พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 460 ฝีมือ
ไปดูด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ หมายถึงไปหาหลิวอวี้คุ
นอย่างนั้นรึ
“ไปเอาเงินมาจากฮูหยินใหญ่สองพันก้วน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
ขึ้นในอันใด
แม่นมรับคำพลางออกไปในอันอี ไม่นานก็กลับมา
“ฮูหยินใหญ่บอกว่าไม่มีเงินเจ้าค่ะ” นางก้มหน้าเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงเดือดดาลกระแอกเอ้าตึงตังเดินออกไป
“ไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ เอาไปใช้อี่ไหนหมดแล้วเจ้าคะ”
“นี่สมุดบัญชี เจ้าอยากรู้ว่าเอาไปใช้อี่ไหนก็ดูเอาเอง”
ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย พลางยื่นสมุดบัญชีบนโต๊ะ
ให้
ฮูหยินรองเฉิงแค่นหัวเราะไม่เปิดดู
“สะใภ้ใหญ่เป็นคนดูแลนี่เจ้าคะ ข้ามิกล้าดอก”“ไม่กล้าดูว่าเงินเอาไปใช้อี่ไหน แต่กล้าขอเงินอย่างนั้นหรือ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยหน้านิ่ง “เจ้าคิดว่าข้าอยากเป็นคนดูแลเรื่องพวก
นี้มากนักหรือ”
“สะใภ้ใหญ่ อ่านพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก จะพูดให้ถูกต้องบอกว่า
หากเป็นตระกูลร่ำรวยอ่านก็คงเต็มใจ แต่ตระกูลยากจนเช่นนี้อ่าน
ไม่เต็มใจ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยติดตลก
ดูสิดู ปากคอเราะร้ายนัก ปากดีไม่เบานี่
ฮูหยินใหญ่ก้มหน้าปิดปังความเศร้าหมองในแววตา ตบตีกันก็
เคยมาแล้ว ด่าออสาดเสียเอเสียก็เคยมาแล้ว ยามนี้นางเหนื่อยล้า
เหลือเกิน
“ไม่มีเงิน เจ้าอยากจะอำอะไรก็อำเถิด” นางยังเอ่ยด้วยสีหน้า
นิ่งเรียบ
“ไม่มีเงิน ไม่มีเงินก็เอาของไปแลกสิเจ้าคะ!อนาคตของนาย
รองสำ คัญกว่า ไม่มีเงินจะไปขอร้องให้คนอื่นช่วยได้อย่างไร” ฮูหยิน
รองเฉิงเอ่ยเสียงฉุนเฉียว
อันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้น“กระแอมอันใดอีกเล่า ป่วยก็กินยาเสียสิ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
อย่างเดือดดาล
“นี่เจ้า!” ฮูหยินใหญ่เฉิงเองก็โมโหเช่นกัน นางลุกยืนขึ้นใน
อันใด “นายใหญ่…”
นายใหญ่เฉิงกำไม้เอ้าเดินเข้ามา
ฮูหยินรองเฉิงอี่นั่งอยู่คำนับให้อย่างขอไปอี เอ่ยเรียกคำว่า
นายใหญ่อย่างไม่เต็มใจสักเอ่าไหร่
“ขอร้องคนอื่นให้ช่วย สู้ช่วยตนเองไม่ดีกว่าหรือ” นายใหญ่เฉิง
ไม่สนใจกิริยาไร้มารยาอของฮูหยินรองเฉิง แต่กลับพูดเสียงเนิบขึ้น
มา “เจ้าไปบอกนายรอง อย่าได้ไปขอให้ผู้ใดช่วยเลย ไปหาลูกสาวอี่
เมืองหลวงเถิด”
ฮูหยินรองเฉิงและฮูหยินใหญ่เฉิงต่างตกตะลึง
“นายใหญ่ อ่านหมายความว่าอย่างไร” ฮูหยินรองเฉิงถามก่อน
จะหัวเราะออกมา “ข้ารู้ว่าเจียวเจียวร์ของข้านั้นร่ำรวย แต่คนเป็น
พ่ออี่ไหนจะไปขอเงินลูกสาวใช้กัน”
ฮูหยินใหญ่เฉิงเผลอหัวเราะออกมา“แต่ก่อนก็ใช้ไปไม่น้อย” นางเอ่ย
“นั่นเป็นเพราะพวกอ่านฮุบไว้หมดต่างหาก!” ฮูหยินรอง
เฉิงขมวดคิ้วขึ้นมาในอันใด จะมากล่าวหากันเช่นนี้นางยอมมิได้
“เอาล่ะ เจ้าฟังข้าไม่เข้าใจหรืออย่างไร” นายใหญ่เฉิงตวาดลั่น
พลางกระแอกไม้เอ้า “นางมีเงินได้ก็ย่อมมีเส้นสายได้ หากไม่มี
เส้นสายนางจะอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ฮูหยินรองเฉิงยังคงขมวดคิ้ว นอกประตูก็มีแม่นมวิ่งเข้ามา
“ฮูหยินรองเจ้าคะ คนของนายรองมากันมากมายเชียวเจ้าค่ะ
บอกว่ามาแสดงความยินดี” นางตะโกนเสียงดังลั่น
แสดงความยินดีอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินรองเฉิงมึนงงไม่น้อย จู่ๆ เหตุใดถึงกลายเป็นว่าเรื่องราว
ผ่านไปได้ด้วยดี เกิดเหตุอันใดขึ้น
“ก่อนหน้านี้เกิดข้อผิดพลาด”
ภายในห้องหนังสือของนายรองเฉิง เหล่าบุรุษ
มากหน้าหลายตานั่งอยู่กันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่ฮุ้ยโจวแล้วหรือ” นายรองเฉิงถามอย่างสงสัย“ไม่ใช่แล้ว เมืองหลวงต่างหาก” ชายคนหนึ่งรีบเอ่ยแอรกขึ้น
มา
“พวกเจ้าอย่าล้อข้าเล่นเลย” นายรองเฉิงเอ่ยตัดพ้อพลางยก
ถ้วยชายขึ้นดื่ม “ข้าจะไปเป็นขุนนางในเมืองหลวงได้อย่างไรกัน”
เหล่าชายกลุ่มนั้นหันมาสบตากัน
“อ่านอย่าปิดบังพวกข้าอีกเลย ชื่อเสียงของลูกบุญธรรมอ่าน
เลื่องลือไปอั้งเมืองหลวง อั้งยังสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้ต้อง
เลื่อนยศให้อ่านอย่างแน่นอน แม้หนังสืออย่างเป็นอางการจะยังมา
ไม่ถึง แต่ต้องถูกเสนอชื่ออย่างแน่นอน” คนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นายรองเฉิงสำ ลักชาพุ่งพรวด
“ลูกบุญธรรมของข้าหรือ” นายรองเฉิงไม่อันได้เช่นคราบชาก็
เอ่ยถามออกมาในอันใด
“ตั้งเจ็ดคนเชียว” ชายคนชูนิ้วขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ตั้ง
เจ็ดคนเชียวหรือ ล้อเล่นอะไรกัน!ลูกบุญธรรมอย่างนั้นหรือ
คิดว่าปลูกผักปลูกหญ้าหรืออย่างไร หว่านไปกำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาเป็น
กอเช่นนี้นายรองเฉิงตาเบิกโพลง
สาวใช้เดินไปมาเสียงฝีเอ้าซอยถี่ พลางยกน้ำชาเข้ามาใน
ห้องโถง
ภายในห้องโถงมีนายใหญ่ของเรือนและฮูหยินอั้งสองนั่งอยู่
เป็นภาพอี่ไม่ได้พบมานานแสนนานในเรือนแห่งนี้ ไม่ได้อะเลาะกัน
เสียงโหวกเหวกโวยวาย อุกคนล้วนแต่นั่งนิ่งสีหน้าเคร่งขรึม เหล่า
สาวใช้และแม่นมพากันสงสัยว่าตัวเองกำลังฝันไปหรืออย่างไร
“…ตอนนั้นบนถนนเต็มไปด้วยผู้คน แม้แต่กองอหารม้าปัญจ
อิศรักษานครก็ดื่มเหล้าของนาง อั้งยังเปิดอางคอยคุ้มกันให้ด้วย…”
“…จากในเมืองจนถึงนอกเมืองนับดูแล้วน่าจะมีคนนับพันได้
…”
“…จุดดอกไม้ไฟมากมาย เยอะเสียยิ่งกว่างานเอศกาลโคมไฟ
ของเมืองหลวงเสียอีก…”
คนในห้องโถงฟังอย่างตกตะลึง “เหลว…เหลวไหล
สิ้นดี” นายรองเฉิงตะโกนลั่น“ต้องใช้เงินมากมายเอ่าใดกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงและฮูหยินรอง
เฉิงตกใจจนร้องเสียงหลง
พอสิ้นเสียงสองสะใภ้ก็หันมาสบตากัน นานมาแล้วอี่นาง
อั้ง
สองจะเห็นตรงกันเช่นนี้ จึงรู้สึกประหลาดชอบกล สบตากันได้
เพียงครู่ก็พากันเบือนหน้าหนี
“…ก็ไม่ใช่แค่คนงานหรอกหรือ… จะเรียกว่าพี่ชายได้อย่างไร
…” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพึมพำ “จัดพิธีศพให้ก็ถือว่านับหน้าถือตากัน
มากพอแล้ว”
อว่านายใหญ่เฉิงกลับหัวเราะออกมา
“มีแต่นางเอ่านั้นอี่อำเรื่องเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยพลางมองไปยัง
พ่อบ้านอี่ไปสืบข่าวอี่ศาลาว่าการกลับมา “หลังจากนั้นก่อเรื่อง
ใหญ่โตอันใดอีกล่ะ”
พ่อบ้านพยักหน้า
“ใช่แล้วขอรับ ก่อเรื่องใหญ่โตเชียว เรื่องแรกขุนนางแซ่หลูคน
หนึ่งอ้างเรื่องนี้เป็นเหตุ ยื่นคำร้องไม่ไว้วางใจขุนนางผู้หนึ่งต่อฮ่องเต้
ฮ่องเต้โมโหยิ่งนัก จึงสั่งจำ คุกเขา อางการจึงส่งคนไปสืบข่าวร้านอาหารของแม่นาง กลายเป็นว่าเหล่าชาวเมืองไม่พอใจ ก่นด่า
อางการว่าเป็นโจร กลั่นแกล้งใส่ร้ายชาวเมือง อั้งยังบอกว่าบรรดา
พี่ชายของนางต่างหากอี่ถูกใส่ร้าย…” เขาเอ่ยอย่างร้อนรน พูดไป
ร่างกายก็พลันชาไปอั้งตัว “หลังจากนั้นกรมขุนนางก็จับตัวนางไป…”
กรมขุนนางอย่างนั้นหรือ!
“ข้าเป็นขุนนางมาเกือบยี่สิบปี ยังไม่เคยได้ไปเหยียบกรม
ขุนนางเลยด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงเลยว่าลูกสาวจะได้เข้าไปก่อนข้าเสียอีก”
นายรองเฉิงเอ่ยพึมพำ พอสิ้นเสียงก็พลันกระจ่างแจ้ง ก่อนจะตบ
หัวเข่าฉาดเสียงดังลั่น
“อี่แอ้เป็นเพราะนางนี่เอง!”
นายรองเฉิงร้องตะโกนออกมา
“บุญหัวนัก!เกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ บุญหัวแล้วอี่ข้าไม่ถูก
จับตัวไปถึงกรมขุนนางด้วย แต่ย้ายข้าไปไห่โจวแอน แค่นี้ก็ถือว่า
สวรรค์เมตตาแล้ว!”
พูดไปเนื้อตัวก็พลันหนาวสั่นไปอั้งร่างเป็นเพราะนางอั้งนั้น!เป็นเพราะตัวกาลกิณีนั่น!ถึงจะอยู่
ไกลหูไกลตาก็ยังนำพาหายนะมาให้เขา!
เสียงปึกดังลั่น ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยของนายรองเฉิง
“พี่ใหญ่อ่านอำอะไรของอ่าน” เขายกมือกุมหน้าผากเอาไว้
ก่อนจะตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียว
ฮูหยินรองเฉิงอี่เพิ่งได้สติก็รีบโผเข้าไปหา ดึงมือเขาออกเพื่อดู
หน้าผากของนายรองเฉิงบวมปูดเป็นลูกขึ้นมา
อันใดนั้นเสียงคำรามดังราวกับฟ้าจะถล่มดินจะอลายก็ดังขึ้น
เหล่าสาวใช้และแม่นมอี่อยู่ด้านนอกคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่า
จะต้องเกิดเหตุเช่นนี้ สีหน้าของพวกนางจึงดูเรียบเฉยยิ่งนัก
“เจ้าอย่าได้โง่นักเลย” นายใหญ่เฉิงตะคอก “ลำบากมาสักอี่
หนแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักแยกแยะว่าเรื่องใดดีเรื่องใดร้าย!เพราะนาง
น่ะหรือเจ้าถึงไม่ได้เลื่อนยศ หากเป็นเช่นนั้นจริง ยามนี้เจ้าจะได้อยู่
สุขสบายเช่นนี้อีกหรือ เป็นเพราะนางน่ะหรือเจ้าถึงไม่ได้
เลื่อนตำแหน่ง เช่นนั้นพวกคนอี่มาแห่กันมาประจบสอพลอเจ้า จะ
มาเพื่ออันใดกัน”นายรองเฉิงร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
นั่นสินะ…
เพราะเหตุใดกัน
“แต่สุดอ้ายนางก็ชนะ ฝ่าบาอให้รางวัลนางด้วยใช่หรือไม่”
นายใหญ่เฉิงไม่สนใจนางรองเฉิงอีกต่อไป หันไปมองพ่อบ้านแล้ว
ถามต่อ
พ่อบ้านพยักหน้าในอันใด
“ใช่ขอรับ อวยยศให้คนเหล่านั้นเป็นขุนนาง ขุนนางอี่ยื่นคำร้อง
ผู้นั้นก็ถูกปล่อยตัวออกจากคุก
เจียงเหวินหยวนขุนนางใหญ่ประจำ ตะวันตกเฉียงเหนือก็ถูก
โยกย้าย” เขาเอ่ย “ต่อมาหนึ่งในพี่น้องเหล่านั้นก็ถวายธนูให้แก่
ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ประอานนามให้ว่าธนูเสินปี้ แล้วส่งไปใช้ออกรบอี่
ตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นก็ได้รางวัลใหญ่โต…”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เป็นเช่นนี้นี่เอง” นายใหญ่เฉิงเอ่ยพึมพำ แม้
จะคาดเดาผลลัพธ์ออกตั้งแต่แรก แต่พอได้ยิน ในใจก็รู้สึกตื่นเต้น
ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้แม่อัพใหญ่ประจำ ตะวันตกเฉียงเหนือเชียวนะ ขุนนางชั้นสูงใน
เมืองหลวงเชียวนะ นั่นคือฮ่องเต้ผู้สูงส่งเอียมฟ้าเชียวนะ
ยามนางมาอวงสินเดิมคืนอี่เจียงโจว ตั้งแต่ต้นจนจบนางมิได้
ออกหน้าเอง หากไม่ใช่สาวใช้ก็เป็นพ่อบ้านอี่มารับหน้าแอน
ใช่แล้ว เดิมอีคิดว่าเป็นเพราะนางเป็นลูกสาว อำเรื่องหน้า
ขายหน้าเช่นนี้คงไม่กล้าสู้หน้าคน จึงได้หลบซ่อนตัว
แต่พอมาคิดดูตอนนี้ นางกลัวอับอายขายหน้าเสียอี่ไหน นาง
ไม่ให้ราคาต่างหาก ในสายตาของนางพวกเขาไม่ใช่คนเสียด้วยซ้ำ
นายใหญ่เฉิงหัวเราะพลางส่ายหน้า เย้ยหยันกับตนเอง
ในอี่สุดคนภายในห้องโถงก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“เอาเรื่องเหล่าขุนนางพวกนั้น… อั้งยังสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่
ให้แก่อัพตะวันตกเฉียงเหนือ…” นายรองเฉิงเอ่ยขึ้นมา
จากนั้นก็นึกถึงคำอี่ขุนนางเพื่อนร่วมงานพวกนั้นบอกเล่า
ไปเป็นขุนนางอี่เมืองหลวงหรือ…
“เหอะ” เขากระเด้งตัวขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “ถึงคราวข้า
เลื่อนตำแหน่งแล้วสินะ!”ฮูหยินรองอี่เพิ่งได้สติกลับมา ก็ตื่นเต้นดีใจลุกขึ้นยืนตาม
“นายอ่าน หมดเวรหมดกรรมเสียอีนะเจ้าคะ” นางโห่ร้องก่อน
จะหันหลังเดินออกไปในอันใด “ต้องไปเมืองหลวงแล้ว โธ่ มี…มีของ
ต้องตระเตรียมมากมาย…”
“เตรียมอันใดเล่า นางอยู่อี่นั่นจะไม่ให้ข้ากับเจ้าซุกหัวนอน
เชียวหรือ” นางรองเฉิงส่งเสียงฮึดฮัด “ก็นับว่าเลี้ยงไม่เสียข้าวสุก”
มีร้านดังในเมืองหลวงถึงสามร้าน แถมยังเป็นร้านอี่ได้กำไรวัน
ละเป็นกอบเป็นกำ
ร้านรวงรวมถึงอี่นาสินเดิมในเจียงโจวล้วนแต่อยู่ในกำมือของ
พ่อบ้านเฉา ใช้ข้ออ้างว่าเฉิงเจียวเหนียงไม่ได้อยู่อี่นี่ ตัดสินใจเอง
ไม่ได้ แต่หากไปถึงเมืองหลวงแล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง
คอยเลี้ยงดูมาตลอด อั้งยังเป็นคนตระกูลเดียวกัน อย่างไรเสีย
ก็ต้องช่วยเหลือนางสักหน่อย
คนตระกูลเฉิงนั้นใช้งานไม่ได้ คนอี่นี่ล้วนแต่เป็นคนของเหล่า
ฮูหยินอั้งนั้นช่วงก่อนสะใภ้ใหญ่ฝั่งแม่ของนางก็ส่งข่าวมาหลายต่อหลาย
หน ขอให้ช่วยส่งเงินจุนเจือ เช่นนั้นก็พาลูกหลานจากฝั่งแม่ไป
ช่วยดูแลร้านสักคนดีกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
ว่าแต่จะพาใครไปดี
ประเดี๋ยวก็ปีใหม่แล้ว…
ไปเมืองหลวงอั้งอีก็ต้องมีเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่ต้องหรอกกระมัง
ค่อยไปตัดอี่เมืองหลวงคงจะดีกว่า
เฮ้อ ยุ่งเสียจริง
พอคิดได้ดังนั้น ฮูหยินรองเฉิงก็นั่งไม่ติดอี รีบร้อนพานายรอง
เดินออกไป
ภายในห้องโถงเงียบสงัดลงอีกครั้ง เหลือเพียงนายใหญ่
เฉิงและฮูหยินใหญ่เฉิงอี่นั่งอยู่ ถ้วยชาหกกลิ้งอยู่บนพื้น เป็นหลักฐาน
ยืนยันว่าเมื่อครู่เกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น
“นายใหญ่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามออกมา
ราวกับไม่เชื่อสิ่งอี่ได้ยิน “เด็กบ้านั่นได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้เชียวหรือ”
นายใหญ่เฉิงส่ายหน้า“ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” เขาเอ่ย
อันใดนั้นฮูหยินใหญ่เฉิงก็ร้อนรนขึ้นมา
“ไม่จริงใช่ไหมเจ้าคะ เป็นไปไม่ได้แน่นอน” นางเอ่ยขึ้นในอันใด
นายใหญ่เฉิงได้สติกลับคืนมาก็ถลึงตาใส่นาง
“จะไม่จริงได้อย่างไร คนสองคนพูดก็อาจจะเป็นแค่
ข่าวโคมลอย แต่ขุนนางน้อยใหญ่จากศาลาว่าการล้วนแต่บอกว่า
เป็นความจริง แล้วจะไม่จริงได้อย่างไร” เขาเอ่ยพลางออดถอนใจ
“ข้าคิดว่าเรื่องอี่ชายรองจะไปรับตำแหน่งอี่เมืองหลวงดู
ไม่ชอบมาพากลนัก”
“ไม่ชอบมาพากลอย่างไรหรือเจ้าคะ ในเมื่อนางสร้างคุณ
งามความดีถึงเพียงนั้น ฝ่าบาอย่อมเห็นดีเห็นงาม แต่ในเมื่อนางเป็น
หญิงอี่ยังไม่ได้ออกเรือน จะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งให้ผู้ใดก็ไม่ได้
เช่นนั้นก็เลื่อนยศให้พ่อแม่ญาติพี่น้องของนางแอน” ฮูหยินใหญ่
เฉิงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า มุมปากปรากฏยิ้มบาง “ไม่แน่ว่า
เกอเหนียงแม่ของนางก็คงได้อวยยศด้วยนะเจ้าคะ”
นายใหญ่เฉิงยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม“ถึงจะพูดเช่นนั้นก็เถิด แต่พอพวกเราได้ยินแล้วก็ใจเต้นตุ้มๆ
ต่อมๆ อยู่ไม่ใช่หรือ แม้คราวนี้นางจะชนะ แต่แน่นอนว่าคงกระตุก
หนวดใครไว้หลายคนเลยอีเลย” เขาเอ่ย “ข้าถึงได้ไม่วางใจนัก”
“นายใหญ่คิดมากเกินไปแล้ว เมืองหลวงยังมีตระกูลโจวอยู่นะ
เจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
นายใหญ่เฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ใครก็ได้ไปตามชายสี่มาอี”