายพึมพำอือๆ อาๆ ออกมา
“เอาเถิด จะบอกเจ้าให้ก็ได้ แต่เจ้าอย่าได้บอกใครนะ” เขายิ้มเอ่ย ทำเหมือนเวลาอื่นๆ ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าชิ่งอ๋องพล่ามนู่นพล่ามนี่
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ เมื่อก่อนข้าเคยบอกกับเจ้าว่า เขาทำร้ายเจ้า ข้าก็จะทำร้ายเขา มีแค้นต้องชำระด้วยแค้น เขาทำให้เจ้ากลายเป็นคนสติไม่ดี ข้าก็จะทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง”
“…แล้วอะไรคือมนุษย์ก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงเล่า เจ้ายังจำได้หรือไม่ ปีนั้นเราออกท่องเที่ยวนอกวังกัน ในหมู่บ้านนั้นเจอเข้ากับสัตว์ประหลาดที่ถูกคนเผาจนตาย ความจริงแล้วนั่นมิใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นคนที่โดนลมมหันต์…”
“…ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นข้าก็ได้มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาแล้ว เรากลับมา ข้าก็ให้พวกเขาออกไปหาคนที่เป็นโรคลมมหันต์นี้ และก่อนหน้านี้ ในที่สุดข่าวดีก็มาถึง พวกเขาหาพบแล้ว อีกทั้งยังพามาที่เมืองหลวงแล้วด้วย ลิ่วเกอร์ ถึงเวลานั้นก็ทำตามที่ข้าเคยบอกเจ้า เอาสิ่งของที่คนป่วยโรคลมมหันต์ผู้นี้เคยใช้ไปวางไว้ในที่ของเขา…”
“…เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะโดนลูกหลงไปด้วยรึ ลิ่วเกอร์เจ้าน่ะเป็นเด็กที่จิตใจดีเสียจริง…พวกเขาตรวจสอบยืนยันจากข้างนอกแล้ว แค่พบหน้าพูดคุยในชีวิตประจำวันน่ะไม่เป็นไรหรอก อีกทั้ง เขาชอบอ่านตำราถึงเพียงนั้น ไม่ชอบพบปะกับใคร…”
“…แต่เวลานี้เฉิงฟั่งนางมาแล้ว จะว่าอย่างไรดีล่ะ ข้ามีความสุขมาก แต่ก็ลำบากใจอยู่เล็กน้อยด้วยจริงๆ…”
“…หากองค์ชายใหญ่ได้ป่วยเป็นโรคนี้ล่ะก็ ต้องเชิญนางมาตรวจรักษาแน่ หากนางไม่รักษา หรือบอกว่ารักษาไม่ได้ก็จะทำให้นางได้พบกับความยุ่งยากแน่แล้ว ฝ่าบาท กุ้ยเฟยและคนอื่นๆ ต้องคิดกับนางว่า…”
“…เอาเถิด ความจริงแล้วที่ข้าห่วงยิ่งกว่าก็คือหากนางรักษาให้หายได้ เราได้เสียแรงเปล่าน่ะสิ”
“…ข้าอยากให้นางจากไป ออกจากเมืองหลวงไป แน่นอนว่าต้องไม่อาจเป็นเราที่บีบบังคับให้นางจากไป ต้องให้เกาหลิงปอกับกุ้ยเฟยเป็นคนบีบบังคับให้นางจากไปจะเป็นการดีที่สุด…”
“…จะบีบบังคับให้นางไปได้อย่างไรน่ะหรือ ก็เหมือนที่ข้ากลัวว่านางจะรักษาองค์ชายใหญ่ให้หายอย่างไรเล่า
เกาหลิงปอกับกุ้ยเฟยก็กลัวว่านางจะรักษาเจ้าหายได้เช่นกัน…”
“…ตราบใดที่รู้ว่าคนอื่นกลัวสิ่งใด เช่นนั้นก็จะจัดการง่ายแล้ว ดังนั้นทุกอย่างเราล้วนตระเตรียมไว้เรียบร้อย วันนั้นนางจะเข้าวังมา จากนั้นข้าจะเชิญนางให้มาหาเราที่นี่ ให้นางตรวจดูเจ้า แล้วก็ปิดประตูเอาไว้ ถามนางว่าจะรักษาได้หรือไม่ หรือไม่ก็ไม่ต้องถามแล้วก็ได้ พอไทเฮาไต่ถาม ในตอนที่ข้าตอบไปว่านางไม่อาจรักษาได้ขอแค่ทำทีเป็นลังเลเล็กน้อย ก็เพียงพอให้กุ้ยเฟยได้อกสั่นขวัญแขวนแล้ว…”
“…นางจะต้องสงสัย จะต้องกระหายใคร่รู้ว่าเราปิดประตูคุยอันใดกัน แต่นางถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องซักถามอันใดไม่ได้คำตอบสักอย่าง การถามอันใดไม่ได้นี้จะบีบให้นางเป็นบ้า…”
“…นางต้องคิดจะไล่เฉิงฟั่งให้จากไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำลายสิ่งคุกคามนี้ไปแม้จะเป็นเพียงความหวังอันน้อยนิดก็ตาม…”
“…ลิ่วเกอร์ เจ้าคิดดูสิ นางบีบให้เฉิงฟั่งจากไป ถึงเวลานั้นองค์ชายใหญ่ล้มป่วยขึ้นมา ก็ต้องตายแล้ว…นางจะเดือดดาลจนเสียสติหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่นางทำร้ายองค์ชายใหญ่ด้วยตัวนางเอง…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าหัวเราะยกใหญ่ เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง ทำเอาชิ่งอ๋องมองเขาอย่างตกใจ
“ลิ่วเกอร์ ทำเช่นนี้ดีที่สุดใช่หรือไม่” เขายื่นมือไปจับชิ่งอ๋องไว้พลางเอ่ยถามขึ้น
ชิ่งอ๋องสะบัดเขาทิ้ง ไม่รู้ว่าไปเห็นอะไรเข้าจึงปีนหนีไปอีกด้าน
ภายในห้องล้วนจัดเรียงอย่างพิถีพิถัน ไม่กระแทกโดนเขาแน่นอน จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งลงดังเดิม
“แต่ว่า สุดท้ายแล้วข้าก็มิได้ทำเช่นนั้น” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “พอข้าเห็นนางตั้งอกตั้งใจกินขนมและผลไม้ที่ข้ามอบให้นางด้วยความสุข เห็นนางฟังข้าพูดอย่างไว้วางใจแล้ว ลิ่วเกอร์ ข้าทำไม่ได้…”
“นางไม่เหลืออะไรแล้ว พบเจอกับเรื่องราวมามากมายแล้ว สภาพสังคมบีบคั้นนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าก็ยังจะไปบีบคั้นนาง หลอกใช้นางอีก...”
“…ใช่ นางเก่งกาจยิ่ง บางทีกุ้ยเฟยกับเกาหลิงปออาจจะทำร้ายนางมิได้ กลับกันอาจจะผูกพยายาทเพราะเรื่องนี้ ก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ล่วงเกินนาง กลับโดนนางแว้งกัดเข้าเสียเอง…”
“…นี่เป็นเรื่องที่ดีเสียยิ่งกว่าดีอีก สำหรับข้ากับเจ้าแล้ว…”
“…แต่ว่าข้าทำใจไม่ได้ ข้าทนให้นางลำบากเช่นนี้ไม่ได้…เหตุใดนางจึงมักลำบากเช่นนี้ด้วย…”
“…ดังนั้นในขณะที่ย่างเท้าออกไปนั้น ข้าเสียใจภายหลังขึ้นมา ข้าจึงหยุดมัน…”
“…จากนั้น เจ้ากับข้าก็น่าเวทนาแล้ว โดนคนไล่ออกมา โดนทิ้งขว้าง แยกจวนกัน คิดจะเข้าใกล้องค์ชายใหญ่อีกครั้งนั้น ยิ่งยากขึ้นกว่าเดิมแล้ว…”
“…แต่ว่า นึกไม่ถึงว่าข้าจะไม่เสียใจเลยสักนิด กลับกันข้ารู้สึกมีความสุขมาก เบาใจลงเยอะ…”
“…ลิ่วเกอร์ ถนนบนโลกใบนี้มีเป็นพันเป็นหมื่นสาย สายหนึ่งเดินต่อไปไม่ได้แล้วพวกเราก็เปลี่ยนสายใหม่ ตราบใดที่ยังเดินหน้าต่อไป ก็จะหาถนนเจอ...”
“…ลิ่วเกอร์ เจ้าก็คิดว่าถูกต้องใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าไปขอโทษนางดีกว่า แม้ว่าข้าจะหยุดฝีเท้าลงแล้ว แต่สุดท้ายข้าได้ยกเท้าก้าวเดินแล้ว”
“ฝ่าบาท”
มีคนเอ่ยเรียกขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหลุดจากภวังค์ มองผู้คนที่ยังคงคำนับค้างไว้อยู่เต็มลานบ้าน เขาแย้มยิ้มขึ้น
“ข้ากับแม่นางเฉิงมีบุญคุณรักษากันมา ดังนั้นผ่านมาพอดีจึงมาเยี่ยมเยือน พวกเจ้าอย่าได้ตระหนกไป” เขาเอ่ย ยกมือขึ้นโบกให้ไม่ต้องมากพิธี
ฟ่านเจียงหลินไม่อยู่บ้าน แม่นางหวงที่เป็นสะใภ้ใหญ่จึงจำต้องต้อนรับแขกให้เสร็จเรียบร้อยภายใต้การช่วยเหลือของสาวใช้ โชคดีที่ไม่ต้องให้นางนั่งเป็นเพื่อนด้วย พอต้อนรับเสร็จก็รีบไปเตรียมชากับบรรดาสาวใช้ทันที
“บังเอิญจริงจางปั้นฉินอยู่พอดี รีบไปทำอะไรดีๆ มาให้พวกเราเร็ว” สาวใช้เอ่ยพลางมองไปด้านข้าง
จางปั้นฉินอมยิ้มยืนขึ้น ได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นก็รีบยื่นมือจากด้านข้างคว้าเมล็ดแตงโมมาแทะ
“ข้าแซ่จาง และเป็นแขกเช่นกัน จะไปแย่งงานของพี่ได้อย่างไรกัน” นางยิ้มเอ่ย
สาวใช้ยิ้มพลางยกมือดึงนาง
“ทั่วทั้งเมืองหลวงใครจะไม่รู้สึกเป็นเกียรติที่เชิญแม่ครัวตระกูลจางมาได้กัน เร็วเข้า ยากนักที่เจ้าจะมาโดยมิได้เชิญ รีบให้นายหญิงเฉิงของเราได้เป็นเกียรติด้วยเช่นกัน” นางยิ้มบอก
เห็นสาวใช้สองคนนี้เอ่ยคำพูดตลกขึ้นแทรกให้บรรยากาศคึกคักไร้ซึ่งความเครียดกังวลที่จู่ๆ องค์ชายก็มาเยือนถึงบ้าน แม่นางหวงทั้งแปลกใจทั้งค่อยๆ สบายใจขึ้น
“นายหญิงใหญ่ ท่านจะกลัวอันใดเจ้าคะ ท่านชายใหญ่กับนายหญิงล้วนเป็นคนที่เคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้กันมาแล้วทั้งนั้น” สาวใช้ยิ้มเอ่ย
ไม่เพียงแต่เคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้เท่านั้น ยังกล้าเดิมพันกับฮ่องเต้ด้วย
แม่นางหวงได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมาพลางหันไปมองทางด้านห้องรับแขก
ท่าทางเช่นนั้นกลับไม่เหมือนแค่เพียงมีบุญคุณช่วยรักษากันมาก่อน กลับเหมือนเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกันมากกว่า
“ไม่ได้มาสองปีแล้ว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองไปรอบๆ ด้วยความสะท้อนใจ แล้วแย้มยิ้มบางๆ
“ในบ้านคึกคักขึ้นเยอะเลย”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ฝ่าบาทก็ออกมาข้างนอกได้แล้วเช่นกัน” นางเอ่ย
ดังนั้น ในความทุกข์ยากยังคงมีเรื่องที่คุ้มค่าให้เบิกบานใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้น
“ร่วมยินดี ร่วมยินดี” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางๆ ยกชาขึ้นเบี่ยงหน้าดื่มคำหนึ่ง
“แม่นางคงได้ยินมาบ้างแล้วกระมัง” จินอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้น
“เหล่าบ่าวไพร่ล้วนออกไปซื้อผักซื้อปลาทุกวันย่อมรู้ข่าว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ดังนั้นเรื่องที่ควรรู้นางก็รู้หมดแล้ว
“ทุกคนต่างคิดว่าข้าโดนไล่ออกมา แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาพอดี” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เป็นเวลาที่ควรจะออกมาแล้ว จัดการเรื่องราวในเวลาที่ถูกที่ควร” นางเอ่ย
รอยยิ้มจิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ่งกว้างขึ้น
“บอกตรงๆ เดิมทีข้ามีความคิดที่ชั่วร้ายอยู่บ้าง เรื่องนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงแม่นางอีกด้วย อาจทำให้แม่นางเจอความยุ่งยากด้วย” เขาเอ่ย หุบยิ้มลงพลางคำนับอย่างเคร่งขรึม “แม่นางรู้ดีแก่ใจ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาขอโทษแม่นาง”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ไม่มีใครและเรื่องใดที่จะทำให้ข้าลำบากได้เพคะ” นางเอ่ย
สาวใช้ทั้งสองยกชาและขนมเดินมาตรงระเบียงหยุดแล้วฝีเท้าลง พวกนางสบตากันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
วันนั้นนายหญิงเข้าวังไปเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงฟังดูแปลกๆ เล่า
สาวใช้ส่ายหน้า
วันนั้นนางกับปั้นฉินก็หยุดอยู่แค่ประตูวัง ไม่ได้ตามเข้าไปด้วย
ภายในห้องเสียงพูดจาของจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จู่ๆ หัวข้อนี้กลับเหมือนหยุดลงดื้อๆ อีกทั้งยังหายไปเหมือนไม่เคยพูดถึงมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“…แม่นางอย่าได้กังวลไป ครานี้ข้ารู้ว่าพวกเขาต้องการไล่ข้าออกมา ข้าจึงได้ถือโอกาสออกมา อีกทั้งยังได้พาชิ่งอ๋องออกมาด้วยและได้ดูแลเขาดังใจหวัง ข้าคิดมาดีแล้วว่าจะสง่าผ่าเผยเปิดเผยบริสุทธิ์และยึดมั่นในความเป็นธรรมเช่นนี้ ทั้งยังจะได้ทำในสิ่งที่ข้าเองอยากจะทำอีกด้วย”
“สง่าผ่าเผยเปิดเผยบริสุทธิ์และยึดมั่นในความเป็นธรรม สวรรค์ไม่รังแก”