พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 466 ฟังเพลงบรรเลง
งานเลี้ยงที่ตำหนักชิ่งอ๋องเริ่มขึ้นแล้วเช่นกัน
เรียกว่าเป็นงานเลี้ยง แต่ภายในงานมีเพียงสามคนเท่านั้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งหลังตรง ยกถ้วยชาขึ้น
“ยังต้องกล่าวเปิดไหม” เขาถามพลางหัวเราะ “ข้าก็ไม่เคยจัด
งานเลี้ยงเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรก”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าจริงจัง
ก่อนจะยกถ้วยเหล้าขึ้น “ขอแสดงความยินดีกับการย้ายเข้าตำหนัก
ของชิ่งอ๋องและจวิ้นอ๋อง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะขึ้น แล้วยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มจนหมด
ส่วนชิ่งอ๋องบัดนี้เริ่มกินอาหารเรียบร้อยแล้ว
“ในเมื่อเป็นงานเลี้ยง ก็ต้องมีการแสดงร้องรำ” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เอ่ยขึ้น พลันหันมาขยิบตาให้เฉิงเจียวเหนียง “ไม่ใช่คนของตำหนัก
เราหรอก ข้าขอยืมคนมาจากในวัง”เฉิงเจียวเหนียงเผยยิ้ม
“ก่อนการแสดงร้องรำ ข้าขอมอบของขวัญให้ฝ่าบาทก่อน”
นางเอ่ยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบนั่งตัวตรง
“จะได้รับของขวัญแล้วสิ” เขาเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ ตั้งตารอ
คอย
“ก่อนจะมอบของขวัญข้าต้องขอยืมเครื่องดนตรีจากตำหนัก
ท่านเสียก่อน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ขันทีรีบออกไปหยิบเครื่องดนตรีทันที
ถึงแม้ที่ตำหนักจะไม่มี แต่เหล่านางรำและนักดนตรีจากในวังพก
มาด้วย จึงขอยืมมามอบให้
“ค่อนข้างกะทันหัน เครื่องดนตรีมิได้ดีสักเท่าไหร่ แม่นางโปรด
ให้อภัยด้วย” ขันทีเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ
“เพียงแค่เป็นเครื่องดนตรีก็ดีแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลาง
ยื่นมือไปรับ ดีดสายเครื่องดนตรีสองสามครั้ง แล้วจึงหันมองจิ้นอัน
จวิ้นอ๋อง “ข้าคิดว่าฝ่าบาทไม่ขาดสิ่งใด สิ่งที่ข้ามอบให้ได้ คนอื่นก็สามารถมอบให้ได้ ข้าเองก็มิได้มีอะไรพิเศษ เห็นว่าเป็นตำหนักใหม่
จึงของใช้เสียงบรรเลงชำ ระล้างตำหนักให้”
ใช้เสียงบรรเลงชำ ระล้างตำหนักหรือ ทุกคนในที่นั้นต่าง
ตกตะลึง
เมื่อเสียงบรรเลงดังขึ้น ภายในห้องมิได้เงียบลง เพราะชิ่งอ๋อง
ยังคงกินดื่มและส่งเสียงตะโกนเป็นระยะจนกลบเสียงดนตรีจังหวะ
หนักแน่น
เหล่านางรำจากในวังมายืนรออยู่นอกห้องแล้ว เดิมทีพวกนาง
อยู่กันอย่างเงียบสงบ แต่เมื่อครู่ถูกยืมเครื่องดนตรีไป รู้ว่ายังมิต้อง
ออกไปแสดงอีกครู่หนึ่ง จึงพากันผ่อนคลายลง
พวกนางไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่แรก เพราะเป็นนางรำจากใน
วัง เคยแสดงต่อหน้าฮ่องเต้และแสดงในงานพิธีใหญ่ๆ มานักต่อนัก
แค่งานเลี้ยงเล็กๆ ในตำหนักชินอ๋องเป็นเรื่องเล็กมาก แถมงานเลี้ยง
ครั้งนี้ยังมีแขกเพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่เมื่อเสียงพูดคุยดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่ง บรรยากาศในฝั่งนี้ก็
เริ่มเปลี่ยนไป“…เครื่องดนตรีมิได้ดีสักเท่าไหร่…”
นางรำต่างพากันหันมอง ไม่เพียงแค่พวกนางเท่านั้น คนอื่นๆ
เองก็หันมองเช่นกัน สายตาจดจ้องไปที่ฉินที่เพิ่งถูกยืมเครื่องดนตรี
ไป
นักดนตรีรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ที่ถูกยืมเครื่องดนตรีไปแล้ว เมื่อได้ยิน
ประโยคนั้นจึงยิ่งเคืองกว่าเดิม
“กล้าบอกว่าเครื่องดนตรีของนักดนตรีชุยไม่ดีได้อย่างไร…”
นางรำคนหนึ่งกระซิบ “…เครื่องดนตรีแบบนั้นทั้งโลกคงมีไม่ถึงสิบ
ชิ้นด้วยซ้ำ …”
“เพื่อแก้ขัดต่อหน้าแม่นาง ขันทีผู้นี้ก็คิดรอบคอบพอควรเลย”
นางรำอีกคนหนึ่งกระซิบพลางหัวเราะ
เสียงกระซิบกระซาบจากฝั่งนี้จึงค่อยๆ ดังขึ้น ถึงแม้จะได้ยิน
เสียงบรรเลงจากอีกฝั่ง แต่เนื่องจากเสียงบรรเลงค่อนข้างอึมครึม
แถมชิ่งอ๋องยังร้องไม่หยุด ทำให้เสียงบรรเลงฟังดูน่าขันนัก
ขณะกำลังพูดคุยหัวเราะกัน จู่ๆ ก็เห็นนักดนตรีชุยลุกขึ้นยืน
สีหน้าประหลาดใจ“นักดนตรีชุย เป็นอะไรไปหรือ” คนด้านข้างเอ่ยถามอย่าง
ไม่เข้าใจ
“ถึงอย่างไรก็อยู่ต่อหน้าชิ่งอ๋อง ท่านอย่าทำอะไรไม่เหมาะ
ไม่ควร” มีคนกลัวเขาคลั่งจึงรีบกระซิบเตือน
แต่นักดนตรีชุยกลับไม่สนใจเขา ก้าวเท้าไปข้างหน้าสอง
สามก้าว
“พวกเจ้าฟัง” เขาเอ่ย
ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง ให้ฟังอะไรหรือ
ทุกคนต่างพากันเงี่ยหูฟัง เสียงพูดจากด้านในยังคงดัง
ไม่ขาดสาย เสียงร้องของชิ่งอ๋องก็ดังไม่หยุดเช่นกัน และเสียงบรรเลง
ก็ยังคงเล่นต่อไป
ไม่เพียงแค่เล่นต่อไปเท่านั้น แต่บัดนี้เสียงบรรเลงกลับไม่เข้าหู
เลย เพียงแต่หมุนวนอยู่รอบใบหูเบาๆ เท่านั้น ความรู้สึกแบบนี้ค่อยๆ
แจ่มชัดขึ้น ราวกับมีมือมาลูบคลำใบหู ทำให้รู้สึกขนลุก
ในตอนนั้นเอง เสียงเพลงบรรเลงก็แหลมสูงขึ้น ฟังดูอิสระ
ราวกับก้อนเมฆและสายน้ำ ระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าท่วงทำนองช้าแต่ไม่หยุดนิ่ง เสียงบรรเลงอันเศร้าหมองกระแทก
ออกมาเป็นระลอก
เสียงร่ำไห้เบาๆ ดังขึ้น
นักดนตรีชุยกวาดสายตาไปรอบด้าน เห็นนางรำหลายคน
กำลังก้มหน้าน้ำตาไหลรินขณะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง เสียง
บรรเลงคงทำให้พวกนางนึกถึงเรื่องเศร้าขึ้นเป็นแน่
“บรรยากาศช่วงต้นฤดูหนาวก็อึมครึมยิ่งนักอยู่แล้ว มาบรรเลง
บทเพลงเศร้าหมองแบบนี้อีกได้อย่างไรกัน” เอาอดไม่ได้ พึมพำขึ้น
“ไม่ได้บอกว่าจะชำ ระล้างตำหนักหรือ ทำไมกลายเป็นเศร้าหมอง
แบบนี้”
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัวเขา เสียงบรรเลงเศร้าโศกและ
อึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละครั้งที่ดีดบรรเลงออกมา ทำให้รู้สึก
ราวกับทุกส่วนของร่างกายถูกบีบรัดจนแทบจะแตกสลาย ร่างของ
เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงทักษะการบรรเลง
แบบนี้ เขาพยายามต่อต้านเสียงบรรเลง“…เสียงบรรเลงนี้สามารถลอดผ่านเสียงวุ่นวายของคนได้
จิตใจของผู้บรรเลงปราศจากการรบกวนภายนอก”
“ก็มิได้แปลกอะไร นักดนตรีที่มีความสามารถต่างบรรเลง
เพลงโดยไม่ถูกรบกวนจากภายนอกได้…”
“…แต่ก็สามารถทำให้ผู้ฟังไม่ถูกรบกวนจากภายนอกได้เช่นกัน
ทั้ง
ที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวาย ทั้งที่ตัวเองสามารถพูดคุยต่อได้
แต่เสียงบรรเลงยังคงกระทบลึกไปถึงหัวใจได้อยู่…”
“…จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว เสียงบรรเลงแบบไหนกันถึงทำให้
ผู้ฟังจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียวได้”
ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวของนักดนตรีชุย แต่หูของเขา
ยังคงได้ยินเสียงเพลงไม่หยุดหย่อน สิ่งนี้พิสูจน์ความคิดของเขา
ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่น
ไม่สิ ที่หนาวสั่นแบบนี้มิใช่เพราะเกรงกลัว แต่เป็นเพราะรู้สึก
หนาวจริงๆ
เสียงบรรเลงอบอวลไปด้วยความรู้สึกแห่งฤดูใบไม้ร่วงและ
ฤดูหนาว ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในอากาศหนาวเย็นโดยไม่รู้ตัว ยืนไม่มั่น อยากจะเดินเตร่ไปมาหรือกระทั่งวิ่งหนี
วิ่งหนี…
เพราะเหตุนี้จึงบอกว่านี่คือการชำ ระล้างตำหนักหรือ ทำให้
เหล่าสิ่งสกปรกชั่วร้ายทนไม่ไหวจนต้องวิ่งหนี…
นักดนตรีชุยกัดฟันพยายามหยุดยั้งความรู้สึกชาทั่วร่าง
“เพราะในใจมีเรื่องโศกเศร้า จึงได้ถูกกระทบกระเทือนเช่นนี้
ส่วนชิ่งอ๋องผู้สติฟั่นเฟือนยังคง…” เขาคิดในใจ
ยังไม่พูดคิดจบ เสียงกรีดร้องของชิ่งอ๋องก็ดังก้องขึ้นมา
“ข้าหนาว ข้าหนาว” ชิ่งอ๋องตะโกนขึ้นพลางร้องไห้ออกมา
นักดนตรีชุยรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ถึงขั้น ถึงขั้นว่าคน
สติฟั่นเฟือนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ฤดูกาล ยังรู้สึกหนาวจากเพลง
บรรเลงนี้ ทักษะการบรรเลงนี้…
เขาควบคุมร่างกายต่อไปไม่ไหว ร่างกายอ่อนปวกเปียกจน
ไม่อาจยืนต่อไปได้ ในตอนนี้เอง เสียงบรรเลงโบกสะบัดราวกับ
ทะลวงผ่านกลุ่มก้อนเมฆไปพบแสงตะวัน แสงอาทิตย์สาดส่องทอแสงลงมา ธรรมชาติและสรรพสัตว์กลับคืนมาพร้อมกับ
ฤดูใบไม้ผลิ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ออกไปทั่วบริเวณ
นักดนตรีชุยถอนหายใจยาว พลันเหยียดยืดร่างกายอย่างอด
ไม่ได้ ราวกับต้นหญ้าที่ผุดขึ้นมาเหนือดินโคลน ฟื้นคืนชีพขึ้น
มาอีกครั้ง
ภายในห้องจัดเลี้ยงมีเสียงหัวเราะดังขึ้น นักดนตรีชุยหลับตา
ลง ราวกับเห็นภาพเด็กชายเด็กหญิงวิ่งเล่นกันในทุ่งหญ้ายาม
ฤดูใบไม้ผลิ
เขาถอนหายใจยาว ลืมตาขึ้น เห็นผู้คนในห้องโถงสีหน้าสดใน
เช่นกัน เสียงหัวเราะพูดคุยวุ่นวานพรั่งพรูเข้ามา ทุกอย่างเหมือน
ตอนเริ่มต้น ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา
นักดนตรีชุยยื่นมือไปจับที่ท้ายทอย เหงื่อที่เปียกชุ่มเป็นเครื่อง
เตือนใจว่าทั้งหมดนี้มิใช่ภาพลวงตา
“นักดนตรีชุย เครื่องดนตรีของท่านขอรับ” ขันทีเอ่ยขึ้นขณะ
เดินเข้ามาจากด้านนอกนักดนตรีชุยได้สติขึ้นมา รีบหันมองเครื่องดนตรีที่ขันทียื่นให้
แต่ก็ต้องหยุดนิ่งลง
เครื่องดนตรีนี้อาจารย์ของเขาเป็นคนมอบให้ เขาได้รับมัน
มาตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักดนตรี จนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลากว่ายี่สิบปี
แล้ว เรียกได้ว่าอยู่คู่กับมันมาทั้งวันทั้งคืนไม่เคยห่างตัว คุ้นเคยกับ
มันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่บัดนี้ เวลานี้ เมื่อเขามองดู
เครื่องดนตรีของตัวเอง กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยและรู้สึกยำเกรง
“นักดนตรีชุย” บ่าวเอ่ยเรียกอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
นักดนตรีชุยรีบยื่นมือไปรับ ถึงเวลาเข้าไปบรรเลงแล้วสินะ
แบบนี้คงได้พบนายหญิงผู้นั้น ค่อยหาโอกาสสอบถามเรียนรู้จาก
นาง
เขาเดินออกไป เมื่อเดินถึงประตูห้องก็ถูกตะโกนห้ามไว้
“จะทำอะไร” ขันทีหน้าประตูตะโกนใส่พลางขวางประตูไว้
สีหน้าไม่เป็นมิตร
นักดนตรีชุยถูกตะคอกใส่จนตกใจ
“ไปบรรเลงเพลงน่ะสิ” เขาเอ่ย“บรรเลงเพลงอะไร งานเลี้ยงจบไปนานแล้ว” ขันทีขมวดคิ้ว
เอ่ยขึ้น ราวกับเห็นคนสติไม่ดีอยู่ตรงหน้า
จบไปแล้ว จบไปนานแล้วหรือ
นักดนตรีชุยหันมองด้านในอย่างตกตะลึง ไม่มีคนอยู่แม้แต่
คนเดียวแล้วจริงๆ มีเพียงสาวใช้สองสามคนกำลังเก็บโต๊ะ เขาหัน
กลับมาเห็นเหล่านางรำมองเขาอย่างตกตะลึงเช่นกัน
“…จบไปสักพักหนึ่งแล้ว”
เสียงขันทีดังขึ้นข้างหู นักดนตรีชุยรู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้าใน
ทันใด
ตกอยู่ในภวังค์!
นี่หรือคือภาวะตกอยู่ในภวังค์ที่ท่านผู้รู้กล่าวไว้
นักดนตรีชุยขาอ่อน เขากอดเครื่องดนตรีตัวเองล้มลงกองบน
พื้น
“นักดนตรีชุยเป็นอะไรไป!”
หน้าห้องรับรองวุ่นวายขึ้นในทันใดจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังออกไปส่งแขกที่ประตูมิได้รับรู้
ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
“เจ้ารู้ทางมาตำหนักแล้ว ต่อไปถ้าอยากมาก็มาได้เลย”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขณะย่างก้าวออกไป
“ถึงแม้ข้าจะย้ายออกมาแล้ว แต่ว่าชินอ๋องยังคงออกไป
ข้างนอกตามใจชอบมิได้”
เฉิงเจียวเหนียวที่เดินตามอยู่ด้านหลังส่งเสียงขานรับ
“ขอบใจของขวัญจากเจ้ามาก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมาเอ่ยพร้อม
รอยยิ้ม “เมื่อได้ฟังแล้วข้ารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากเลย”
“ไม่น่านะเจ้าคะ” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางส่ายหน้า
“บทเพลงนี้มิได้เล่นให้คนฟัง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนิ่งตะลึงหยุดฝีเท้า
“นี่ นี่” เขาเดินเข้าใกล้เฉิงเจียวเหนียง กระซิบขึ้นว่า “ข้าไม่คุย
เรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้”
“ท่านเพียงแค่ไม่คุย แต่มิได้บอกว่าไม่ฟัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
มุมปากเผยยิ้มพลันหันมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง “กลัวแล้วหรือ”จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งเสียงฮา ยืนตัวตรงสะบัดแขนเสื้อ
“พูดเป็นเล่น!” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้ม พลันก้าวเท้าเดิน
“ข้าพูดจริงนะ เจ้าไม่รู้เมื่อวานข้าได้รับจดหมายจากท่าน
แม่แล้วรู้สึกเศร้ามาก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นพลางเดินตาม
“ท่านแม่ว่าอย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไขว้มือด้านหลัง ถอนหายใจออกมา
“ท่านแม่ไม่ค่อยพอใจ ตำหนิว่าข้ามิได้ขอปูนบำเหน็จให้
น้องชายก่อนออกจากวัง” เขาเอ่ย “บอกว่าโอกาสดีแบบนี้ ข้ากลับ
ขอเพียงได้อยู่ตำหนักเดียวกับชิ่งอ๋อง แต่ไม่ได้นึกถึงน้องชายตนเอง”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ไม่มีอะไรน่าเสียใจ” นางเอ่ย
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าหาเรื่องใส่ตัวเองหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เช่นกัน ไม่นับว่าเป็นการหาเรื่อง
ใส่ตัว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยจิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนาง พลันหัวเราะร่า
“หมายความว่าแบบไหนก็สมเหตุสมผลทั้งนั้น” เขาเอ่ยพลาง
หัวเราะ “พวกน้องชายข้าอยู่ใกล้ท่านแม่ตลอด ท่านแม่ก็ต้องนึกถึง
และสนิทสนมกับพวกเขามากกว่า เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ส่วน
ข้าก็เป็นลูกชายของท่านแม่เหมือนกัน แต่อยู่ตัวคนเดียวข้างนอก
เมื่อเห็นท่านแม่นึกถึงแต่พวกน้องชายจึงรู้สึกโกรธและอิจฉา นี่ก็
เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน”
“มิใช่หรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ใช่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมายิ้มให้นาง “ฉะนั้นเจ้าก็อย่าสนใจให้
มากเลย”
เฉิงเจียวเหนียงเผยยิ้ม หันไปคำนับเขา
…
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องเชิญแม่นางคนนั้นอีกแล้วหรือ”
กุ้ยเฟยถึงกับตะลึงเมื่อได้ยิน
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกระซิบตอบ
“ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่” กุ้ยเฟยเอ่ยถาม“ทราบพ่ะย่ะค่ะ จวิ้นอ๋องมาขอยืมตัวคนจากในวังไปด้วย”
ขันทีเอ่ย “เมื่อครู่เพิ่งพาคนกลับมาส่ง และไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว”
“ต้องมาส่งคนด้วยตัวเองเชียวหรือ คงแค่หาข้ออ้างเข้ามาใน
วังเท่านั้น” กุ้ยเฟยแค่นหัวเราะ “ข้าคิดไว้แล้วว่าเขาต้องไม่ยอม
ตัดใจ”
ไม่ตัดใจที่จะเข้าวังมารังควานฮ่องเต้และไทเฮา ไม่ตัดใจเรื่องที่
รักษาชิ่งอ๋องมิได้
“กุ้ยเฟย ฝ่าบาทให้คนเอาขนมมาให้พ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีดังขึ้น
จากด้านนอก
กุ้ยเฟยรีบนั่งตัวตรงพร้อมทำสีหน้ายิ้มแย้ม
“นี่เป็นขนมที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องนำมาถวาย ฝ่าบาททรงให้แบ่ง
กุ้ยเฟยและชายาทุกพระองค์”
บ่าวเดินเข้ามาจากด้านนอก เอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ สีหน้า
ยิ้มแย้ม
แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของกุ้ยเฟยกลับแข็งทื่อในทันใด