พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 458 ไม่เข้าใจ
แม่นางเฉินสิบแปดเห็นผู้คนเนืองแน่น
หากจะว่ากันตามตรงแล้ว นางใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่ผู้คนเนืองแน่นเช่นนี้มาก่อน เทศกาลโคมไฟของทุกปีก็จะมีผู้คนล้นหลามแบบนี้เช่นเดียวกัน เทียบกับเทศกาลนั้นแล้ว ยามนี้ผู้คนเบื้องหน้าไม่นับว่ามากมายเท่าใด
ด้านสะพานอวี้ไต้หน้าเรือนของแม่นางเฉิง พื้นที่ว่างแต่เดิมกลับเต็มไปด้วยผู้คนนั่งจับจอง ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ตัวสูงตัวเตี้ย เหล่าบุรุษอยู่ทางด้านหนึ่ง ส่วนเหล่าสตรีสวมหมวกยาวคลุมหน้าตั้งโต๊ะอยู่อีกด้าน วางกระดาษไว้บนตัก อีกทั้งยังมีพวกเด็กยากจนที่ถือกิ่งไม้เขียนกับพื้นด้วย
ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่งกลายเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด แต่กลับทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเคารพในสถานที่ขึ้นมา
ส่วนหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางนั้นคล้ายว่าไม่สนใจเหตุการณ์นี้เลยแม้แต่น้อย เบื้องหน้านางเต็มไปด้วยกระดาษและหมึกที่วางเรียงราย ยามนี้กำลังยกพู่กันเขียนอักษรอยู่
เฉินตันเหนียงเบียดไปถึงข้างกายเฉิงเจียวเหนียงได้ในที่สุด นางใช้ความเป็นเด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่ข้างนาง วางกระดาษเขียนแล้วลงมืออักษรตาม
“แม่นาง แม่นาง อักษรตัวนี้ข้ามองไม่ชัด เจ้าเขียนอีกรอบที” นางตะโกนขึ้นฉับพลัน
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ จับพู่กันเขียนอีกครั้งจริงๆ กระดาษที่เพิ่งจะเขียนเมื่อครู่โดนหยิบไปวางไว้ด้านข้าง สาวใช้นางหนึ่งรับไปพลางมองไปยังฝูงชน
ในชั่วขณะนี้แม่นางเฉินสิบแปดก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันโชติช่วงของฝูงชนได้เช่นกัน
“ข้า” มีคนผู้หนึ่งยกมือขึ้นสูงมาก เสียงสั่นเล็กน้อย “วันนี้ถึงตาข้าแล้ว”
ปั้นฉินจึงเดินเข้าไปหา ส่งกระดาษในมือไปให้เขา
คนผู้นั้นรับไปด้วยความตื่นเต้นท่ามกลางความอิจฉาของทุกคน
ทว่าทุกคนมองเพียงแค่แวบเดียวแล้วดึงสายตากลับทันที สายตาของพวกเขายังคงตกไปอยู่บนร่างของเฉิงเจียวเหนียง กลัวว่าจะพลาดการขีดเขียนแต่ละเส้นของนางไป
“แม่นางเฉินสิบแปด”
มีคนเอ่ยเรียกจากด้านหลัง
แม่นางเฉินสิบแปดตะลึง รีบหันไปมอง เห็นแม่นางน้อยหน้าตาคุ้นๆ กลุ่มหนึ่ง
“แม่นางเฉินสิบแปด เจ้าก็มาดูแม่นางเฉิงเขียนอักษรเหมือนกันหรือ”
หนึ่งในนั้นยิ้มเอ่ย พลางโบกกล่องเครื่องเขียนในมือไปมา
แม่นางเฉินสิบแปดยังไม่ทันเอ่ยคำใด แม่นางอีกคนก็หัวเราะขึ้น
“แม่นางเฉินจะมีเวลามาสนใจหรือ นางยังต้องไปสอนผิงอ๋องเขียนอักษรอีกนี่นา” นางเอ่ย “ไม่เหมือนคนที่เขียนอักษรไม่เป็นอย่างเราได้หรอก”
มือของแม่นางเฉินสิบแปดที่อยู่ในแขนเสื้อกำเป็นหมัด
“รีบหน่อยเถิด แม่นางเฉิงจะเขียนแค่ครึ่งชั่วยามในทุกๆ วันเท่านั้น เดี๋ยวก็ตามไม่ทันอีกรอบกันพอดี” หญิงอีกคนลากนางพลางเอ่ย
หญิงทั้งสองจงใจชนแม่นางเฉินสิบแปดสองครั้งทั้งซ้ายทั้งขวาเดินเข้าไปด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
เหล่าสาวใช้รีบเข้ามาประคองแม่นางเฉินสิบแปดด้วยความโมโห
“แม่นาง เราจะเข้าไปหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้นางหนึ่งถามอย่างสงสัย
เข้าไปรึ
เข้าไปทำอันใด
ตัวอักษรมีไว้ถ่ายทอดเจตนาสื่อความรู้สึก มิใช่เพื่อชื่นชมเล่น หม่อมฉันเขียนอักษรที่เอาไว้ชื่นชมเล่นไม่เป็นเพคะ และสอนใครให้เขียนอักษรสวยมิได้ด้วยเช่นกัน
นางบอกเองว่าสอนคนให้เขียนอักษรให้สวยไม่เป็นมิใช่หรือไร ยังจะต้องเข้าไปทำอันใดอีก ขอร้องนางอย่างนั้นรึ
แม่นางเฉินสิบแปดยืนอยู่ที่เดิม มองไปยังด้านนั้น
เป็นไปดังที่สองคนนั้นว่าไว้ หลังจากครึ่งชั่วยามแล้ว เฉิงเจียวเหนียงก็ลุกขึ้นจากไป ส่วนเหล่าสาวใช้ต่างนำอักษรที่เขียนในวันนี้มอบให้แก่คน ณ ที่นั้น จากนั้นก็เก็บข้าวเก็บของจากไป
เฉินตันเหนียงย่อมเดินตามเข้าไปด้วย
ประตูเรือนตระกูลเฉิงปิดลง หน้าประตูมีบางคนรีบร้อนจากไป บางคนนั่งกับพื้นเขียนต่อด้วยอารมณ์ที่ยังคงค้างอยู่ บางคงเล่นกันโหวกเหวก บางคนล้างพู่กันอยู่ริมน้ำ คนและรถม้ากลับมาวิ่งกันขวักไขว่อีกครั้ง
“นี่สิจึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หลบซ่อนตัวในเมืองพลุกพล่าน ไม่แตกต่าง ไม่แบ่งแยก”
“ไม่สนชาติกำเนิด ไม่สนที่มา ขอเพียงเจ้าปรารถนาก็สามารถมาเรียนได้ ช่างเหมือนขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่เสียจริง”
“ตอนแรกอาจารย์เจียงโจวเทศสอนพระคัมภีร์ใต้ต้นไม้ในถิ่นทุรกันดารของวั่งโจว ดึงดูดให้ปวงชนมาสดับฟัง เพื่อจะได้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ยามนี้แม่นางเจียงโจวนางนี้ตั้งโต๊ะเขียนอักษรอยู่หน้าเรือน ให้ผู้คนได้เข้ามาชมดู ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงเลื่องลือ”
“กล่าวเช่นนี้ยามนี้มีอาจารย์เจียงโจวสองคนอย่างนั้นรึ”
อาจารย์เจียงโจว…
คนที่สามารถถูกเรียกด้วยภูมิลำเนานั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ขนาดเฉินเซ่ายังถูกเรียกแค่ว่าอำมาตย์เท่านั้น แบกชื่อเฉินฉวีโจวไว้ไม่ไหว
แม่นางเฉินสิบแปดสูดหายใจลึกสาวเท้าเดินไปทางประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียง
“พี่สาว ยามนี้พี่ยังไม่กลับไปอีกหรือ”
เฉินตันเหนียงเห็นแม่นางเฉินสิบแปดเข้ามาก็รีบเอ่ยทักขึ้น
แม่นางเฉินสิบแปดเห็นนางผูกเชือกคล้องแขนไว้ ท่าทางเหมือนกำลังยุ่งจึงฉงนขึ้นมา
“ข้าจะทำขนมกับแม่นาง” เฉินตันเหนียงแฝงไว้ด้วยความลำพอง
ทำขนมรึ
เฉิงเจียวเหนียงก็เดินออกมาจากห้องด้วยเช่นกัน นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มัดเชือกคล้องแขนเอาไว้ แล้วมองไปทางระเบียงมีสาวใช้หน้าคุ้นสามคนกำลังรออย่างนอบน้อม
นี่กำลังจะทำอันใดกัน
“ว่างและไม่มีอะไรทำ เข้าครัวก็สนุกดีเหมือนกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
สนุกดีรึ แม่นางผู้นี้ก็สนุกเป็นเหมือนกันหรือ นางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นหุ่นไม้ไม่ยินดียินร้าย ไร้ความรู้สึกอันใดเสียอีก
แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะเจื่อนออกมา
“ขอพูดอันใดเป็นการส่วนตัวหน่อยได้หรือไม่” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองนางแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
“เฉินซู่มีเรื่องหนึ่งที่คิดไม่ตก”
แม่นางเฉินสิบแปดยืนอยู่ในห้องโถงเอ่ยเข้าประเด็น
“หากเกี่ยวกับข้า เชิญเจ้าพูดเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แม่นางจะไม่บอกคนอื่นว่าเจ้าเขียนอักษรสวยมิใช่หรือ เช่นนั้นยามนี้กำลังทำอันใดอยู่กัน” แม่นางเฉินสิบแปดสูดหายใจลึกเงยหน้าขึ้นถาม
“ยามนี้ข้าก็ไม่ได้บอกใครเหมือนกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าเขียนอักษรทุกวันอยู่แล้ว ซ้ำยังไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอันใด ในเมื่อคนอื่นอยากเห็น เช่นนั้นก็มาดูได้”
“เฉิงเจียวเหนียง” แม่นางเฉินสิบแปดก้าวเข้าไปหาก้าวหนึ่ง นางกัดริมฝีปากแน่น น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “เดิมทีข้าคิดว่าท่านเป็นคนใจกว้าง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนปากอย่างใจอย่างเช่นนี้ นี่ท่านเรียกว่าอักษรไม่สวยรึ อักษรที่ไม่สวย จะถูกเรียกว่าสิงซูอันดับสองแห่งแผ่นดินหรือไร อักษรที่ไม่สวยจะถูกกุ้ยเฟย ไทเฮา ฮ่องเต้ชื่นชมรึ”
“นั่นเป็นความคิดของพวกเขา มิใช่ความคิดของข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าคิดว่าอักษรข้าไม่สวย ข้าทำได้แค่ใจกว้างกับตัวเอง ส่วนคนอื่นข้าไม่อาจคิดแทนเขาได้ และไม่รู้จะคิดแทนอย่างไร”
แม่นางเฉินสิบแปดหลุดหัวเราะออกมา คล้ายได้ยินคำที่น่าขันอย่างยิ่ง
“สำหรับคนอื่นแล้วท่านไม่อาจคิดแทนเขาได้ และไม่รู้จะคิดแทนได้อย่างไรอย่างนั้นรึ” นางเอ่ยพลางยื่นมือไปชี้ตัวเอง แววตาเป็นประกาย “เช่นนั้นแม่นางรู้หรือไม่ว่าเพราะคำพูดเดียวของแม่นาง ข้าเฉินซู่กลายเป็นตัวตลกของคนทั่วทั้งเมืองหลวง”
เฉิงเจียวเหนียงมองนาง
“ข้าไม่รู้” นางตอบ
แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะขึ้นอีกครั้ง หัวเราะจนน้ำตาไหลรินออกมา
“แม่นางไม่รู้สินะ แม่นางย่อมไม่รู้อยู่แล้ว เพราะแม่นางไม่สนใจไยดีแต่แรก” นางเอ่ย
“ข้าไม่สนใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “คนบนโลกนี้มีมากเหลือเกิน เฉินซู่ ข้าสนใจได้ไม่หมดหรอก ข้าทำได้แค่สนใจดูแลตัวเองให้ดี เราล้วนทำได้แค่สนใจตัวเองให้ดี อย่าได้สนใจคนอื่น เฉินซู่ อย่าสนใจข้า สนใจตัวเจ้าเองเถิด”
“แม่นางย่อมไม่สนใจคนอื่นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำการใดล้วนมีหลักมีเกณฑ์ของแม่นางเอง แม่นางมีหลักมีเกณฑ์ของแม่นางเอง แม่นางทำเพื่อตัวเอง ไร้หัวจิตหัวใจ แม่นางมีเพียงหลักเกณฑ์ น้ำจิตน้ำใจล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาแม่นาง!” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย พูดจบก็หันหลังเปิดประตูออกเดินจากไป
เสียงตวาดที่ดังจากภายในห้องทำเอาสาวใช้ในลานบ้านรวมถึงเฉินตันเหนียงตกอกตกใจ
“พี่สาว” เฉินตันเหนียงเรียก
แม่นางเฉินสิบแปดกลับไม่หยุดฝีเท้าลง นางสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉินตันเหนียงทั้งโมโหทั้งร้อนใจเดินตามออกไป
ได้ยินเสียงรถม้าแล่นออกไป ปั้นฉินจึงรีบมองกลับไปในห้องโถง เฉิงเจียวเหนียงเดินออกมาด้วยสีหน้าดังเดิม
“นายหญิง ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ” ปั้นฉินเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นไร” นางเอ่ย
ส่วนคนอื่น…
ปั้นฉินก็ไม่ไปสนใจ ได้ยินดังนั้นก็ถอนใจออกมา
……
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก พร้อมกับเสียงเคาะประตู
“สิบแปด เปิดประตูเดี๋ยวนี้” เสียงฮูหยินเฉินดังเข้ามาด้วยความร้อนใจ
“นางทะเลาะกับแม่นางเฉิง!นางทะเลาะกับแม่นางเฉิง!นางช่างไร้มารยาทเสียจริง!” เสียงแหลมเล็กของเฉินตันเหนียงก็ดังขึ้นตามมา
แม่นางเฉินสิบแปดรีบใช้มือปิดหูหันหน้าเข้าหากำแพง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงพูดคุยหน้าห้องก็เบาลง คล้ายว่าทั้งสองได้จากไปแล้ว แม่นางเฉินสิบแปดจึงเอามือลง กอดเข่าอย่างเหม่อลอย
“สิบแปด” เสียงเรียกดังขึ้นอยู่หน้าห้อง
แม่นางเฉินสิบแปดตกใจยกใหญ่ ฟังออกว่านี่คือเสียงของท่านปู่
“ข้าจะมาถามเจ้าว่าเป็นอันใดหรือไม่”
แม่นางเฉินสิบแปดยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ด้านนอกจึงส่งเสียงอืมออกมา
“เจ้ารู้ว่าตัวเองไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” นายท่านเฉินเอ่ย
เสียงฝีเท้าดังขึ้นคล้ายกำลังจากไป
ตัวเองรู้ดี…ตัวเองรู้ดี…เหตุใดทุกคนต่างพูดถึงแค่ตัวเอง!
แม่นางเฉินสิบแปดลุกขึ้น เดินไปเปิดประตู
นายท่านเฉินที่เดินไปถึงกลางเรือนแล้วได้ยินเสียงประตูก็หันหน้ากลับมา
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงต้องทำเช่นนี้ เหตุใดนางจึงมักจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดจึงต้องเหยียบคนอื่นลงไป!เหตุใดข้าจึงกลายเป็นตัวตลก!” แม่นางเฉินสิบแปดพูดทั้งน้ำตา นางยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้า
นายท่านเฉินสีหน้าเคร่งขรึมหันหลังกลับไป
“สิ่งนี้นางไม่รู้ เจ้ารู้” เขาเอ่ย
“ท่านปู่!” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยเรียก
“ไม่มีใครมาทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลกได้ มีเพียงตัวเจ้าเองที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกได้!” นายท่านเฉินตวาด
“เหตุใดนางต้องทำเช่นนั้นด้วย เหตุใดนางจึงต้องทำเช่นนั้น” แม่นางเฉินสิบแปดร้องไห้พลางเอ่ย
“เพราะนางต้องการ นางจึงทำได้” นายใหญ่เฉินตวาด “เจ้าไม่ต้องการ ซ้ำยังทำไม่ได้ เก็บความริษยาของเจ้าไปเสีย พิจารณาตัวเองว่าเจ้าเป็นใคร ตั้งใจทำเรื่องที่เจ้าสามารถทำได้และเจ้าอยากจะทำเถิด เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่าเจ้าทำสิ่งใดได้ทำสิ่งใดไม่ได้ ทำได้อยู่แล้วแต่ยังต้องการ นั่นคือโง่ ทำไม่ได้แล้วยังต้องการ นั่นคือหลงมัวเมา เฉินซู่ ยามนี้เจ้ายังไม่ทันโง่ก็หลงเมามัวเสียแล้ว!”
“ข้าเปล่านะเจ้าคะ ข้าเปล่า” แม่นางเฉินสิบแปดร้องไห้ส่ายหน้า “ข้าแค่ ข้าแค่ไม่ยอม…”
“ไม่ยอมอย่างนั้นรึ” นายท่านเฉินหลับตาลง แล้วลืมขึ้นโดยพลัน “สิบแปด เจ้าคิดว่าเจ้าฝึกคัดอักษรมาสองปีนั้นลำบากหรือไม่”
ลำบาก แม่นางเฉินสิบแปดกัดริมฝีปากไม่ได้ตอบคำใด
“เจ้าคงคิดว่าตัวเองมานะพยายามมากพอแล้วกระมัง” นายใหญ่เฉินเอ่ยต่อ
มานะพยายาม…แม่นางเฉินสิบแปดยังคงไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา มีเพียงน้ำตาที่รินไหล
“สิบแปด เจ้าก็รู้ว่าหวังอี้ฝึกอักษรมากี่ปี” นายใหญ่เฉินเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย คล้ายคาดเดาถึงสิ่งใดได้ ร่างนางแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับทำเช่นนี้แล้วจะสามารถทำให้ทุกอย่างหยุดลงได้ แต่ทำเช่นนี้ช่างไร้ประโยชน์นัก
“สิบแปด เจ้ามานะพยายาม เจ้ายากลำบาก เจ้ามีความสำเร็จอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะเจ้าแซ่เฉิน เพราะพ่อเจ้าคือเฉินเซ่า เพราะเฉินเซ่าเป็นอำมาตย์เฉิน” นายท่านเฉินเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
นั่นเป็นเบี้ยหวัดเงินเดือนและความโปรดปราน นั่นเป็นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท นั่นเป็นราชวงศ์ที่ทรงไว้หน้าให้
ไม่ใช่ ไม่ใช่ เหลวไหล เพ้อเจ้อ
แม่นางเฉินสิบแปดส่ายหน้า ก้าวถอยหลังไม่หยุด จนชนเข้ากับประตู นางจึงยกมือขึ้นปิดปากน้ำตานองหน้าดั่งสายฝน
“ไม่ใช่หรอก” นางตวาดลั่น “ท่านปู่ เหตุใดจึงต้องพูดเช่นนี้ด้วย เหตุใดจึงต้องว่าข้าเช่นนี้!”
เด็กสาวสีหน้าซีดเผือด ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตา เสียงนางสั่นเครือ ร่างกายก็สั่นสะท้าน หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้นายท่านเฉินกำลังสั่งสอนอบรมนาง ตำหนินาง แต่คำพูดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่อ่อนโยน คิดไม่ถึงว่าจนท้ายที่สุดจะหลุดปากออกมาเช่นนี้ คำพูดที่แสนอ่อนโยนพลันกลายเป็นลูกธนูอันหนาวเหน็บทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี
นายใหญ่เฉินที่เห็นเด็กสาวใกล้จะแตกสลายก็แอบทอดถอนใจออกมาเงียบๆ
ข้าเป็นใคร สามคำนี้ ช่างเป็นการตีแสกหน้าเข้าอย่างจังจริงๆ
ซ้ำยังเป็นอาวุธร้ายแสนคมกริบ มิน่าเล่ากระทั่งแม่นางเฉิงผู้นั้นก็ยังเกือบจะสลบไสลไม่ฟื้น
ทว่าจะมีวิธีใดอีกเล่า ทิ่มเข็มต้องเห็นเลือด จิตใจที่ยึดติดก็ต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมมาขจัด
“สิบแปด” นายใหญ่เฉินคลายน้ำเสียงเคร่งขรึมลง ก้าวเข้าไปหาพลางถอนใจเบาๆ “ยอมรับว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ มันน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ”