พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 463 ขอคําปรึกษา
บ้าไปแล้ว นี่มันจงใจทำร้ายพวกเขาชัดๆ !
ฮูหยินรองเฉิงโกรธจนตาลุกเป็นไฟ นางไม่ทันได้เก็บกระเป๋าใบ
น้อยใหญ่ในห้อง เมื่อได้ยินสิ่งที่นายรองเฉิงเอ่ยก็รีบตรงดิ่งมาร้องไห้
ต่อหน้าเหล่าฮูหยินเฉิง
“…ว่ากันว่าพี่น้องต้องช่วยเหลือสนับสนุนกัน พวกข้าเองก็
ทราบดีว่าบัดนี้ท่านแม่สุขภาพไม่ดีนัก ท่านพี่ใหญ่เองก็ป่วยหนัก
ชายรองครั้งนี้ต้องเดินทางไกล หากมีเรื่องอะไรก็คงไม่สามารถช่วย
ได้…”
ฮูหยินรองเฉิงยังไม่ทันพูดจบ เหล่าฮูหยินเฉิงก็ขว้างแก้วตก
แตก
“พูดอะไรไร้สาระ!ข้าแข็งแรงดี และยังรอให้ลูกชายเอา
ตำแหน่งคุณหญิงมาให้อยู่เลย!” นางตะโกนขึ้น “ชายใหญ่สุขภาพ
ไม่ดีงั้นหรือ แล้วที่บ้านนี้ไม่มีคนอื่นแล้วหรือไง หลานชายเองก็ว่างจะแย่ มีเหลนมาให้อุ้มได้แล้ว แค่ดูแลครอบครัวจะทำไม่ได้จริงหรือ
อีกอย่าง ชายรองไปเมืองหลวงก็เพื่อเป็นขุนนาง คิดว่าทำไปเพื่อ
ตัวเองหรืออย่างไร ก็ต้องทำเพื่อตระกูลเฉิงของเราอยู่แล้ว!”
“ป่วยหนักจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ !เรียกเขามาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
ฮูหยินรองเฉิงมองดูแม่นมวิ่งออกไปทำตามคำสั่งด้วยหน้าตา
ตื่นตระหนก พลางก้มหน้าปาดน้ำตา มุมปากเผยรอยยิ้มพึงพอใจ
เสียงก่นด่าภายในห้องเหล่าฮูหยินเฉิงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า
ครึ่งวัน
ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งคุกเข่าร้องไห้หน้าประตู ต้องการจะขอ
รับโทษแทน นางขอให้เหล่าฮูหยินเห็นแก่อาการป่วยของนายใหญ่
เฉิงที่ยังไม่หายดี อย่าให้เขาต้องคุกเขารับโทษเลย
“ใครกล้าทำลายอนาคตของชายรอง ก็เท่ากับทำลายอนาคต
ของตระกูลเฉิง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็ไม่ยอมหรอก!” เหล่า
ฮูหยินเฉิงตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “เขาเป็นน้องชายเจ้า ทำไมเจ้า
ถึงไม่อยากเห็นเขาได้ดี”“ท่านแม่ ข้าทำไปก็เพื่อเขา…” นายใหญ่เฉิงเงยหน้าขึ้นกล่าว
อย่างจนปัญญา แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูก
ฮูหยินใหญ่เฉิงดึงตัวไว้
“นายใหญ่ ข้าขอร้อง อย่าพูดอีกเลย” นางโค้งตัวร้องขอ
นายใหญ่ตระกูลเฉิงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ หันไปโค้งคำนับ
กลับ
“ข้ามิได้ไตร่ตรองให้ดีเอง ท่านแม่โปรดให้อภัย” เขาเอ่ย
“เอาเงินให้ชายรองติดตัวไปให้เพียงพอ จะเป็นใหญ่ใน
เมืองหลวงนั้นไม่ง่าย ต้องเข้าร่วมงานสังคม อย่าให้ขายหน้าตระกูล
เฉิง” เหล่าฮูหยินเฉิงเอ่ยขึ้น
ฮูหยินใหญ่เฉิงทนต่อไปไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้น
“ท่านแม่ บ้านเราไม่มีเงิน ชายรองไปเมืองหลวงไม่ขาดเงิน
หรอก แม่นางเจียว…” นางเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดจบกลับถูก
นายใหญ่ใช้ศอกกระทุ้งขัดขึ้น
“ขอรับท่านแม่” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าว “อยู่บ้านให้
ประหยัด ไปข้างนอกต้องเผื่อแผ่ ต่อให้ยากเย็นแค่ไหนก็จะไม่ให้ชายรองต้องลำบาก”
เหล่าฮูหยินเฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ไปได้แล้ว” นางเอ่ยแล้วจึงเอ่ยปลอบอย่างจริงใจว่า “น้องชาย
เจ้าเดินทางไกลไปเป็นขุนนางเพื่ออะไร ก็เพื่อตระกูลเฉิง เพื่อ
ช่วยเหลือสนับสนุนเจ้ามิใช่หรือ เจ้าจะไม่พอใจได้อย่างไร”
กลัวเสียแต่ว่าการไปรอบนี้นอกจากจะทำลายอนาคตตัวเขา
เองแล้ว ยังทำลายตระกูลเฉิงอีกต่างหาก
นายใหญ่ตระกูลเฉิงฝืนยิ้ม เขารู้ว่าคงไม่สามารถพูดให้ท่าน
แม่เข้าใจได้ จึงขานรับด้วยความเคารพ แล้วเดินจากมาพร้อมฮูหยิน
ใหญ่
“น้องสะใภ้ มีเรื่องอะไรก็มาพูดกับข้าโดยตรง บางเรื่องท่าน
แม่ก็ไม่เข้าใจ อย่าใช้ท่านเป็นอาวุธเลย ท่านอายุมาก แค่นี้ก็ลำบาก
พอแล้ว เหตุใดจึงต้องให้ท่านมาไม่สบายใจเรื่องคนรุ่นหลังอย่างเรา
อีก” นายใหญ่เฉิงเอ่ยขณะมองฮูหยินรองเฉิง
“เจ้าค่ะ” ฮูหยินรองเฉิงโค้งคำนับ ใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านพี่ใหญ่
รอบคอบเสียจริง”นายใหญ่เฉิงมิได้สนใจนาง หันไปมองนายรองเฉิง
“ต่อให้ข้าพูดแล้วเจ้าจะไม่คิดทำตาม แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้รอ
อีกสักหน่อยจะดีที่สุด” เขาเอ่ย “รอหลังปีใหม่แล้วค่อยไป…”
นายรองเฉิงผู้ซึ่งเดิมทีเตรียมตัวจะหันมาทำความเคารพท่านพี่
และเตรียมเอ่ยว่าเขารู้สึกผิดที่ต้องปล่อยให้ท่านพี่ต้องเหนื่อยดูแล
ท่านแม่ เขาเป็นลูกอกตัญญูเอง แต่ตอนนี้เขากลับร้อนใจขึ้น
มาทันใด
“ท่านพี่หมายความว่าอย่างไร รอหลังปีใหม่ค่อยไป ต้าหลี่ซื่อ
ไม่มีข้าแล้วจะไม่มีคนอื่นงั้นหรือ หากข้าไม่ไป ก็มีคนอีกมากมายรอ
จะมาแทรก!” เขาเอ่ย
“แปลว่าต้าหลี่ซื่อไม่มีเจ้าก็ยังดำเนินกิจได้ แบบนี้เจ้าไปที่อื่น
เสียดีกว่า เมืองหลวงมันไม่ดีจริงๆ ” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ย
“ท่านพี่!” นายรองเฉิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “หมายความว่า
อย่างไรกันแน่ ข้าไปเมืองหลวงเพื่อเป็นขุนนาง ไม่ได้ไป
เสี่ยงอันตรายที่ไหน และไม่ได้ไปทำลายตระกูลเฉิงด้วย เหตุใด
จึงต้องขวางข้า”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงคำพูดของภรรยา
คำพูดแบบนั้นมีแต่พวกผู้หญิงเท่านั้นที่พูดกัน เขาไม่ได้คิดจริง
จังอะไร
แต่ตอนนี้เมื่อเห็นนายใหญ่เฉิงทำตัวแปลกประหลาดเช่นนี้ เขา
ก็อดคิดพิเรนทร์ไม่ได้
“หรือท่านพี่ไม่อยากให้ข้าได้ดีกว่าท่านพี่”
“ถุย” นายใหญ่เฉิงถุยออกมา “เจ้าแย่กว่าข้าแล้วมันน่าดีใจ
ตรงไหน”
“แล้วเหตุใดจริงไม่อยากให้ข้าไปเมืองหลวง” นายรองเฉิงเอ่ย
“ข้าเพียงกลัวว่าเมืองหลวงจะอันตราย และเจ้าจะไปเป็นเหยื่อ
ให้คนอื่น!” นายใหญ่เฉิงกระซิบตอบ ใบหน้าเคร่งขรึม
นายรองเฉิงมองเขา สีหน้าตกตะลึง
“ท่านพี่ ถ้าแบบนั้นผู้คนทั่วหล้าคงจะพากันไปเป็นเหยื่อที่นั่น”
เขาเอ่ยพลันหลุดหัวเราะออกมา
นายใหญ่เฉิงมิได้หัวเราะ แต่กลับพยักหน้า“เป็นเช่นนั้นจริง คนเราไปเป็นขุนนางก็เพื่อเสาะหา
ผลประโยชน์ มองจากอีกมุมหนึ่งก็เหมือนการไปเป็นเหยื่อ
เสี่ยงอันตราย” เขาพึมพำ
ท่าทางท่านพี่จะป่วยหนัก สมองจึงคิดพิเรนท์เช่นนี้
นายรองเฉิงสีหน้าผ่อนคลายลง เขามองไปทางนายใหญ่
เฉิงด้วยโดยไร้ความโกรธเคืองและร้อนรน แต่กลับดูมีเมตตา
“ท่านพี่รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าเป็นขุนนางมาสิบกว่าปีแล้ว
จะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรหรือ” เขาเอ่ย
“เจ้าเป็นขุนนางมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มัน
แปลกประหลาดจริงหรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถาม
“ไม่รู้สึก!” นายรองเฉิงตอบอย่างฉุนเฉียวแกมรำคาญ
“เจ้าไม่คิดหรือ ว่าเจียวเหนียงเกลียดชังพวกเราถึงเพียงนี้ นาง
จะยอมให้เจ้าเข้าเมืองหลวงได้อย่างไร” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ยถาม
“นางไม่มีทางไปขอปูนบำเหน็จเจ้าเป็นแน่ ต่อให้ฝ่าบาทต้องการ
นางก็ต้องหาทางขัดขวางให้ถูกยกเลิกเป็นแน่”
นายรองเฉิงเดือดดาลขึ้นมาในทันใด“นางกล้าหรือ!” เขาคำราม “คนไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีคุณธรรม และ
อกตัญญูเช่นนี้ ฟ้าดินไม่มีที่ให้อยู่หรอก!”
“ยังไม่ต้องพูดเรื่องฟ้าดินมีหรือไม่มีที่ให้อยู่หรอก พูดเรื่องคน
ยอมรับหรือไม่ก่อนดีกว่า” นายใหญ่เฉิงรีบเอ่ยขึ้น “ความสามารถ
อย่างนาง ยังมีเรื่องไหนไม่กล้าพูดกับฝ่าบาทอีกหรือ แต่บัดนี้ฝ่าบาท
ยังคงปูนบำเหน็จให้เจ้า แปลว่าต้องมีคนพยายามฝืนให้ ต้องไม่เป็น
ไม่ตามที่นางต้องการแน่ และเมื่อไม่เป็นไปตามที่นางต้องการ ก็
เท่ากับสร้างความแค้นเคืองให้นาง เจ้าว่าเจ้าไปครั้งนี้ ไปเป็นอาวุธ
ให้คนอื่นหรือเปล่า”
นายรองเฉิงมองนายใหญ่เฉิงราวกับมองคนบ้า
“ท่านพี่ เรื่องคราวก่อน ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อฟัง แต่ท่านพี่ทำเกินไป
จริงๆ สินสอดทองหมั้นนั้นเดิมก็ควรเป็นของนาง แบบนี้ไม่เรียกว่าไม่
เชื่อฟังหรอก” เขาเอ่ย “หากนางจะไม่ยอมรับ ก็คงไม่ยอมรับท่านพี่
ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
เขาไม่รอให้นายใหญ่เฉิงพูดต่อ รีบยกขาขึ้นก้าว“ท่านพี่ พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทางแล้ว วันนี้ยังต้องเก็บข้าวของ
ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงฉลองที่บ้านหรอก ท่านพี่รักษาอาการป่วยให้ดี
ข้าจะไปนั่งคุยกับพวกคนของทางการ” เขาเอ่ย
นายใหญ่เฉิงอย่างจะพูดบางอย่าง แต่นายรองเฉิงได้เดิน
จากไปแล้ว
“เรื่องสินสอดทองหมั้นข้าทำเกินไปงั้นหรือ ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรือ
” เขาทั้งโกรธทั้งรู้สึกขำ “ใช่ ข้าทำเกินไป ไม่เกี่ยวกับเจ้า ถ้าอย่างนั้น
เจ้าจงจำ ไว้ให้ดี เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วอย่าทำอะไรล่วงเกินนาง มิ
เช่นนั้นคงไม่แปลกหากนางจะไม่เชื่อฟัง”
พูดถึงตรงนี้เขาก็นิ่งตะลึง
ไม่เชื่อฟัง…
“ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้หรือ” เขาพึมพำ สีหน้าครุ่นคิด
“อะไรหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบเอ่ยถาม
“บังคับ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยตอบอย่างช้าๆ
นายใหญ่ตเฉิงคิดอะไรบางอย่างออกจึงอยากจะพูดคุยกับนาย
รองเฉิงอีกครั้ง แต่ชายรองเฉิงดื่มจนเมาหนักกลับบ้านดึกดื่น เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ฝืนสังขารคลานขึ้นรถขณะยังสะลึมสะลืออยู่ ทั้งครอบครัว
รีบออกรถราวกับกำลังหลบหนี พวกเขาจึงออกมาส่งไม่ทัน
สามีภรรยาคู่นี้ทำตัวเยี่ยงนี้ ทำให้ฮูหยินใหญ่โกรธจน
ไม่ออกมาส่ง แต่นายใหญ่เฉิงไม่ยอมขายหน้า รีบพาลูกๆ ตามไปส่ง
ถึงนอกเมือง
“…โชคดีเสียจริง…”
“…อีกหน่อยพวกแม่นางเจ็ดก็จะได้คู่ครองดีๆ ที่เมืองหลวง…”
“…เห็นว่าแม่นางใหญ่รู้จักกับฮ่องเต้ด้วย ฮูหยินรองบอกว่า
ไม่แน่แม่นางเจ็ดอาจได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับคนในพระราชวงศ์
ด้วย…”
“โอ้โห แบบนี้บ้านพวกเราคงได้มีคนในเชื้อพระวงศ์สินะ…”
เหล่าแม่นมและสาวใช้พากันกระซิบกระซาบ หัวเราะ
สนุกสนานกันในบริเวณบ้าน
แม่นางเฉิงหกลุกขึ้นในทันใด พลันขว้างกระถางต้นไม้ข้าง
หน้าต่างออกไปอย่างแรง
“ไสหัวไป น่ารำคาญเสียจริง” นางตะโกนขึ้นเสียงกระถางแตกและเสียงตะโกนทำให้เหล่าสาวใช้ตกใจและ
วิ่งหนีแยกย้ายกันไป
แม่นางเฉิงหกยืนอยู่หน้าหน้าต่าง สายลมริมสระบัวพัดพากลิ่น
ดอกเบญจมาศลอยมากระทบหน้า บ่งบอกถึงฤดูใบไม้ผลิในเดือนสิบ
อันงดงาม อีกไม่กี่วันก็จะจัดงานชมดอกเบญจมาศประพันธ์บทกวีที่
บ้านได้แล้ว แต่ตอนนี้พวกนางจากไปหมดแล้ว ไปกันหมดเลย พา
กันไปตามคนบ้าที่เรียกว่าพี่สาวที่เมืองหลวงกันหมด
แม่นางเฉิงหกเบะปาก น้ำตาไหลรินลงมา
“นางเป็นคนเลว!” นางตะโกนเสียงดังออกไปด้านนอก “นาง
เป็นคนเลว สักวันหนึ่งพวกเจ้าจะต้องถูกนางทำร้าย!”
บรรยากาศคึกคักด้านหน้าประตูเรือนตระกูลเฉิงได้สลายไป
แล้ว แต่ข่าวการรับราชโองการของนายรองเฉิงยังคงถูกพูดถึงอย่าง
คึกคักในเมือง
เมื่อเทียบกับความคึกคักที่ฝั่งเฉิงเหนือแล้ว ฝั่งเฉิงใต้ดูจะ
เงียบเหงากว่ามาก“คิดไม่ถึงเลยว่านายหญิงของเจ้าจะเก่งเพียงนี้” เฉิงผิงพึมพำ
ขึ้นขณะกอดธงและดึงสายตากลับมาจากริมแม่น้ำ
“แน่นอนอยู่แล้ว” พ่อบ้านเฉากล่าว
“แต่ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็หนีบุญคุณบิดามารดาได้ยาก” เฉิงผิง
เอ่ยพลางหัวเราะ สีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
พ่อบ้านเฉาชายตามองเขา
“นายหญิงของข้าไม่ใช้กำลัง” เขาเอ่ย “นายหญิงของข้า
ใช้เหตุผลเท่านั้น”
เฉิงผิงหันมองพ่อบ้านเฉา พลันปรบมือด้วยความยินดี
“พ่อบ้านเฉา ไม่เสียแรงที่ทำงานกับข้า เจ้าเองก็เข้าใจลึกซึ้ง
แล้ว” เขาหัวเราะ
เพิ่งพูดจบ พ่อบ้านเฉาก็ยกมือขึ้นปัดหมวกของเขาจนเอียง
“อย่ามาพูดไร้สาระกับข้า รีบไปดูฮวงจุ้ยให้บ้านตระกูลฉีไป
เงินหนึ่งร้อยเหวินยังไม่พอใช้อีก เงินหามาไม่ง่าย เจ้าก็ใช้ประหยัด
สักหน่อย อย่าใช้กินดื่มเสียหมดในสองสามวัน” เขาก่นด่า
เฉิงผิงใช้มือจับหมวกพลางหัวเราะร่า“ไม่รีบหรอก ไม่รีบ ทุกอย่างต่างถูกกำหนดไว้แล้ว”
พ่อเฉาทำท่าจะตีเขา เฉิงผิงจึงวิ่งหนีไป
ขณะที่ครอบครัวนายรองเฉิงกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยัง
เมืองหลวง เฉิงเจียวเหนียงก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติที่เมืองหลวง ช่วง
เช้ายิงธนู จากนั้นฝึกเขียนพู่กันหน้าบ้าน ช่วงบ่ายพาสาวใช้เข้าครัว
กลางคืนอ่านหนังสือ…
“สรุปว่าไม่ได้ออกห่างจากที่นี่เลยแม้แต่น้อย” แม่นางหวง
กล่าวพลางถอนหายใจ “ถึงแม้สตรีควรออกจากบ้านให้น้อย แต่วัย
ยังเยาว์แบบนี้ก็ควรออกไปข้างนอกบ้าง”
“นายหญิงใหญ่อยากไปข้างนอกหรือเจ้าคะ พวกเราไป
เที่ยวเล่นที่ไหนดี ไปกันพรุ่งนี้เลย” สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะ
เดินผ่านมา สีหน้ายิ้มแย้ม
“เมืองหลวงนี้ข้าไปมาทุกแห่งแล้ว จะไปอีกหรือ” แม่นางหวง
เอ่ยตำหนิ
บัดนี้นางคุ้นเคยกับคนในบ้านแล้ว จึงเลิกทำตัวระมัดระวัง
เดิมทีแม่นางหวงเป็นคนช่างพูดช่างหัวเราะ บัดนี้กลับมาเป็นธรรมชาติดังเดิมแล้ว
“นายหญิงใหญ่ ท่านไปทุกแห่งในเมืองหลวงมาหมดแล้วได้
อย่างไร ยังมีสถานที่อีกตั้งมากมาย”สาวใช้เอ่ยพลางหัวเราะ
ขณะพูดคุยกันนั้นเอง เสียงคนเคาะประตูก็ดังขึ้น
“มีคนมา ข้าไปดูก่อน” แม่นางหวงเอ่ย พลันรีบลุกขึ้น
เนื่องจากธนูเสินปี้ใช้ในการสู้รบได้อย่างน่าประทับใจ
ความต้องการจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้อยากจะให้ทุกคน
มารวมตัวกันภายในคืนเดียว ฟ่านเจียงหลินจึงพักอยู่ที่กองธนูเพื่อ
คุมงานทั้งวันทั้งคืน
บัดนี้แม่นางหวงไม่หวาดกลัวการรับส่งแขกแล้ว กระทั่งฮ่องเต้
นางก็เคยพบเจอมาแล้ว ดังนั้นคนอื่นจึงไม่น่ากลัวอะไรในสายตา
นาง อีกอย่างก็ไม่ค่อยมีใครมาอยู่แล้ว
ด้านนอกประตู ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางตื่นเต้น เขาถึงขั้น
ตกใจเมื่อประตูเปิดออก
“ข้า ข้าต้องการขอคำปรึกษาจากแม่นางเฉิง” เขาเอ่ยขึ้นอย่าง
ตื่นตกใจ“แม่นางคัดอักษรอยู่หน้าบ้านทุกวัน หากเจ้าต้องการขอ
คำปรึกษา ค่อยมาพรุ่งนี้แล้วกัน” สาวใช้เอ่ยตอบ
ชายคนนั้นรีบส่ายหัว
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าต้องการ…” เขาหยุดลังเลครู่หนึ่ง “ต้องการขอ
คำปรึกษาเรื่องอื่น”
ขอคำปรึกษาเรื่องอื่นงั้นหรือ
สาวใช้กวาดสายตาสำ รวจชายคนนั้น ท่าทางเขาไม่เหมือน
บัณฑิตจริงๆ ร่างกายใหญ่กำยำ ไม่มีแววเป็นบัณฑิตแม้แต่น้อย
“เจ้าคงไม่ได้มาเรียนงานครัวหรอกใช่ไหม” นางอดถามไม่ได้
ตั้ง
แต่ที่ท่านชายฉินสิบสามส่งสาวใช้มาสามคน ข่าวก็ถูก
แพร่กระจายออกไป จึงมีสาวใช้คนอื่นถูกส่งตัวมาอีก เฉิงเจียว
เหนียงเองก็มิได้ปฏิเสธ เพียงแค่บอกว่าพื้นที่ในบ้านน้อย แถมคน
มากๆ จะทำให้มองเห็นไม่ชัด ให้รอคนกลุ่มเดิมกลับไปก่อนค่อย
ส่งคนใหม่มา
เมื่อข่าวนี้ถูกกระจายออกไป ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก็พากัน
มาสอบถามกันอย่างคึกคัก เพราะนั่นไม่ใช่การส่งคนมาเรียนงานครัวเท่านั้น ที่สำ คัญกว่าคือการผูกมิตรกับเฉิงเจียวเหนียง
ชายคนนั้นตกใจกับคำถาม ราวกับฟังไม่เข้าใจ เขายื่นนิ่งอยู่
ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า
“คือข้า ข้าต้องการ ต้องการทำการค้ากับแม่นาง” เขาเอ่ย
ทำการค้าหรือ
สาวใช้กวาดตาสำ รวจชายคนนี้อย่างละเอียด
“เจ้าเป็นใคร” นางเอ่ยถาม
ชายคนนั้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ เขารีบคลำหาของบางอย่างบน
ลำตัว คลำหาไปได้ครู่หนึ่งถึงได้วางมือลง
“ข้า ตอนนี้ข้าไม่มีตำแหน่งราชการแล้ว จึงไม่มีป้ายชื่อ” เขา
ก้มหน้าลงเอ่ยขึ้นอย่างอับอาย “ข้า ข้าชื่อ
หลี่หรง…”
“หลี่หรงงั้นหรือ…”
เมื่อเฉิงเจียวเหนียงได้ยิน ก็วางหนังสือในมือลงและยืดหลังนั่ง
ตัวตรง“เจ้าค่ะ เป็นคนตระกูลหลี่ คือคนที่เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ จึง
ถูกลงโทษเมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมา” สาวใช้กระซิบตอบ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า พลางหันมองชายที่นั่งคุกเข่าอยู่บน
ระเบียง
“ครอบครัวเจ้าเคยมาหาข้าแล้ว” นางกล่าว
ตั้ง
แต่เหตุดอกไม้ไฟในวันนั้น คนตระกูลหลี่ที่ค้าดอกไม้ไฟก็นำ
ของขวัญจำ นวนมากมาให้ เพื่อต้องการพูดคุยเรื่องการร่วมธุรกิจกัน
“แต่ข้าไม่ทำการค้านี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ
หลี่หรงส่งเสียงตอบรับ พลันเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้รอบกาย
ทำท่าเหมือนอย่างพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดนิ่ง
สาวใช้หันมองเฉิงเจียวเหนียง เมื่อเห็นว่านางมิได้ปฏิเสธอะไร
จึงลุกขึ้นพากันออกไป
“นายหญิง ข้ามิได้มาเพื่อคุยเรื่องการค้าดอกไม้ไฟของที่บ้าน
หรอก” เขาเอ่ย พลันหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากในเสื้อและยื่นให้
“ข้าต้องการทำการค้