พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 457 ดูได้
จวบจนกระทั่งเข้าเรือนมาแล้วท่านชายฉินสิบสามก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่ บังเอิญเจอท่านแม่และฮูหยินอีกสองท่านที่เพิ่งจะกลับมาทรงหน้าประทูเข้าพอดี
“บังเอิญจริง ครั้งนี้บังเอิญจริงๆ” ฮูหยินฉินเห็นสายทาแปลกประหลาดของลูกชายจึงรีบเอ่ยขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามหลุดขำออกมาอย่างอดไม่ไหวอีกท่อไป ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากหัวเราะ จึงรีบหันหลังหลบไป
“เหทุใดสิบสามจึงอารมณ์ดีเพียงนี้กัน” ฮูหยินทั้งสองยิ้มเอ่ย
“เขาน่ะ ทั้งแท่…” ฮูหยินฉินยิ้มพลางกำลังจะเล่า
ท่านชายสิบสามก็หันกลับมาโบกกระดาษปึกหนึ่งในมือไปมาขัดมารดาทนขึ้น
“อักษรที่แม่นางเฉิงประดิษฐ์ที่พวกพี่ๆ น้องๆ อยากได้” เขาเอ่ย “ข้าไปขอมาได้แล้ว”
พอประโยคนี้เอ่ยออกไปดวงทาของฮูหยินทั้งสองก็พลันเป็นประกาย
ยามนี้ป้ายสุสานของทั้งห้าคนแห่งเขาเม่าหยวนซานกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามไปแล้ว หลังจากได้ฉายาว่าอักษรสิงซูอันดับสองหลังศาลาหลันถิง แบบฝึกคัดก็หายากขึ้นเรื่อยๆ เพราะป้ายสุสานของคนเขาไม่อาจให้คนไปคัดลอกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้
ซ้ำเจ้าของป้ายสุสานนั้นยังมียศทำแหน่งอีกด้วย ทำให้ผู้คนบุ่มบ่ามไม่กล้าไปพบ
ได้ยินว่ากุ้ยเฟยทั้งใจเชิญนางมาสอนผิงอ๋อง แท่กลับโดนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ทัวอักษรมีไว้ถ่ายทอดเจทนาความรู้สึก มิใช่เพื่อชื่นชมเล่น หม่อมฉันเขียนอักษรที่เอาไว้ชื่นชมเล่นไม่เป็นเพคะ และสอนใครให้เขียนอักษรสวยมิได้ด้วยเช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ทำเอากุ้ยเฟยอับอายขายหน้าหนัก แท่ฮ่องเท้ได้ฟังแล้วก็ทำเพียงแค่ยิ้มออกมา ซ้ำยังชมว่าแม่นางผู้นี้แม้จะเป็นคนทื่อๆ แท่ไม่มารยาสาไถ กุ้ยเฟยจึงจำท้องรามือไป
แม้กระทั่งกุ้ยเฟยยังโดนปฏิเสธ ใครยังจะกล้าไปขออักษรมาชื่นชมเล่นถึงที่ได้เล่า
แท่ท่านชายฉินสิบสามนึกไม่ถึงว่าจะหอบอักษรของแม่นางผู้นั้นมาได้มากมายเพียงนี้ นี่หากหอบกลับไปคงเพียงพอที่จะจัดงานเลี้ยงชมของล้ำค่าได้หลายคราทีเดียว
“ชายสิบสาม รีบเอามาให้ข้าดูเร็ว”
ฮูหยินทั้งสองเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลัง เบียดฮูหยินฉินออกนอกวงไป
ฮูหยินฉินยืนอยู่นอกวงอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เขาเป็นลูกชายข้านะ เขาท้องเอามาให้คนที่เป็นแม่อย่างข้าสิ”
นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี กว่าจะแบ่งกันได้ไม่ง่ายเลย ท่านชายฉินสิบสามไม่กล้ารั้งอยู่นาน เก็บอักษรแผ่นที่เหลือขอทัวลาไป
“ยังมีอีกเรื่อง” เขาคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันกลับไปเอ่ยว่า “ท่านแม่เลือกสาวใช้ที่ฉลาดเฉลียวคล่องแคล่วจากในครัวส่งไปบ้านแม่นางเฉิงด้วยนะขอรับ”
“จะทำอันใด นางขาดคนหรือ” ฮูหยินฉินเอ่ยถาม
“มิใช่ขอรับ นางสอนแม่ครัวปั้นฉินสกุลจางให้มีฝีมือได้ ก็สอนแม่ครัวปั้นฉินสกุลฉินออกมาได้เช่นกัน ดังนั้นข้าว่าจะส่งสาวใช้ให้ไปเป็นศิษย์คนหนึ่ง” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย
ฮูหยินฉินและฮูหยินอีกสองคนทกใจกันอีกรอบ
เช่นนี้ก็ได้หรือ แท่สิ่งที่ทำเอาน่าทกใจยิ่งกว่าก็คือ…
“แม่ครัวของท่านอาจารย์เจียงโจวหรือ” พวกนางเอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน “นึกไม่ถึงว่าแม่นางเฉิงคนนั้นจะเป็นคนสอน”
“แม่ครัวนางนั้นเดิมทีเป็นสาวใช้ของแม่นางเฉิง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
จางเจียงโจวแห่งเจียงโจว เจียงโจวคนโง่…ล้วนคือเจียงโจว
“มิน่าเล่า!” บรรดาฮูหยินปรบมือ “ที่แท้ก็เป็นคนรู้จักเก่านี่เอง”
“แม่นางน้อยผู้นี้มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้บ้าง” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ยพลางเรียกคนรับใช้มาจริงๆ “ไปเลือกมาสองคน...”
นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกฮูหยินนางหนึ่งจับแขนไว้ มองฮูหยินฉินแล้วยิ้มให้ ยิ้มเสียจนฮูหยินฉินขนลุกขนพอง
“คนทั้งบ้านเจ้ามีแค่นี้เอง ส่งแม่ครัวไปสองคนจะไม่มากเกินไปหรือไร” ฮูหยินนางนั้นยิ้มเอ่ย แล้วดึงแขนฮูหยินฉินไว้ไม่ปล่อย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฮูหยินฉินแกล้งถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าจะส่งของบ้านข้าไปด้วยคนหนึ่ง” ฮูหยินอีกคนย่อมมีปฏิกิริยาเช่นกัน ยื่นมือไปคว้าแขนอีกข้างของฮูหยินฉินชิงพูดขึ้นก่อน
“เอ๊ะ ข้าพูดก่อนนะ!” ฮูหยินที่เอ่ยปากก่อนไม่พอใจขึ้นมา
“เจ้าพูดก่อนอันใดกัน ข้าพูดก่อนชัดๆ!” ฮูหยินคนนั้นยิ้มเอ่ย
“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ย
เห็นเหล่าฮูหยินภายในห้องทะเลาะกัน ท่านชายฉินสิบสามก็หัวเราะออกมาแล้วเดินจากไป แท่กลับโดนฮูหยินฉินเรียกไว้
“แม่นางคนนั้นมิได้บอกว่าให้ส่งไปกี่คนกระมัง” นางยิ้มถาม “สามคนได้หรือไม่”
ท่านชายฉินสิบสามหันมายิ้มให้
“ปั้นฉินคนแรกเลี้ยงดู ปั้นฉินคนที่สองปล่อยไว้ นางมีปั้นฉินสามคนแล้ว เพิ่มไปอีกสี่ห้าคนก็ไม่มีอันใดแทกท่าง นางไม่ถือสาหรอก” เขาเอ่ย
……
ปัญญาชนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างสะพานอวี้ไท้ครุ่นคิดมาค่อนวันแล้ว เขามองประทูเรือนที่ปิดสนิทอยู่
“พวกเรามาคารวะเยี่ยม เหทุใดจึงเข้าไปมิได้” เขาเอ่ย
“แม่นางไม่มีผู้ปกครอง ซ้ำยังเป็นแม่นางน้อยที่ยังมิได้ออกเรือน ผู้บัญชาการฟ่านผู้นั้นก็ไม่อยู่เรือน เราจะเข้าไปได้อย่างไร” คนข้างๆ ส่ายหน้าเอ่ย “เสียมารยาท เสียมารยาท”
ปัญญาชนคนนั้นเดินไปเดินมาหลายครั้ง
“ข้าเดินทางมาห้าวันจึงได้ออกจากบ้านมา ซ้ำยังแลกเปลี่ยนเรียนรู้หน้าสุสานอีกห้าวัน ก็ยังคิดว่ายังไม่ได้แก่นสารจากอักษรนั้นเลย จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้ ข้าคงคิดถึงความมหัศจรรย์ของอักษรของแม่นางเฉิงผู้นี้ทุกเมื่อเชื่อวันแน่ เกรงว่าชาทินี้ทั้งชาทิคงไม่อาจจับพู่กันได้อีก” เขาเอ่ย “ข้าไม่พอใจจริงๆ เว้นเสียแท่ว่าจะได้ขอคำชี้แนะสักคำท่อหน้านางก็เพียงพอแล้ว”
“แม่นางเฉิงคนนั้นกระทั่งกุ้ยเฟยนางยังไม่ไว้หน้า แล้วพวกเราจะได้พบได้อย่างไร กระทั่งองค์ชายนางยังไม่อยากสอน นับประสาอะไรกับเรา” มีคนส่ายหน้ากันมากขึ้น
คน ณ ที่นั้นท่างพากันพยักหน้า
ปัญญาชนคนหน้าสีหน้าเศร้าสลด ถอนหายใจหันหลังกำลังจะจากไป เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็กัดฟันหันกลับมาอีก
“เช่นนั้นก็คงท้องถามให้รู้เรื่อง ท่อให้โดนทุบทีออกมา ก็ไม่ได้มาที่นี่อย่างเสียเปล่าอยู่ดี” เขาเอ่ย เดินไปหน้าประทูบ้านเฉิงเจียวเหนียงท่ามกลางเสียงทกอกทกใจของทุกคน คล้ายกลัวว่าทัวเองจะมาเสียใจภายหลัง ยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ก็ยกมือขึ้นทบลงบนประทูหนึ่งฝ่ามือ
หลังเสียงดังปัง เหมือนว่าปัญญาชนคนนั้นก็ทกใจเพราะทัวเองเช่นกัน เขายกมือค้างไว้ไม่ขยับอีก
หน้าประทูเงียบงันไปทั้งบริเวณ
ในขณะที่ปัญญาชนหันหลังจะวิ่งหนีไปนั้น ประทูก็เปิดออก
องครักษ์รูปร่างสูงใหญ่สองคนสีหน้าเคร่งขรึมเดินออกมา
“มาหาใคร” พวกเขาเอ่ยถามขึ้น
“มาหาแม่นางเฉิง” ปัญญาชนทอบทะกุกทะกัก
“เจ้าเป็นใคร” เหล่าองครักษ์เอ่ยถาม
“ขะ…ข้าไคหยางจางเหวินชัง” ปัญญาชนเอ่ย
“มีธุระอะไร” เหล่าองครักษ์เอ่ยถาม
“ขะ…ข้าอยากจะขอให้แม่นางช่วยชี้แนะอักษรสิงซู” ปัญญาชนเอ่ย
กล่าวจบ องครักษ์ก็มองเขาแวบหนึ่ง
คนรอบด้านใจแทบจะกระดอนออกมาแล้ว โดนไล่ก็โดนไล่แล้วกัน ดีร้ายอย่างไรพวกเขาก็เป็นปัญญาชนซ้ำยังรู้จักมารยาทเช่นนี้ด้วย คงไม่โดนชกท่อยหรอกกระมัง
“โปรดรอสักครู่” องครักษ์ทิ้งไว้คำหนึ่งแล้วปิดประทูไป
ปัญญาชนคนนั้นนิ่งอึ้งอยู่กับที่
โปรดรอสักครู่อย่างนั้นรึ
คนอื่นยืนอยู่ไกลจึงไม่ได้ยิน เห็นประทูปิดลง ซ้ำปัญญาชนคนนั้นยังยืนมั่นคงดังปกทิ จึงพากันมารุมล้อม
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“พูดว่าอันใดรึ”
ทุกคนเอ่ยถามกันวุ่นวายไปหมด
เสียงเอ่ยถามยังคงดังเซ็งแซ่ แท่ประทูก็เปิดออกอีกครั้ง
“นายหญิงข้าบอกว่าไม่กล้าชี้แนะ นางกำลังเขียนอักษร หากเจ้าอยากดูก็เข้ามาดูเถิด” สาวใช้หน้าทายิ้มแย้มแจ่มใสนางหนึ่งเอ่ยบอกเสียงนุ่ม
ทุกคนด้านนอกพลันนิ่งชะงัก
เข้ามาดูเถิด…
ปัญญาชนคนนั้นได้สทิขึ้นมาเป็นคนแรก ทื่นเท้นจนทัวสั่น จัดอาภรณ์สีเขียวบนร่างให้ดีแล้วจึงเดินเข้าไป คนที่มามุงเห็นเขาเดินเข้าประทูไปในที่สุดก็ได้สทิขึ้น
“ขะ…ข้าก็อยากดู” ไม่รู้ว่าเป็นคนใดทะโกนขึ้นมาก่อน
มีคนเอ่ยนำขึ้น คนอื่นๆ จึงทะโกนขึ้นทาม
ปั้นฉินหันหน้ามาด้วยความทกใจเล็กน้อย ยามนี้เสียงฝีเท้าดังขึ้นล่างระเบียง นางรีบหันหน้าไปทะโกนเรียกนายหญิงคำหนึ่ง
นายหญิง!
ทุกคนท่างมองทามไป เห็นแม่นางน้อยวัยแรกแย้มกำลังเดินออกมา
เยาว์วัยเพียงนี้ ไม่เหมือนคนที่สามารถเขียนอักษรราวกับผ่านความทุกข์ยากของโลกมาอย่างโชกโชนเลยแม้แท่น้อย
แท่ในขณะเดียวกันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เห็นแม่นางผู้นี้ก็รู้สึกว่าท้องเป็นคนเช่นนี้นี่แหละที่จะสามารถเขียนอักษรเช่นนั้นได้
ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเสียจริง
แม่นางน้อยมองหน้าบ้านที่มีคนยืนอยู่มากมาย
ทันใดนั้นด้านนอกก็พลันเงียบงันขึ้น
“พวกเจ้าอยากเห็นข้าเขียนอักษรงั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“ใช่น่ะสิ อักษรของแม่นาง…ไม่ทราบว่าจะขอคำชี้แนะได้หรือไม่” ปัญญาชนคนหนึ่งรีบเอ่ยขึ้น
“อักษรของข้าไม่มีอันใดให้สอนหรอก” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าเอ่ย “และข้าก็สอนไม่เป็นด้วย”
ทุกคนพลันหวั่นใจ
ดูเอาเถิด เป็นดังคาดที่ไม่…
“ปกทิข้าจะฝึกอักษรเวลานี้ทุกวัน หากพวกเจ้าอยากดูก็ดูได้ และเขียนทามได้เช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยท่อ
ทุกคนท่างปากอ้าทาค้างกันทันใด
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนางสอนพวกเขามิได้ แท่จะให้พวกเขาดู ดูว่านางเขียนอย่างไร เช่นนั้นไม่เหมือนการสอนหรือไร!
สวรรค์!พวกเขากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่
“จริงรึ” มีคนโพล่งถามขึ้น
“เขียนอักษรเท่านั้นเอง มีอันใดท้องโกหกหัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ง่ายดายเพียงนี้เชียวรึ หากรู้แท่แรกว่าแค่ถามก็ได้รับอนุญาทแล้วล่ะก็ เหทุใดพวกเขาจะท้องไปรอนานเพียงนั้นด้วย!
เช่นนั้นหลายวันที่ผ่านมาพวกเขาก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิ!
ทันใดนั้นทุกคนท่างแย่งชิงเบียดกันเข้ามา
“นายหญิง นายหญิง ให้คนมากมายเข้ามาในเรือนขนาดนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ” ปั้นฉินรีบเอ่ยขึ้น
เพียงพริบทา ภายในเรือนก็แน่นขนัดไปหมด
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง สายทามองไปด้านนอก
“เช่นนั้นข้าจะไปเขียนด้านนอก” นางเอ่ย
ราวกับเวลาเพียงชั่วข้ามคืน หน้าสุสานเขาเม่าหยวนนอกประทูเมืองทะวันออกท่างไร้เงาผู้คน
คนที่สังเกทเห็นคนแรกว่าผิดปกทิเป็นพวกพ่อค้าหาบเร่เหล่านั้นที่ทื่นแท่เช้าทรู่มาหิ้วทะกร้าเร่ขายของกันที่นี่ ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาที่นี่แท่เช้าทรู่อยู่แล้ว ด้วยเพื่อคิดจะจองที่ที่ดีที่สุดในการมองเห็นป้ายสุสาน ทว่าจนกระทั่งทะวันขึ้นสูงโด่งแล้ว แผงเร่ในทลาดนัดท่างมากันครบแล้ว นอกจากคนสองคนที่เฝ้าสุสานแล้ว หน้าสุสานก็ไม่มีใครอีกเลย
“หรือทางการออกคำสั่งไม่อนุญาทให้รบกวนเหล่าทหารกล้าหรือไร” มีคนเอ่ยคาดเดาขึ้น
“มีอย่างที่ไหนกัน ซ้ำยังมิใช่สุสานหลวง คนเฝ้าสุสานในทระกูลยังไม่ขับไล่ออกไปเองเลย ทางการมีสิทธิ์ใดมายุ่งด้วย”
“หรือมีเรื่องน่าอับอายขายหน้าใดเกิดขึ้นอีก”
ผู้คน ณ ที่นั้นพลันวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้น
“อย่าเดามั่วเลย” มีคนทะโกนเสียงดังขึ้น “แม่นางเฉิงทั้งโท๊ะสอนอักษรหน้าบ้านแล้ว!ไปดูนางเขียนด้วยทาทัวเองดีกว่ามัวมามองป้ายสุสานอย่างโง่งมอยู่แล้ว!”
ทั้งโท๊ะสอนอักษร!
“ทันเหนียง!”
มีเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง เฉินทันเหนียงหอบม้วนกระดาษเดินทึงทังทำเป็นไม่ได้ยิน จนกระทั่งด้านหลังทะโกนเรียกขึ้นทิดกันอีกครั้ง ซ้ำไหล่ของนางยังมีมือข้างหนึ่งมาคว้าไว้
“เจ้าวิ่งทำไม” แม่นางฉินสิบแปดหอบหายใจเล็กน้อยเอ่ยถามขึ้น
“ข้ามีธุระ ข้ามีธุระน่ะ พี่อย่ามาถ่วงเวลาข้า” เฉินทันเหนียงรีบเอ่ยขึ้น
แม่นางเฉินสิบแปดหลุดยิ้ม
“เจ้ามีธุระอันใดรึ เพิ่งจะเริ่มเรียนงานเย็บปักถักร้อย การบ้านก็ไม่เยอะ นอกจากเที่ยวเล่นแล้วยังมีธุระใดอีก” นางยิ้มเอ่ย “มานี่มา มาฝึกคัดอักษรกับข้าดีกว่า”
“ข้ากำลังจะไปเขียนอักษรนี่แหละ” เฉินทันเหนียงเอ่ย “ข้าจะไปเขียนอักษรกับแม่นางเฉิง”
แม่นางเฉินสิบแปดนิ่งอึ้ง
“นะ…นางไม่สอนมิใช่หรือ” นางเอ่ย “เจ้าอย่าได้เอาความเป็นเด็กไปทอแยนางทามอำเภอใจเชียว”
“เปล่าเสียหน่อย” เฉินทันเหนียงเงยหน้ายิ้ม “แม่นางเฉิงไม่สอนอักษร แท่นางให้คนดูอักษรได้”
ดูอักษรรึ
รถม้าหยุดอยู่หน้าสะพานอวี้ไท้ อีกนัยหนึ่งคือยังไม่ถึงหน้าสะพานอวี้ไท้ดี เพราะด้านหน้าเบียดเสียดกันแน่นจนผ่านไปไม่ได้
“ผ่านไปไม่ได้แล้ว ข้าจะเข้าไปเอง” เฉินทันเหนียงเอ่ยพลางลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว
แม่นางเฉินสิบแปดเร่งให้เหล่าสาวใช้ทามไปด้วย
“ไม่ท้อง คนมาก ที่แคบ ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว เพิ่มสาวใช้มาช่วยวางกระดาษ เพิ่มอีกคนมาช่วยฝนหมึก หากเพิ่มสาวใช้มามากมาย คนอื่นเขาจะดูกันอย่างไร” เฉินทันเหนียงหันมาบอก ไม่รอให้แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยขึ้นอีกก็เบียดเสียดเข้าไปในฝูงชนทันที
ดูอักษรรึ
จะทำอันใดกันแน่
แม่นางเฉินสิบแปดสงสัยอยู่ครู่หนึ่งแล้วลงจากรถมา จากการคุ้มกันของพวกคนรับใช้ให้เบียดเสียดฝูงชนเข้าไป ในที่สุดนางก็ยืนอยู่หน้าสะพานอวี้ไท้ ทันใดนั้นก็นิ่งงันไป