พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 462-2 จะทำเช่นไร (2)
พอรู้ข่าว นายใหญ่เฉินก็วางถ้วยชาในมือลงทันที
“เรื่องนี้ก็คงช่วยไม่ได้จริงๆ หลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็
ต้องเกิดขึ้น” เขาเอ่ย
พ่อเป็นร่มเงาของลูก ลูกก็เป็นความภาคภูมิใจของพ่อ
สายสัมพันธ์พ่อลูกตัดอย่างไรก็ไม่ขาด
แต่ก่อนแม่นางเฉิงไม่ได้เป็นที่รู้จักจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
แต่ยามนี้นางมีชื่อเสียง คนทั้งแผ่นดินไม่ได้มองแค่เฉิงเจียวเหนียง
เพียงคนเดียว แต่ยังมองไปถึงคนแซ่เฉิง คนทั้งตระกูล เรื่องราวที่
เกิดขึ้นในตระกูลของนาง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คนเราก็มักจะ
เล่าลือกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
นี่คงเป็นราคาที่ต้องแลกกับชื่อเสียงกระมัง
ลูกหลานสร้างคุณงามความดี ย่อมเป็นผลมาจากพ่อแม่ที่อบ
รบสั่งสอน การอวยยศให้แก่พ่อแม่จึงเป็นเรื่องที่สมควรเพียงแต่เรื่องนี้แม่นางเฉิงคงตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว
ความสัมพันธ์ของแม่นางเฉิงกับพ่อและญาติผู้ใหญ่คนอื่นนั้น
ผู้อื่นคงไม่รู้ แต่ตระกูลเฉินของพวกเขานั้นรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด ตอนที่ไป
ขอให้นางรักษา แม่นางเฉิงก็ใช้พวกเขาเป็นข้ออ้างเพื่อหลีกหนีจาก
เหล่าญาติพี่น้องพอมาอยู่เมืองหลวงก็ทะเลาะกับตระกูลโจวจน
บ้านแตก หลังจากนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางฟ้องตระกูลเฉิงจนต้อง
ขึ้นโรงขึ้นศาล เกือบจะบีบตระกูลเฉิงทั้งตระกูลให้แหลกคามือของ
ตนไปแล้ว
ยามนี้ชีวิตของคนตระกูลเฉิงเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต้อง
ขอความเมตตากรุณาจากนาง
คนเช่นนี้น่ะหรือจะอยากให้พ่อของตนได้เลื่อนยศ
เลื่อนตำแหน่ง ยิ่งมาอยู่เมืองหลวงด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงด้วยซ้ำ
คราวนี้จะเกิดเรื่องอันใดอีกก็ไม่รู้เช่นกัน
“เจ้าเกาหลิงปอนั่นก็…เสียจริง” นายท่านเฉินส่ายหน้า
ถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็จ้องมองไปที่เฉินเซ่าครั้ง “หาก
เกาหลิงปอรู้แล้ว พวกเราก็รู้แล้ว นางย่อมดีอยู่กว่าใครแน่นอน”“เพียงแต่แม่นางเฉิงนั้นหัวรั้นนั้น ข้าเกรงว่านางจะไม่ทัน
เล่ห์เหลี่ยม” เฉินเซ่าขมวดคิ้วเอ่ย “ที่นี่ไม่ใช่เจียงโจว หากก่อเรื่อง
ฟ้องร้องพ่อแม่ของตนต่อทางการเช่นนี้ หากฮ่องเต้เมตตาไม่
สั่งประหาร แต่ขี้ปากชาวเมืองที่พ่นออกมาก็อาจจะทำให้นางเจ็บ
เจียนตายได้”
ศิษย์ของเทพเซียนย่อมไม่ประพฤติตนเยี่ยงเดรัจฉาน
“มีคราวใดบ้างที่นางไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม” นายท่านเฉินเอ่ยด้วย
รอมยิ้ม “นางมั่นใจ”
เฉินเซ่าพยักหน้า
“หากการทำอะไรตามอำเภอใจนั้นเรียกว่ามั่นใจ ข้าคิดว่า
คราวนี้นางไม่มั่นใจนัก” เขาเอ่ยพลางวางมือลงบนโต๊ะก่อนจะเคาะ
เบาๆ ถ้วยชาเบื้องหน้าก็คว่ำลง
“ผู้ใดขวางคงต้องตาย”
นายท่านเฉินนิ่งไป สายตามองไปยังฉากกั้นลม
“บนโลกมนุษย์นี้ จะสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่องได้อย่างไร”
เฉินเซ่าเอ่ย “ข้ากลัวว่านางจะบู่มบ่าม ไม่นานจะเข้าตาจนเสียเอง”เป็นอย่างที่คาดไว้ ฮ่องเต้เห็นชอบอวยยศให้แก่พ่อของเฉิง
เจียวเหนียงที่เกาหลิงปอเป็นคนกราบทูล
สิบวันหลังจากนั้นราชโองการแต่งตั้งถูกส่งไปยังเจียงโจวผ่าน
ศาลาว่าการ และราชโองการอีกฉบับหนึ่งก็ถูกส่งไปที่เรือนสะพานอวี้
ไต้เช่นกัน
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นยิ่งนัก”
เฉิงเจียวเหนียงค้อมตัวคำนับ ยื่นมือออกไปรับราชโองการ
สาวใช้ลุกยืนขึ้นแล้วมอบซองแดงใหญ่ให้แก่ขันทีที่มาประกาศ
ราชโองการ
เหล่าขันทีหน้าชื่นตาบาน ไม่ใช่ว่าพวกเขายากจนเสียจนไม่เคย
เห็นเงิน แต่เงินนี้ไม่เหมือนเงินอื่น นี่เป็นเงินที่ศิษย์ของนักพรตหลี่
เป็นคนมอบให้ หากพกติดตัวต้องปัดเป่าคุ้มภัยแก่ตนได้เป็นแน่
หลังจากส่งเหล่าขันทีกลับ เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทว่า
บรรยากาศในเรือนนั้นกลับไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนแต่
มองเฉิงเจียวเหนียงด้วยความร้อนใจ
เฉิงเจียวเหนียงกวาดตาอ่านราชโองการแล้วยื่นให้ปั้นฉิน“นายหญิง จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ” ปั้นฉินถามเสียงสั่น
“ทำเช่นไรเรื่องใด” เฉิงเจียวเหนียงถาม
สาวใช้ผลักปั้นฉินไปอีกทางแล้วรุดหน้าเข้ามา
“นายหญิง นายรองเฉิงกับฮูหยินรองจะมาเมืองหลวงแล้ว
พวกเขาต้องอาละวาดจนเราอยู่ไม่สุขเป็นแน่” นางเอ่ยน้ำเสียงจริง
จัง “นายหญิงจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
แม่นางหวงไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเฉิงเจียว
เหนียง ฟ่านเจียงหลินก็ไม่เคยเล่าให้นางฟัง ส่วนฟ่านเจียงหลินเองก็
ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน แต่ดูจากสีหน้าของสองสาวใช้ที่ไม่ดีใจเลย
แม้แต่น้อยนั้น พวกเขาเองก็ร้อนใจตามไปด้วย
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางหมายความว่าพวกเขาคงไม่อาละวาดจนนางอยู่ไม่เป็นสุข
หรือหมายความว่านางไม่มีทางอยู่ไม่เป็นสุขเพียงเพราะพวกเขา
อาละวาด หรือหมายถึงทั้งสองอย่าง
“จะปล่อยให้พวกเขามาหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถามออกไปอย่า
งอดไม่ได้“แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า นั่นคำสั่งของฮ่องเต้นะ” สาวใช้เอ่ย
ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งว่าจะทำเช่นไรดี
“ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองไป
รอบทิศ
“พวกข้าย้ายออกไปก็ได้ เรือนมีตั้งเยอะแยะมากมาย ใกล้กอง
ธนูก็สะดวกดี” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ปั้นฉิน” นางเอ่ยเรียก
ทั้ง
สองปั้นฉินขานรับในทันใด
“เจ้าไปซื้อเรือนมาสักหลัง พอพวกเขามาก็ให้อยู่ที่นั่น” เฉิง
เจียวเหนียงเอ่ย
ทว่าคราวนี้ปั้นฉินกลับไม่ขานรับ ส่วนสาวใช้นั้นคำนับตอบรับ
ในทันใด
สาวใช้ออกไปได้ไม่นาน ประตูเรือนก็ถูกเคาะรัว นายใหญ่โจว
เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“เจียวเจียวร์ เจ้าว่ามาเลย จะทำเช่นไร” เขาเอ่ยเข้าประเด็น“ทำเช่นไรอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
นายใหญ่โจวนั่งลง ก่อนจะโบกมือไล่ปั้นฉินที่ยกน้ำชาเข้ามา
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีเวลามาดื่มชาแล้ว” เขาเอ่ยเสียง
ร้อนรน “สองผัวเมียจอมอำมหิตนั่นจะมาเมืองหลวงแล้ว”
ข่าวในเมืองหลวงก็แพร่กระจายรวดเร็วเช่นนี้แหละหนา เฉิง
เจียวเหนียงพยักหน้า
“ให้ไปที่ศาลสูงสุดต้าหลี่ซื่อเชียวนะ” นางเอ่ย
“เจียวเจียวร์ เรื่องนี้ได้ยินมาว่าขุนนางราชสำ นักใต้เท้าเกาเป็น
คนเสนอขึ้นมาเอง” นายใหญ่โจวเอ่ยเสียงแผ่ว
เฉิงเจียวมองหน้าเขาอย่างสงสัย
“เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย เรื่องที่ขึ้นเมื่อคราวก่อน พวกเขาต้องให้
คนไปสืบเรื่องของเจ้าแล้วเป็นแน่” นายใหญ่โจวเอ่ย “รู้อยู่แก่ใจว่า
สองผัวเมียใจดำนั้นปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร ทำเช่นนี้จงใจทรมานเจ้าชัด
ๆ”
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะพลางส่ายหน้า
“ไม่หรอก” เฉิวเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าไม่ทรมาน”นายใหญ่โจวใจเต้นระส่ำ
“ทรมานเจ้าก็อีกเรื่องหนึ่ง” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วทอดถอนใจ
“นายรองเฉิงผู้นั้นข้ารู้จักเขาดี”
เขาไม่เรียกว่าสองผัวเมียใจดำอีกต่อไป เปลี่ยนมาเรียกว่านาย
รองเฉิงตามตรง
ทว่าเฉิงเจียวเหนียงมิได้คิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดของเขา
“…แม้เขาจะโอ้อวดว่าตนเองเก่งกาจเพียงใด แม้จะการเรียน
จะพอไหว แต่เป็นขุนนางที่ไม่ได้เรื่อง ไม่อย่างนั้นคงได้เลื่อนยศ
ตั้ง
แต่สี่ปีที่แล้วกระมัง เหตุใดถึงต้องรอมาจนถึงป่านนี้” นายใหญ่
โจวเอ่ย
เขาพูดถึงเพียงเท่านั้นก็เห็นหญิงสาวตรงหน้าเผยยิ้มบาง
ออกมาจึงตกใจในทันใด
ยิ้มอะไรกัน
หรือว่ายามนี้ความขุ่นเคืองระหว่างสองพ่อลูกได้จางหายไป
แล้ว คิดจะกลับมาญาติดีกันแล้วอย่างนั้นหรือ“…เป็นขุนนางในเมืองหลวงนั้นยากลำบากนัก โดยเฉพาะ
ศาลสูงสุดต้าหลี่ซื่อ ข้ากลัวว่าเขาจะทำได้ไม่ดีแล้วจะเดือดร้อนมา
ถึงเจ้า” นายใหญ่โจวพูดต่อ
“แต่นั่นเป็นราชโองการจากราชสำ นัก เขาจะไม่มาได้อย่างไร”
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ดวงตาของนายใหญ่โจวลุกวาวขึ้นมา
ดูท่าทางแล้วคงไม่อยากให้พวกเขามาเหมือนกันสินะ
“แม้จะเป็นราชโองการจากราชสำ นัก แต่เขาก็ปฏิเสธได้” เขา
เอ่ย
พอพูดจบก็ส่ายหน้า
“แต่หากเขากล้าปฏิเสธก็คงแปลกอยู่เหมือนกัน”
พูดถึงเพียงเท่านั้นใบหน้าก็หม่นหมองลง
“ขอบคุณท่านลุงที่เป็นห่วง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางคำนับ
“อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดเถิด”
“ถ้าอย่างนั้นเช่นนี้ดีหรือไม่” นายใหญ่โจวเอ่ย “เจ้าย้ายเข้ามา
อยู่ที่เรือน เช่นนี้แล้วเขาก็คงไม่กล้ามาหาเรื่องเจ้า ข้าจะจัดการเขาเอง ข้าไม่กลัวว่าใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไร หากเป็นตระกูลฝั่งแม่
เจ้าแล้ว ข้าที่เป็นลุงย่อมใหญ่ที่สุด หรือจะมีผู้ใดคัดค้านว่าไม่ใช่”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มพลางคำนับให้
“ขอบใจท่านลุงนัก” นางเอ่ยก่อนจะนั่งหลังเหยียดตรง “แต่จะ
ไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอย่างแน่นอน”
นายใหญ่โจวกำลังจะพูดต่อ ขณะนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น