พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 464 เชื้อเชิญ
กล่องเหล็กใบเล็กที่ทำขึ้นมาอย่างไร้ความประณีตใบหนึ่ง
ปั้น
ฉินรับมาส่งต่อให้เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือไปเปิดดู สีหน้าที่เคยนิ่งสงบมาตลอด
กลับเปลี่ยนไป แต่ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
คือสิ่งใดกันนะ ปั้นฉินมองจากด้านข้าง ด้านในกล่องมีม้วน
กระดาษยาวอยู่ ตรงกลางม้วนกระดาษยื่นออกมา หน้าตา
ประหลาดยิ่งนัก แถมยังส่งกลิ่นแปลกๆ ออกมาอีก
“เจ้าแซ่อะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามพลางเงยหน้าขึ้น
หลี่หรงนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อครู่เขารวบรวมความกล้า
จ้องมองนาง เมื่อเห็นแววตาตกใจของหญิงสาวก็รู้ว่าตนเองเดาถูก
แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบัดนี้นางกลับไม่ถามถึงมัน แต่กลับถาม
ถึงตนเอง
แถมยังถามได้น่าขันยิ่งนัก แซ่อะไรอย่างนั้นหรือ“ข้าแซ่หลี่ นามว่าหรง” หลี่หรงเอ่ยตอบ
เมื่อครู่เขาได้บอกชื่อตนเองไปแล้ว เห็นทีนายหญิงคงมิได้ตั้งใจ
ฟัง
“แซ่หลี่” เฉิงเจียวเหนียงพูดซ้ำ พลางหันมองหลี่หรง แล้วหยุด
พูดไปครู่หนึ่ง “เดิมทีแซ่หลี่ แล้ววันหน้าคิดจะเปลี่ยนแซ่หรือไม่”
คำถามนี้ทำให้หลี่หรงมึนงง
ถามคำถามแบบนี้ได้อย่างไรกัน
นี่คือกำลังก่นด่าสาปแช่งทั้งตระกูลอยู่หรือ ไม่น่าจะใช่ พวกเขา
ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน คงไม่ถึงขั้นมาถึงก็ด่ากันเลยหรอก
กระมัง
หรือนี่เป็นคำพูดของคนบ้า…
นายหญิงผู้นี้เคยเป็นคนสติฟั่นเฟือน ถึงแม้เทพเซียนจะเคย
ปัดเป่าให้…ถึงแม้จะได้รับการรักษาจากหมอผู้มีชื่อเสียง แถมยังได้
เรียนรู้ทักษะแปลกประหลาดมากมาย แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่เหมือน
คนปกติทั่วไปอยู่ดีกระมัง…หลี่หรงไม่รู้วิธีพูดคุยกับคนสติฟั่นเฟือน แต่คนบ้าก็คง
เหมือนกับเด็กที่ไม่มีวันโต หลี่หรงมีลูกสาวอายุหกขวบ เขายังพอรู้วิธี
พูดคุยกับเด็กอยู่บ้าง
เวลาพูดคุยกับเด็ก ก็แค่ตอบกลับตามตรงหรือถามกลับตรงๆ
ก็พอแล้ว
“ข้าแซ่หลี่มาโดยตลอด เป็นลูกชายเมียรองคนที่เจ็ดของเถ้า
แก่ร้านดอกไม้ไฟตระกูลหลี่คนปัจจุบัน” เขาจึงตอบคำถามอย่างตั้ง
ใจ “วันหน้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนแซ่ เว้นแต่จะทำผิดมหันต์ จนถูก
ขับไล่ออกจากตระกูล…”
“หากถูกขับไล่ออกจากตระกูลเจ้าอยากใช้แซ่อะไร” เฉิงเจียว
เหนียงถามต่อทันที
คราวนี้แม้กระทั่งปั้นฉินเองก็ยังเหลียวมอง ก่อนจะหันกลับไป
มองหลี่หรงด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เขาจะโกรธจนลมจับหรืออับอายจนหนีออกไปหรือไม่นะ
นายหญิงของนางบางครั้งก็พูดจาเกินกว่าคนทั่วไปจะรับไหว“หากถูกขับไล่ออกจาตระกูล ข้าก็จะยังใช้แซ่หลี่…” หลี่หรงยก
มุมปากขึ้นลงพลางเอ่ยตอบ
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงตอบรับ จากนั้นจึงก้มมองกล่องในมือ
อีกครั้ง
“ข้าไม่ทำการค้านี้” นางเอ่ยขึ้นพลันยื่นกล่องคืนให้ “และสิ่งนี้ก็
ไม่อาจค้าขายได้”
สิ่งนี้ไม่อาจค้าขายได้อย่านั้นหรือ…
ถูกต้อง หากนางคิดเหมือนที่เขาคิด ก็ไม่คงไม่สามารถนำมา
ค้าขายได้จริงๆ
เมื่อเห็นสาวใช้ทำท่าจะส่งแขก หลี่หรงก็เริ่มลนลานและร้อนใจ
“นายหญิง นายหญิงรู้จักของสิ่งนี้ใช่หรือไม่” เขาเอ่ย
นายหญิงเหลือบมองของสิ่งนั้นเพียงครู่เดียว แถมยังไม่
ถามอะไรเกี่ยวกับมันเลย เหตุใดเขาถึงบอกว่านายหญิงรู้จักสิ่งนี้ ปั้น
ฉินรู้สึกมึนงง นางเหลียวมามองเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ข้ารู้จัก” นางเอ่ยตอบดี ซื่อสัตย์ยิ่งนัก!
หลี่หรงขยับขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้น นายหญิง ทำไมข้าถึงทำไม่ถูกเสียที ไม่เคยทำได้
เลย ข้า…ข้าไม่เข้าใจ…” เขากล่าวอย่างตะกุกตะกัก
“เจ้าต้องการใช้มันทำอะไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม
หลี่หรงตะลึงงัน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…” เขาเอ่ยตอบ
ปั้น
ฉินขมวดคิ้วอีกครั้ง นี่มันอะไรกัน ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรแล้ว
มาทำตัวแบบนี้หรือ
นางหันมามองหลี่หรง เห็นเขาทำสีหน้าสับสนแถมยังขมวดคิ้ว
ราวกับว่าเขาไม่รู้จริงๆ
“จะใช้ทำอะไรยังไม่รู้เลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกหรือไม่ ได้
หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
หลี่หรงตะลึงงันไปอีกครั้ง
“ข้ามิใช่ไม่รู้ว่าจะใช้มันทำอะไร เพียงแต่ข้าไม่รู้…ไม่รู้” เขาเอ่ย
ขึ้น สีหน้าราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขายกมือไม้ทำท่าทางด้วยความร้อนใจ ราวกับต้องการอธิบายบางอย่าง แต่ตนเองกลับไม่รู้ว่า
ควรอธิบายอย่างไร
ในจังหวะที่เขายกมือขึ้น แววตาพลันเปล่งประกาย
“ใช่แล้ว” เขาพึมพำ “ข้าไม่รู้ว่าต้องใช้มันอย่างไรจริงๆ ถึงได้
ทำไม่ถูกมาตลอด”
เขาลุกขึ้นวิ่งออกไปด้านนอก
ปั้น
ฉินหันมองเขาวิ่งออกประตูไปไวราวกับสายลม เหล่าบ่าว
และสาวใช้ในบริเวณบ้านต่างตกตะลึง
ยังมิทันหายตกใจ หลี่หรงก็วิ่งปราดกลับเข้ามา
“ขอบคุณนายหญิงที่ชี้แนะ” เขาเอ่ยคำนับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ไม่หรอก ข้าเพียงแค่ถามความจริงเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ยตอบ พลันยื่นกล่องออกไป “เจ้าลืมของไว้น่ะ”
หลี่หรงหันมองนาง พลางส่ายหัว
“หากแม่นางไม่รังเกียจ ขอให้เก็บไว้เถิด” เขาเอ่ยพลันคุกเข่า
ลงคำนับ “เดิมทีของสิ่งนี้ก็คิดขึ้นมาได้หลังจากเห็นดอกไม้ไฟของ
แม่นาง ดั่งที่คนโบราณบอกไว้ว่า มีอาจารย์ช่วยชี้แนะ ถึงแม้จะไม่กล้าเรียกตัวเองเป็นศิษย์ แต่หลี่หรงก็มิกล้าหักหลังอาจารย์หรอก
”
เป็นศิษย์หรือ
ผู้คนในที่นั่นต่างพากันตะลึง
หลี่หรงราวกับรู้ตัวว่าตนเองพูดเรื่องไร้สาระออกไป เมื่อพูดจบ
จึงหันหลังเดินจากไปทันที แต่เมื่อเดินถึงประตูก็หยุดฝีเท้าลง
“แม่นาง คนผู้นั้นแซ่อะไรหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้น
อะไรนะ ใครกัน
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง เฉิงเจียวเหนียงหันมองหลี่หรง
“แซ่เฉิน” นางเอ่ยตอบ
หลี่หรงโค้งตัวคำนับ
“หลี่หรงจะจำ ไว้” เขาตะโกนตอบ แล้วหันหลังเดินออกไป
อย่างฉับไว
ภายในเรือนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ปั้น
ฉินเข้ามานั่งคุกเข่าใกล้ๆ หยิบกล่องนั้นขึ้นมา
“นายหญิง ให้เอาไปเก็บหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามเฉิงเจียวเหนียงยื่นมือไปหยิบมาพิจารณาดู สีหน้าครุ่นคิด
“นายหญิง ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไรเจ้าคะ” ปั้นฉินเอ่ยถาม
“เรียกว่าอะไรหรือ”
‘ปัดโธ่ เสี่ยวฝั่ง เจ้าอย่าขยับไปเรื่อยสิ ของในนี้จะขยับไปเรื่อย
ไม่ได้…’
‘เหตุใดจึงไม่เรียกว่าพระชายาแล้ว’
‘พระชายา ท่านพ่อมาบอกอะไรท่านอีกหรือ จะวางแผนทำ
อะไรข้าอีกหรือ’
‘…หึ ไม่บอกเจ้าหรอก’
‘ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่บอกเจ้าเหมือนกัน…’
เฉิงเจียวเหนียงปิดกล่องลง พลันก้มหน้า
“ไม่รู้สิ” นางเอ่ย
รู้จักของสิ่งนี้แต่กลับนึกไม่ออกอีกแล้วหรือ ปั้นฉินคิดในใจ
กลัวนางจะเสียใจจึงรีบพยักหน้าถามว่าเย็นนี้จะกินอะไรเพื่อเปลี่ยน
เรื่องคุย“ท่านชายสี่เข้าพักที่เรือนหลังใหม่ อยู่คนเดียวคงเบื่อน่าดู เรา
เชิญเขามากินข้าวไหมเจ้าคะ” นางเอ่ยขึ้น
สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้ครอบครัวชายรองเฉิงเสร็จภายใน
สองสามวัน บัดนี้ชายสี่เข้าพักอยู่ บ่าวและคนใช้หน้าใหม่ก็ส่งตัว
เข้าไปแล้ว
“เขารีบเดินทางมาจากเจียงโจว คงมิได้อ่านหนังสือแน่
ไม่เหนื่อยจนล้มป่วยก็โชคดีมากแล้ว ปล่อยให้เขาตั้งใจอ่านหนังสือ
ไปเถอะ เหลือเวลาก่อนสอบปีหน้าอีกไม่นานแล้ว” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ย
ปั้น
ฉินพยักหน้า
“ไม่รู้ท่านชายสี่จะผ่านไหม” นางเอ่ยพลางประนมมือขึ้น พลัน
นึกบางอย่างขึ้นได้ “นายหญิงเราไปขอพรให้ท่านชายสี่ที่วัดผู่ซิวกัน
ไหม”
“ใช่ ใช่ ดีเลย ต้องไปนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่อยู่ริมระเบียงรีบเอ่ย
ขึ้นเมื่อได้ยิน จากนั้นจึงให้ไปหาแม่นางหวง สองมือประนมอยู่ที่อก
“นายหญิงใหญ่ก็ไปด้วยกันนะเจ้าคะ”แม่นางหวงที่กำลังยืนดูเหล่าสาวใช้สอนเด็กๆ หัดเดินหัวเราะ
ขึ้น
“เดือนสิบเอ็ดแล้ว อากาศเริ่มหนาว ก็ควรไปขอพรให้
พระโพธิสัตว์คุ้มครองไม่ให้เจ็บป่วย” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพร้อมตอบตกลง
“ต้องใช้ท่านชายสี่เป็นเหตุถึงจะล่อนายหญิงออกไปได้” สาวใช้
กระซิบคุยกับปั้นฉินเมื่อนางเดินออกมา
ปั้น
ฉินเม้มปากยิ้ม กำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่เสียงเคาะประตูก็
ดังขึ้นอีกครั้ง
“ใครมาเวลานี้กัน”
ทั้ง
สองมองไปทางประตู บ่าวเปิดประตูออก ทำให้เห็นขันทีคน
หนึ่งยืนยิ้มอยู่
“แม่นางเฉิง กระหม่อมมาจากตำหนักชิ่งอ๋อง” เขารีบเอ่ยขึ้น
พลางยื่นสาส์นมอบให้ “ชิ่งอ๋องและจิ้นอันจวิ้นอ๋องเรียนเชิญแม่นาง
ไปงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักวันพรุ่งนี้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหรือเหล่าบ่าวพากันคำนับพร้อมเชิญขันทีผู้นั้นเข้ามาในเรือน แต่
เขากลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลันโบกมือปฏิเสธ
“ฝ่าบาทกำชับว่ามิได้มีเหตุอื่นอันใด เพียงแค่ต้องการเชิญไป
นั่งชมตำหนักใหม่ เหมือนธรรมเนียมคนทั่วไป” เขาเอ่ย “และมิได้
มีผู้อื่น เชิญเพียงแม่นางผู้เดียวเท่านั้น”
จะรับคำเชิญหรือไม่
สายตาทุกคนจับจ้องมาที่เฉิงเจียวเหนียง แม่นางผู้นี้แทบจะ
ไม่เคยออกไปไหน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสานสัมพันธ์กับผู้อื่น
ถึงแม้จวิ้นอ๋องจะมิใช่คนธรรมดา แต่แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดา
ยิ่งกว่า…
เดิมพันกับฮ่องเต้ ฝึกคัดอักษรหน้าเรือน…เรื่องแบบนี้คนอื่น
ต่างไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่นางกลับพูดแล้วทำทันที
การปฏิเสธคำเชิญจากจวิ้นอ๋องคงมิใช่เรื่องแปลกอะไร
“ได้ ขอบพระทัยท่านอ๋อง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เมื่อได้ยินดังนี้ ขันทีผู้นั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงรีบ
ก้าวเท้าเข้ามาเล็กน้อยสาวใช้รีบรับสาส์นเชิญสีทองอร่ามพร้อมยื่นถุงเงินให้เขา
“ขอบใจท่านขันที” นางเอ่ยพลางเผยยิ้ม
ขันทีผู้นั้นมิได้ตอบอะไร เพียงรับถุงเงินไปพร้อมรอยยิ้ม พลัน
คำนับแล้วเดินจากไป
“เช่นนั้นคงต้องไปวัดผู่ซิววันมะรืนแทน” ปั้นฉินเอ่ย
สาวใช้พยักหน้า
“ข้าไปจะแจ้งคนที่วัดเดี๋ยวนี้เจ้าคะ” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงรับสาส์นไว้ แล้วกลับไปอ่านหนังสือในห้องต่อ
แม่นางหวงยืนอยู่ในลานบ้าน หันมองด้านในห้องสลับกับ
ด้านนอก
“แต่ว่า นี่เราได้รับสาส์นเชิญจากตำหนักท่านอ๋องเชียวนะ”
นางเอ่ย เหตุใดทุกคนจึงสนใจเพียงเรื่องเลื่อนวันเดินทางไปวันผู่ซิว
“ชุดและเครื่องประดับที่จะใส่ไปวันพรุ่งนี้ต้องเตรียมให้พร้อม
มิใช่หรือ”
แม่นางหวงเอ่ย
“นายหญิงใหญ่ มิต้องหรอก” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ“นายหญิงมีชุดอยู่เพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น เปลี่ยนชุดแล้วยังดู
ไม่ออกเลย” สาวใช้เอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ
“เครื่องประดับก็เช่นกัน นอกจากหวีสับกับปิ่นปักผมนั่น ก็ไม่
ใช้อย่างอื่นอีก” ปั้นฉินเอ่ยพลางหัวเราะอีกครั้ง “มาคิดว่าพรุ่งนี้
เช้ากินอะไรยังจะดีกว่า”
แม่นางหวงส่ายหน้า
“ถึงอย่างไรข้าก็ทำเท่าที่ทำได้ดีกว่า” นางเรียนรู้ประโยคนี้
มาจากฟ่านเจียงหลินที่มักพูดเช่นนี้อยู่บ่อยๆ แม่นางหวงหันไปยิ้ม
พลางโบกมือให้เด็กๆ ที่กำลังฝึกเดิน “มาหาป้าทางนี้เร็ว”
วันรุ่งขึ้นเฉิงเจียวเหนียงยังคงตื่นขึ้นมายิงธนู กินข้าว และฝึก
เขียนพู่กันหน้าบ้านเหมือนเช่นเคย เมื่อเสร็จกิจทั้งหมดเรียบร้อย
แล้วจึงเปลี่ยนชุด มวยผมขึ้น แล้วออกเดินทาง
“ไม่ต่างจากไปวัดผู่ซิวเลย” แม่นางหวงเอ่ยขึ้นพลางส่ายหน้า
พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงรีบเตือนว่า “ของขวัญ
แสดงความยินดีล่ะ”เหตุใดปั้นฉินจึงมิได้ถืออะไรอยู่ แถมยังไม่เห็นใครยกของไป
วางบนรถเลย
“นายหญิงเอามาแล้ว” ปั้นฉินเอ่ยพลางหัวเราะ
แม่นางหวงหันมองเฉิงเจียวเหนียง แต่ก็ไม่เห็นนางถืออะไรใน
มือ เอามาแล้วที่ไหนกัน
เฉิงเจียวเหนียวหันมายิ้มให้ แล้วจึงยื่นมือมาพลิกไปมาให้ดู
ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ แม่นางหวงสับสนยิ่งกว่าเดิม กำลังจะ
เอ่ยปากถาม แต่กลับมีม้าวิ่งเข้ามาถึงพอดี
ท่านชายฉินสิบสามกระโดดลงจากม้า
“เจ้าจะไปข้างนอกหรือ” เขาถามอย่างประหลาดใจ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“พอดีเลย ข้าจะมาเชิญเจ้าไปงานเลี้ยง” ท่านชายฉินสิบ
สามเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้ามีนัดแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางหันไปคำนับ
ท่านชายฉินสิบสามรู้สึกแปลกใจ“แล้วตอนกลางคืนเล่า” เขารีบเอ่ยถามต่อ ใบหน้ายังคง
ยิ้มแย้ม
“ข้าไม่ไปข้างนอกตอนกลางคืน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
การกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ ชื่อเสียงของนางแพร่กระจายไป
ทั่ว แต่ตัวนางเองกลับเงียบขึ้นกว่าเดิม เมื่อก่อนยังคงออกจากเรือน
ไปเดินเล่นกินข้าวบ้าง แต่บัดนี้กลับแทบไม่ไปไหนเลย
“แล้วกลางวันพรุ่งนี้เล่า” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถามพร้อม
ใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“พรุ่งนี้ต้องไปไหว้พระขอพรที่วัดผู่ซิว ได้สั่งอาหารเจที่วัดไว้
แล้ว” นางเอ่ย
สั่งแล้วก็ยกเลิกได้นี่ แค่อาหารเจเอง แม่นางหวงอ้าปาก
กำลังจะเอ่ยขึ้น แต่กลับถูกสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงขวางไว้
สาวใช้หันมาส่ายหน้า แม่นางหวงจึงไม่ได้เอ่ยปาก
“ยกเลิกไปเถิด” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะ “พรุ่งนี้
เป็นวันเกิดข้า”“บังเอิญเสียจริง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย จากนั้นจึงหันไปคำนับ
อีกครั้ง “ในเมื่อสั่งไว้แล้ว จึงไม่สะดวกที่จะยกเลิก”
ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้า
“ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนรักษากฎระเบียบ ต้องโทษตัวข้าเองที่
มิได้มาเชิญเจ้าให้เร็วกว่านี้” เขาเอ่ยขึ้น พลันกระโดดขึ้นหลังม้า
“ถ้าเช่นนั้น ต้องมีของขวัญให้ข้าด้วย”
เฉิงเจียวเหนียงเผยยิ้มบาง พลันพยักหน้าโค้งคำนับ
“ได้สิ” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามหันมายิ้มให้นางพร้อมยกมือขึ้นคำนับ
จากนั้นจึงขี่ม้าจากไป พอมาถึงถนนก็พลันหันกลับไปมองอีกครั้ง
เห็นประตูเรือนสะพานอวี้ไต้ปิดลงแล้ว รถม้ากำลังวิ่งเข้าสู่ถนนอีก
ฟากหนึ่งค่อยๆ ไกลออกไป
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็ค่อยๆ เลือนหาย
“กฎระเบียบเยอะจริง จะมีน้ำใจกันหน่อยมิได้หรือ” เขาพูดกับ
ตัวเอง แล้วจึงหันมองด้านหลังตนเอง “หรือว่ายังไม่มากพอ”
พูดจบก็ถอนหายใจ พลันหันกลับมาแล้วควบม้าจากไป