พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 467 แยกแยะ
“นี่คือขนมที่ทำขึ้นเพื่อแม่นางผู้นั้นในงานเลี้ยงหรือ”
ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มขณะมองดูขนมและผลไม้ในจานที่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยกขึ้นมาให้
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่ทำเพื่อเลี้ยงแม่นางทานหมดแล้ว ข้าตั้งใจ
ทำให้ฝ่าบาทและไทเฮาตามคำแนะนำจากแม่นางเฉิง เพิ่มเติม
ส่วนประกอบลงไป ฝ่าบาทลองชิมดูพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
พร้อมรอยยิ้ม
ฮ่องเต้หัวเราะขึ้น หันไปเห็นขันทีผู้รับหน้าที่ชิมอาหารได้
ชิมเรียบร้อยแล้วจึงยื่นมือไปหยิบตะเกียบคีบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก
“ไม่เลว” เขาเอ่ยชม
“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมขอกราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เอ่ยพลางคำนับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“ย้ายออกไปตั้งหลายวันแล้ว กลับเข้ามาวันครั้งแรก นั่งต่อ
อีกหน่อยสิ” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น
“ชิ่งอ๋องอยู่ที่ตำหนัก กระหม่อมไม่วางใจ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
พร้อมรอยยิ้ม
ฮ่องเต้พยักหน้า
“แล้วแม่นางเฉิงว่าอย่างไรบ้าง” เขาเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้เชิญแม่นางเฉิงมาเพื่อให้รักษาชิ่งอ๋อง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย เขาคุกเข่าลงอีกครั้ง ท่าทางลังเล
ฮ่องเต้มองดูเขา รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก
“แล้วเพื่ออะไรกัน” เขาเอ่ยถาม
“กระหม่อมเติบโตในวังมาตั้งแต่ยังเล็ก และเหล่าน้องชาย
น้องสาวในวังต่างอายุน้อยกว่า กระหม่อมจึงไม่ค่อยได้รู้จักคน
รุ่นราวคราวเดียวกัน…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องครุ่นคิด แล้วจึงเอ่ยต่อ “เมื่อ
ตอนพาชิ่งอ๋องถ่อไปถึงเจียงโจวเพื่อให้นางช่วยรักษา ต้องบอกเลย
ว่านางช่างตรงไปตรงมาและไร้ซึ่งความปราณี…พูดแต่สิ่งที่ไม่น่าฟัง
ทั้ง
นั้น
…”ฮ่องเต้เผยยิ้มบาง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น แต่ก็
เคยได้สัมผัสถึงความแข็งกระด้างและดื้อรั้นของแม่นางผู้นี้ สิ่งที่นาง
พูดคงจะไม่น่าฟังมากจริงๆ
“ตอนนั้น กระหม่อมโกรธจนแทบจะระเบิด อยากจะให้คน
ตัดหัวนางให้ตายคาที่ และได้พูดจาโหดเหี้ยมใส่นาง” จิ้นอันจวิ้น
อ๋องเอ่ย “แต่พอมานึกย้อนดู ตอนนั้นกระหม่อมเพียงแค่หาที่ระบาย
ความโกรธเท่านั้น ดังนั้นจึงรู้สึกผิดในใจมาตลอด”
“รู้สึกผิดหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม พลางหัวเราะ
“…พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าแม่นางผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา
อะไรใช่ก็บอกว่าใช่ ตอนนั้นลูกข่มขู่นาง นางก็ไม่ได้ว่าอะไร ทุกวันนี้
พอขอโทษนาง นางก็ไม่ได้ว่าอะไรเช่นเดิม…จึงรู้สึกว่า แม่นางผู้นี้
ช่าง…ช่าง…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ฮ๋องเต้มองดูเขา รอยยิ้มฉีกกว้างกว่าเดิม
“ช่างจริงใจหรือ” เขาเอ่ยตอบแทน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบปรบมือหนึ่งครั้ง
“ใช่ ใช่ เป็นอย่างที่ฝ่าบาทว่า” เขาเอ่ยฮ่องเต้หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“เจ้านี่มันอย่างไรกัน กลายเป็นอย่างที่ข้าว่าได้อย่างไร” เขา
หัวเราะพลางมองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าว่านาง
คนนี้ไม่เลวใช่ไหม”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
“ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ เป็นคนเรียบง่าย เข้ากับคนได้ง่าย” เขา
เอ่ย “เหมือนอยู่กับเด็กที่ยังอ่อนต่อโลก บางครั้งก็ดูน่าขัน บางครั้งก็
น่าโมโห”
“เด็กผู้หญิง” ฮ่องเต้เอ่ยเสริม พลางหัวเราะ
“เด็กผู้หญิงหรือ กระหม่อมมิได้สังเกต เด็กผู้หญิงเป็นแบบนี้
หมดหรือ หญิงสาวที่กระหม่อมเคยพบก็ไม่เห็นมีใครเป็นแบบนี้” จิ้น
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางหัวเราะ “กระหม่อมกลับรู้สึกว่านางคล้ายกับ
ลิ่วเกอร์”
ฮ่องเต้พยักหน้า
“ใช่แล้ว คล้ายกัน” เขาถอนหายใจ เอ่ยต่อว่า “คนหนึ่งเคย
สติฟั่นเฟือน อีกคนตอนนี้สติฟั่นเฟือน…”ประโยคสุดท้ายนี้เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบ
ไม่ได้ยิน พูดจบจึงหยิบตะเกียบขึ้นคีบขนมอีกชิ้นเข้าปาก
“ฝ่าบาททรงเสวยแต่น้อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ของหวานๆ
แบบนี้ไม่ดีต่อลำไส้”
ฮ่องเต้หัวเราะพลางวางตะเกียบลง
“กระหม่อมกราบทูลลา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย หันมาขยิบตาให้
ฮ่องเต้ แล้วจึงโค้งคำนับ
ใกล้เวลากลางคืน แสงในตำหนักมืดสลัว ฮ่องเต้มองดูจิ้นอัน
จวิ้นอ๋องเดินออกไปอย่างช้าๆ ดวงตาฉายแววอาลัยอยากจะเรียก
กลับมา เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่งจึงก้มหน้าลง มองดูถาดอาหารที่วางอยู่
ด้านหน้า พลันหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง
“ฝ่าบาท” ขันทีนายหนึ่งรีบเดินเข้ามา “จวิ้นอ๋องทรงกำชับแล้ว
ฝ่าบาทจะเสวยอีกมิได้”
“พวกเจ้านี่เชื่อฟังเขาดีจริงนะ” ฮ่องเต้เอ่ย
ประโยคนี้ฟังดูน่ากลัว แต่ขันทีนายนี้มิได้หวาดเกรง“เหล่าบ่าวไพร่มิได้เชื่อฟังจวิ้นอ๋อง พวกกระหม่อมเชื่อฟัง
ฝ่าบาท” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้ายิ้มแย้ม แล้วจึงยกถาดอาหารออกอย่าง
ไม่ลังเล “ฝ่าบาท อย่ากล่าวโทษจวิ้นอ๋องที่มิได้อยู่ต่ออีกหน่อยเลย
ชิ่งอ๋องเป็นเพียงข้ออ้าง บัดนี้เขาเป็นราชนิกูลแล้ว เข้าออกวังตามใจ
แบบนี้จะถูกราชเลขาธิการร้องเรียนเอา ไม่เหมือนตอนอยู่ในวัง”
“เพิ่งจะเป็นราชนิกูลได้ไม่กี่วัน จะถูกร้องเรียนแล้วงั้นหรือ”
ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
เพิ่งจะพูดจบ เสียงขันทีด้านนอกประตูก็ดังขึ้น
“ฝ่าบาท กุ้ยเฟยเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยกมือขึ้น ขันทีที่ยืนอยู่ข้างประตูจึงดึงประตูเปิดออก
กุ้ยเฟยเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าอมยิ้ม
“อ้าว จวิ้นอ๋องไปแล้วหรือ” นางเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
ฮ่องเต้พยักหน้า
“เหตุใดถึงไปเร็วเช่นนี้ หม่อมฉันยังนึกว่าจะชวนไปเข้าเฝ้า
ไทเฮาและฮองเฮาด้วยกัน” กุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น สีหน้ายิ้มแย้ม “เดี๋ยวนี้สู้เมื่อก่อนแล้วมิได้แล้ว อุตส่าห์มาถึงนี่ เหตุใดจึงไม่อยู่ให้นาน
สักหน่อย”
นางยังไม่ทันพูดจบ ฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นยืน
“สู้เมื่อก่อนมิได้แล้วอย่างไรกัน เหว่ยหลังจะเข้าวังเหตุใด
จึงเป็นเรื่องลำบาก” เขาเอ่ยช้าๆ
กุ้ยเฟยนึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะถือโทษ จึงตกตะลึงในทันใด
“มิ มิใช่เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉัน หม่อมฉันเพียงแค่เสียดาย…”
นางรีบเอ่ยขึ้น
“เสียดายที่เขาเป็นเพียงราชนิกูลแล้วหรือ หากเข้าออกวัง
เหมือนเมื่อก่อนจะถูกร้องเรียนเอาแล้วงั้นหรือ” ฮ่องเต้พูดขัดอย่าง
เย็นชา “ข้าจะรอดูว่าใครหน้าไหนมันจะกล้า!”
พูดจบพลันเดินจากไป
กุ้ยเฟยทั้งอับอายและโกรธเคือง ยืนอยู่กับที่ทำตัวไม่ถูก
สุดท้ายจึงปิดหน้าเดินจากไป
“ข้าเข้าวังมากว่าสามสิบปีแล้ว ฝ่าบาทไม่เคยถือโทษข้าเลย”
“ฝ่าบาทพูดกับข้าแบบนั้นต่อหน้าคนมากมาย…”“…ที่น่าโมโหสุดคือข้ายังมิได้พูดอะไรเลย…”
“…ข้าขอตายเสียยังดีกว่า…”
กุ้ยเฟยอยู่ด้านในตำหนัก เหล่านางกำนัลและขันทีด้านนอก
ต่างพากันก้มหน้า ไม่กล้าเหลือบตามองด้านในแม้แต่น้อย เพียงแต่
ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากด้านใน
“นี่เป็นความผิดของกุ้ยเฟย” เกาหลิงปอเอ่ย
“เป็นความผิดของข้าได้อย่างไร”
กุ้ยเฟยลุกขึ้นจากเตียง หันมาตะคอกใส่
“ข้าพูดอะไรหรือ ข้าตั้งใจไปหาเขาด้วยเจตนาดี ไปขอบคุณ
เขา ใครจะคิดว่าเขาวางหมากเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว!”
“กุ้ยเฟย” เกาหลิงปอขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “มิใช่คนอื่นมีแผนชั่วร้าย
แต่เป็นพวกเราที่ไม่ฉลาดพอ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” กุ้ยเฟยตะคอกอย่างโกรธเคือง
“ข้ารู้ดีว่าเขาไม่มีเจตนาดี มาทำเป็นพูดจาไพเราะเสนาะหูต่อหน้า
ฮ่องเต้เพื่อวางหมากขัดขวางผิงอ๋อง บัดนี้ออกจากวังไปแล้วยัง
ไม่รู้จักปล่อยวาง แต่กลับทำยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”เกาหลิงปอส่ายหน้า
“กุ้ยเฟย ท่านต้องดูภาพใหญ่ ไม่ใช่จับผิดจุดเล็กๆ ” เขาเอ่ย
“บัดนี้ชิ่งอ๋องก็ดี จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ดี และรวมถึงแม่นางเฉิงคนนั้นด้วย
ต่างเป็นเพียงจุดเล็กที่ไม่ควรต้องพูดถึง”
“ได้อย่างไรกัน ถ้านี่เป็นเรื่องเล็ก แล้วเรื่องใหญ่คืออะไร”
กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างร้อนใจ “แล้วถ้าชิ่งอ๋องหายดีเล่า”
“หายดีหรือ แล้วอย่างไรเล่า” เกาหลิงปอเอ่ยขึ้น “ข้อแรกผิง
อ๋องมีวัยวุฒิมากกว่า ข้อสองต่อให้รักษาหายแต่ชิ่งอ๋องก็เคย
สติฟั่นเฟือน หลายปีมานี้ผิงอ๋องถูกเลี้ยงดูมาในฐานะมกุฎราชกุมาร
กุ้ยเฟยคิดว่าใครจะยอมทิ้งผิงอ๋องผู้ซึ่งถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดี
มีวัยวุฒิมากกว่า และเริ่มมีส่วนในงานราชสำ นักแล้ว เพื่อไปเลือก
ชิ่งอ๋องซึ่งเคยสติฟั่นเฟือนถึงสามปี สามปีเชียวนะกุ้ยเฟย!”
แต่ว่าถ้าหากองค์ชายที่ถูกเลี้ยงดูมาในฐานะมกุฎราชกุมารเป็น
คนไม่มีคุณธรรมเล่า
กุ้ยเฟยกำมือที่วางอยู่บนเข่า
เกาหลิงปอมองดูมือของนาง ก้มหน้าลง“กุ้ยเฟยคิดมากไปแล้ว” เขาเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้ว จะมีใครเชื่อ
คำพูดคนของที่เคยสติฟั่นเฟือนหรือ”
ก็จริง กุ้ยเฟยถอนหายใจ
“ตอนนี้สิ่งสำ คัญที่สุดคือขอให้ผิงอ๋องมั่นคง มิจำ เป็นต้องเก่ง
มาก ขอเพียงประพฤติตัวเหมาะสมก็เพียงพอแล้ว” เกาหลิงปอเอ่ย
“ส่วนเรื่องจวิ้นอ๋อง การที่เขาได้ดี ยิ่งไม่ดีต่อเขาเอง ราชนิกูลที่
โดดเด่นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
ครั้งนี้กุ้ยเฟยจึงถอนหายใจยาว แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ก็ยก
มือขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง
“แล้วข้าล่ะ จะทำอย่างไร ฝ่าบาทสงสัยข้า ทำให้ข้าอับอาย ข้า
จะสู้หน้าคนอื่นได้อย่างไร” นางเอ่ยพลางร้องไห้
“กุ้ยเฟยมิต้องทำอะไรเลย ควรจะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้น
” เกาหลิงปอเอ่ย “จำ ไว้ หากท่านไม่ใส่ใจ คนอื่นก็จะไม่ใส่ใจ ยิ่งท่าน
ใส่ใจมากเท่าไหร่ คนอื่นก็จะยิ่งใส่ใจมากเท่านั้น”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น
“ต่อไปกุ้ยเฟยจะประมาทเรียกข้ามากลางค่ำคืนแบบนี้อีกมิได้”เดิมทีกุ้ยเฟยตั้งใจจะขอบคุณเขา เมื่อได้ยินดังนี้จึงส่งเสียงหึ
พลันหันกลับไปนั่งเหมือนเดิม
“เจ้าก็เป็นอำมาตย์ไม่ได้ มิต้องทำตัวเหมือนเฉินเซ่าที่ไม่เข้าวัง
ตอนกลางคืนหรอก” นางเอ่ย
เกาหลิงปอหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยินดังนี้
“แต่ถึงอย่างไรกุ้ยเฟยก็มิใช่ฮองเฮา ข้าจำ เป็นต้องระมัดระวัง”
เขาเอ่ย
ต่อไปเมื่อผิงอ๋องขึ้นครองราชย์ ฮองเฮาจะกลายเป็นไทเฮา
มีตำแหน่งที่ชัดเจน สั่งสอนฮ่องเต้ได้ ลงโทษวังหลังได้ ต่อให้กุ้ยเฟย
จะเป็นพระมารดาของฮ่องเต้ แต่หากเกิดเรื่องขึ้น ราชสำ นักก็
ไม่มีทางเข้าข้างนาง
ดังนั้นนางจึงจำ เป็นต้องมีขุนนางในราชสำ นักที่สามารถช่วย
ทำให้ตำแหน่งนางมั่นคง และไม่ถูกคนเล่นงานได้ง่าย
ถึงแม้ตอนนั้นเกาหลิงปอจะไม่ได้อยู่ในราชสำ นัก แต่อำนาจที่
เขาสั่งสมมาก็ยังสามารถทำสิ่งนี้ได้
กุ้ยเฟยรู้เรื่องนี้ดี จึงส่งเสียงเย้ยหยัน แล้วจึงโบกมือไล่เกาหลิงปอรีบก้าวออกมา
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า โผล่ขึ้นมาจากอีกฝั่ง วันใหม่เริ่มต้นขึ้น
อีกครั้ง
“สิบสาม สิบสาม”
เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านในห้อง ท่านชายฉินสิบสามซึ่งยืนดูนก
ในกรงบนระเบียงอยู่ขานรับพร้อมหันไปมอง
ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่น้องต่างนั่งประจำ ที่กันครบแล้ว
“มาแล้ว มาแล้ว” เขารีบเข้าไป ยืนสะบัดเสื้อหน้าโต๊ะตัวเอง
แล้วนั่งลง เห็นอาหารมื้อใหญ่กว่าเมื่อวานตั้งอยู่ตรงหน้า
“ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่” เขาเอ่ยขึ้นพลางคำนับ
บรรยากาศภายในห้องครึกครื้นขึ้นมา
“ยินดีกับฉินหูที่โตขึ้นอีกปี” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ยขึ้นพลาง
หัวเราะ
เหล่าพี่น้องต่างพากันยกถ้วยเหล้าขึ้น ท่านชายฉินสิบสามยก
ถ้วยขึ้นเช่นกัน สีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนทุกคนจะดื่มพร้อมกันเนื่องจากอายุยังน้อย ยังจัดงานเลี้ยงไม่ได้ เพียงแค่มีอาหารที่
อุดมสมบูรณ์กว่ามื้อปกติเล็กน้อยก็เพียงพอ ดังนั้นผ่านไปไม่นาน
ทุกคนก็กินเสร็จและแยกย้ายกันแล้ว
ท่านชายฉินสิบสามได้รับของขวัญจากพี่น้อง เขายกของขวัญ
กลับห้อง ภายในห้องเขามีของขวัญชิ้นอื่นวางกองอยู่แล้ว
บ่าวคนหนึ่งนั่งเอ่ยรายชื่อคนที่ส่งของขวัญแต่ละชิ้นมา
“ท่ายชายโจวหกให้อะไรมา” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ว่ายังส่งมาไม่ถึงนะ”
“ถึงแล้วขอรับ เช้าตรู่วันนี้เพิ่งมาถึง” บ่าวเอ่ยพลางหัวเราะ
พลันยกของขวัญกล่องใหญ่ออกมาก
ท่านชายฉินสิบสามเผยยิ้ม ส่งมาถึงวันนี้แปลว่าคำนวณเวลา
มาอย่างดี
เขายื่นมือไปเปิดกล่อง เห็นมีดสั้นด้ามหนาวางอยู่ด้านใน
“ไม่รู้ว่าใครซวยถูกเขาขโมยมา” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ควง
มีดสั้นเล่นอย่างสนใจ“สู้ด้ามที่ท่านชายเคยมอบให้เขามิได้หรอก” บ่าวคนหนึ่งเอ่ย
ขึ้น
“เจ้าไม่รู้อะไร ท่านชายอยากได้ของดีหรือ ต้องดูเจตนา
เป็นหลักอยู่แล้ว” บ่าวอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางส่ายหน้า
ท่านชายฉินสอบสามหัวเราะร่า โยนมีดสั้นเล่มนั้นให้บ่าว
“เอาไปแขวนไว้ในห้องหนังสือ” เขาเอ่ย
บ่าวขานรับพลันออกไปทำตาม
ท่านชายฉินสิบสามหันกลับมา เดินเข้ามาใกล้พลางมองดูกอง
กล่องของขวัญ
“แล้วของแม่นางเฉิงล่ะ” เขาเอ่ยถาม
“ส่งมาให้แล้วเหมือนกันขอรับ” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยตอบ พลันรีบ
หันไปหาในกองกล่องของขวัญ
ท่านชายฉินสิบสามถอนหายใจ
“ทำไมไม่วางแยกเอาไว้เล่า” เขาเอ่ยพลังมองดูบ่าวสองคน
ควานหา
“เจอแล้ว!”บ่าวคนหนึ่งตะโกนขึ้น ยกของชิ้นหนึ่งออกมาด้วยความดีใจ
พลางมองดูแผ่นกระดาษที่แปะอยู่บนนั้น
เมื่อเห็นของที่บ่าวหยิบออกมา ท่านชายฉินสิบสามจึงเข้าใจว่า
ทำไมจึงหาไม่เจอในทันที
ของขวัญที่ส่งมามีสามประเภทเท่านั้น ประเภทแรกคือหมึก
กระดาษและปากกา ประเภทที่สองคือ ถุงบุหงาสำ หรับห้อยหยก
แขวน ส่วนอีกประเภทคือของแปลกประหลาดเหมือนที่ท่านชายโจว
หกส่งมา
ของที่บ่าวถืออยู่ในมือตอนนี้หยิบออกมาจากกองของประเภท
หมึก กระดาษ และปากกา เป็นกล่องหน้าตาธรรมดาจึงถูกทับถมจน
มองไม่เห็น
ท่านชายฉินสิบสามยื่นมือไปรับ นั่นคือแท่นฝนหมึกของร้านมี
ชื่อในเมืองหลวง เป็นของมีราคา ไม่ได้ด้อยไปกว่าแท่นฝนหมึกที่
คนอื่นส่งมาให้เลย
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ เขากำกล่องของขวัญในมือไว้แน่น“ต้องเป็นของที่ผู้ดูแลใหญ่ปั้นฉินเลือกมากับมือแน่” เขาเอ่ย
“ผู้ดูแลใหญ่ปั้นฉินพิถีพิถันในการเลือกของขวัญอยู่แล้ว