พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 456 บอกได้ (2)
สาวใช้ยื่นมือไปรับจานอาหารเดินฝีเท้าหนักเข้าไป
สาวใช้อีกคนยืนอยู่บนระเบียงด้านนอกสีหน้าตะลึงงัน ฟังเสียงพูดจาของจิ้นอันจวิ้นอ๋องภายในห้องยิ่งผ่อนคลายและดีใจขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าดีใจเพราะได้รับความเห็นพ้องต้องกัน นางส่ายหน้าแย้มยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
จวิ้นอ๋องคงจะไม่รู้ว่านายหญิงของนางนั้นกระทั่งสวรรค์นางยังกล้ารังแก
ข้างหูคล้ายมีเสียงสายฟ้าดังครืนๆ มาให้ได้ยิน
หากทำเรื่องล่วงเกินใดต่อนายหญิงเข้าจริงๆ ล่ะก็ ไม่ว่าเจ้าจะทำลับหลังหรือทำอย่างเปิดเผย สวรรค์ไม่รังแก แต่นางจะรังแกแน่
ดื่มชาไปถ้วยหนึ่งและขนมอีกหลายชิ้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ขอตัวลาไปอย่างพออกพอใจ
“ขอบคุณแม่นางที่มีน้ำใจ” ก่อนจะกลับไปเขาคำนับอย่างเพียบพร้อมอีกครั้งพลางเอ่ย
“ข้ามิได้มีน้ำใจ” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า “ข้าใจแคบนัก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงัก ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมา
จริงด้วย หากให้พูดแล้ว นางค่อนข้างใจแคบอยู่จริงๆ เพราะหมอเทวดาเดินดินนางหนึ่ง บีบคั้นขุนนางในราชสำนักผู้หนึ่งที่เปิดกิจการค้าขายด้วยความยากลำบากมาหลายสิบปีให้บ้านแตกสาแหรกขาดได้ แค่เพราะความดีความชอบ นางบีบคั้นแม่ทัพทั้งกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือให้หลุดจากคำแหน่งๆฃได้
“หากจะขอบคุณก็ให้ขอบคุณความมีน้ำใจของท่านเองเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ใช่ ทำร้ายผู้อื่นสุดท้ายจะย้อนทำร้ายโดนตน ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย “ข้ารู้สึกขอบคุณตัวเองอย่างยิ่ง เหตุใดข้าจึงเป็นคนดีได้เพียงนี้กันนะ”
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่ แต่ในเมื่อพูดเช่นนี้ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าได้พูดปรับความเข้าใจกันชัดเจนแล้ว สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังแย้มยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่
มีผู้ติดตามเดินเข้ามาจากด้านนอก
“ฝ่าบาท ด้านนอกมีคนมามากนักพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“ฝ่าบาทอย่าได้กังวลไป ช่วงนี้ล้วนเป็นเช่นนี้แหละเพคะ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตกใจเล็กน้อย หันไปมองด้านนอก ยังไม่ทันจะเห็นได้ชัดเจนดีก็มีคนเดินเข้ามา
“ข้าไม่สนใจคนอื่น เจ้าเขียนอักษรให้ข้าสักเก้าใบสิบใบที ข้าจะเอาไปขาย”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้น พูดพลางหยุดฝีเท้ามองไปยังผู้คนที่ยืนอยู่ในลานบ้าน สายตาตกลงบนร่างจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เขาผู้นั้น!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเพียงมองแค่แวบเดียวเท่านั้นก็จำได้ทันที
เป็นคนผู้นั้นที่เมื่อสองปีก่อนนั่งเรือล่องแม่น้ำไปด้วยกันกับนาง
ท่านชายสิบสามแห่งตระกูลฉินนามว่าฉินหู
ท่านชายฉินสิบสามกลับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แม้จะเรียกได้ว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน แต่ตอนเด็กๆ เพราะขาพิการจึงไม่เคยเข้าวังเลย ยามนี้หายได้สองปีแล้วก็ยุ่งอยู่กับการร่ำเรียน ได้ยินเพียงชื่อเสียงเรียงนามของจวิ้นอ๋องที่อยู่ในตำหนักลึกผู้นี้เท่านั้นไม่เคยได้พบตัวเป็นๆ มาก่อน ครู่ต่อมาจึงจะจำได้ เขารีบค้อมกายคำนับ
“ถวายบังคมฝ่าบาท” เขาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ยกเท้าเดินออกไป
ด้านนอกมีคนมากมายอยู่จริงๆ มีทั้งเด็กทั้งคนชรา ทว่าท่าทางสุภาพมีมารยาท ไม่ได้เข้ามาใกล้ ต่อให้เห็นเฉิงเจียวเหนียงและคนอื่นๆ เดินออกมา ก็แค่เกิดความโกลาหลขึ้นชั่วครู่เท่านั้น กลับไม่ได้กรูกันเข้ามาและไม่ได้โวยวายโหวกโหวกเสียงดังกันเลย
“มากันเพื่อชื่นชมอักษรของแม่นางพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ติดตามไปสืบมาเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้น
มิน่าเล่า เหล่าปัญญาชนจึงได้เน้นเรื่องอาวุโสและกิริยาท่าทางกัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเผยรอยยิ้มภาคภูมิออกมา ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง เขาหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง เฉิงเจียวเหนียงและคนอื่นๆ ก็คำนับลาให้แก่เขา
หลังจากนั่งรถม้าออกไปแล้ว จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็เลิกม่านขึ้นหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง เห็นคนหน้าประตูเรือนเฉิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ฉินหูผู้นั้นกำลังยืนพูดคุยอยู่ข้างๆ เฉิงเจียวเหนียง ส่วนเฉิงเจียวเหนียงคล้ายว่าจะแย้มยิ้มออกมา
รถม้าขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ไม่เห็นแล้ว
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าเขียนอักษรสวยเพียงนี้แต่ไม่บอกข้าสักคำ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางเดินเข้าบ้านตามเฉิงเจียวเหนียงไป
แม่นางหวงเห็นท่านชายฉินสิบสามจนชินแล้ว จึงอุ้มลูกคำนับ
ท่านชายฉินสิบสามคำนับคืนอย่างเคร่งขรึม
“ท่านมิได้ถามข้านี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “อีกทั้งก็ไม่ได้สวยเท่าใดด้วย”
ท่านชายฉินสิบสามยกมือทาบหน้าผาก แล้วยื่นมือชี้ไปด้านนอก
“ประโยคนี้อย่าได้ให้พวกเขาได้ยินเชียวนะ มิฉะนั้นอาจมีคนเสียสติขึ้นมาเพิ่มอีกก็ได้” เขายิ้มเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง ไม่เอ่ยคำใด
ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ในห้องโถง ปั้นฉินกับสาวใช้ก็ยกชามาให้
“นายหญิงเจ้าคะ ข้าไปก่อนนะเจ้านะ” สาวใช้เอ่ยบอก
“ผู้ดูแลใหญ่ยุ่งมากเสียจริง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยติดตลก
สาวใช้ยิ้มพลางเดินออกไป
“นายหญิงเจ้าคะ บ่าวก็ขอตัวเช่นกันเจ้าค่ะ” สาวใช้อีกคนเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า มองสาวใช้เดินออกไป
“แม่ครัวตระกูลจางนางนี้น่าอิจฉาเสียจริง” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย “เจ้ายังมีสาวใช้อีกคนมาแทนหรือไม่ บ้านข้าจะได้อิ่มอกอิ่มใจที่มีแม่ครัวดีสักคนด้วย”
ปั้นฉินที่อยู่ข้างๆ พลันตระหนกขึ้นมา นางขยับไปใกล้เฉิงเจียวเหนียงทันที
“แทนอันใดกัน ปั้นฉินทำเป็น อยากจะเรียนก็ให้มาเรียนกับนางสิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามนิ่งอึ้ง
“แม่นางพูดจริงหรือ” เขาเอ่ย
“มีอันให้ต้องโกหกกัน แค่อาหารเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เช่นนั้นข้าจะส่งสาวใช้มาจริงๆ นะ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงอืมออกมา
“ท่านชายโจวหกส่งจดหมายมาเยินยอธนูเสินปี้เสียยาวเหยียดเชียวล่ะ” ท่านชายฉินสิบสามดื่มชาพลางยิ้มบอก
“เป็นเหล่าทหารที่ใช้ได้เก่งต่างหาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เจ้านี่ไม่เอาหน้าจริงๆ” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย
“เอาไม่เอาหน้าล้วนเหมือนกันมิใช่หรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แล้วอย่างไรเล่า!” ท่านชายฉินสิบสามส่ายหน้า
“แล้วอย่างไรเล่าอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
มีความดีความชอบก็จะโด่งดัง จะได้รับประโยชน์ และเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมหาศาล ผู้คนต่างเคารพสรรเสริญ…
ท่านชายฉินสิบสามมองหญิงเบื้องหน้า แม่นางน้อยสีหน้าเรียบเฉย ยังคงสวมใส่อาภรณ์สีเรียบไม่เปลี่ยน กินดื่มชาและขนมที่ตนทำเอง การตกแต่งภายในบ้านก็เรียบง่ายแต่งดงาม…
สำหรับคนอื่นแล้วฟุ่มเฟือยอาภรณ์หรูหรา แต่สำหรับนางแล้วทุกสรรพสิ่งและทุกเรื่องราวบนโลกนี้เป็นเพียงดินกำมือเดียวเท่านั้น
ไม่กระทำสิ่งใด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดไม่สำเร็จผล
“ข้าไม่สนสิ่งนี้ เจ้าเขียนอักษรให้ข้าที” ท่านชายฉินสิบสามดึงความคิดกลับมา
“จู่ๆ จะให้เขียนอันใด ข้าเขียนไม่ได้หรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยกมือขึ้นชี้ไปยังห้องหนังสือ “ในนั้นมีที่เขียนเอาไว้แล้ว ท่านชอบก็หยิบไปเถิด”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางลุกขึ้นเดินเข้าห้องหนังสือหยิบมาปึกหนึ่งจริงๆ
“ท่านชาย กระดาษพวกนี้ยังใช้จุดไฟได้อีกนะเจ้าคะ” ปั้นฉินยิ้มเอ่ย
“เจ้าทำลายข้าวของตามอำเภอใจนัก” ท่านชายฉินสิบสามถลึงตาเอ่ยกับนาง
ปั้นฉินปิดปากหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย “เท่านี้ก็พอแบ่งให้บรรดาพี่น้องที่บ้านได้คัดลอกกันแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นส่งแขก
“อ้อ จริงสิ เมื่อครู่จวิ้นอ๋องมาหาด้วยเรื่องชิ่งอ๋องอีกแล้วรึ” ท่านชายฉินสิบสามนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยถาม
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ถามต่ออีกก็จะดูไม่เหมาะแล้ว เขาเป็นคนมีมารยาทมาโดยตลอดเสียด้วย
“เช่นนั้นมาเพื่อการใดรึ” ท่านชายฉินสิบสามยังคงโพล่งถามออกไป
“มาเพื่อขอโทษ” เฉิงเจียวเหนียงตอบโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ขอโทษรึ
เป็นเพราะเรื่องของชิ่งอ๋องกระมัง บอกว่าไม่รักษาไปแล้วนี่ กลับยังมาเชิญนางไปรักษาอยู่นั่นแหละ ไม่คิดดูบ้างว่าการพูดออกไปว่าไม่รักษาต่อหน้าฮ่องเต้นั้น สำหรับหมอหลวงทุกคนแล้วล้วนเป็นเรื่องที่ลำบากใจทั้งสิ้น
ซ้ำยังเพิ่งจะเกิดเรื่องพวกนั้นขึ้นอีกด้วย ในสายตาฮ่องเต้น่าจะทำให้นางพูดได้ยาก
“ควรขอโทษจริงๆ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย สาวเท้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดลงอีก แล้วหันมามองเฉิงเจียวเหนียงพลางส่งยิ้มให้
“ยิ้มอันใดกัน” เฉิงเจียวเหนียวเอ่ยถาม
“ข้ากำลังคิดว่าในตอนที่ข้าถามเจ้า เหตุใดเจ้าไม่พูด ไม่บอกข้า” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย
“มิใช่เรื่องที่ไม่อาจบอกใครได้เสียหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เหตุใดไม่บอกท่านอย่างนั้นรึ”
มองหญิงตรงหน้าตอบด้วยมาดจริงจัง ท่านชายฉินสิบสามก็หัวเราะออกมายกใหญ่อย่างอดไม่ไหว
“ข้าแค่คิดว่า หากเจ้าพูดจาเช่นนั้นต้องน่าสนุกมากแน่” เขาเอ่ย
มีอันใดน่าสนุกกัน
ปั้นฉิน แม่นางหวงและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ต่างมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง
แม่นางน้อยนั่งตัวตรง เงยหน้าขึ้นตำหนิ สีหน้าอมยิ้มทีเล่นทีจริง
ไม่บอกเจ้าหรอก
ปั้นฉินกับแม่นางหวงหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พวกนางก้มหน้าปิดบังรอยยิ้มเอาไว้เช่นกัน
สีหน้าเฉิงเจียวเหนียงยังคงเหมือนเก่า
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” นางเอ่ย