พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 468 เส้นทาง (1)
เมืองหลวงยามเดือนสิบเอ็ด ท้องฟ้ามืดครึ้มอากาศ
หนาวเหน็บ
เมฆดำปกคลุมตั้งแต่เช้ามืด สายลมโบกพัดจนคนเดินถนน
ต้องจ้ำ เท้าหดคอเดิน
รถม้าสองคันจอดลงใกล้กับหน้าเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจาก
ประตูเมือง ขัดจังหวะหญิงสาวสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่หน้า
ประตู
“ปั้นฉิน” พอเห็นดังนั้นสาวใช้ก็โบกมือส่งยิ้มให้
สาวใช้นางในชุดผ้าฝ้ายสวมหมวกคลุมหน้าโบกมือกลับพลาง
ลงจากรถม้า ใบหน้านั้นยิ้มแย้มแจ่มใส
พอเห็นนางเดินเข้ามา สาวใช้อีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกันก็
หันหลังเดินจากไปในทันที“เอ๊ะ ข้ายังพูดไม่จบเลย” สาวใช้เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
มองดูแผ่นหลังของสาวใช้ตัวน้อยก่อนพูดต่อ “มีเรื่องอันใดก็ไปหาข้า
ที่ร้าน อย่ามีที่เรือนเช่นนี้เลย”
สาวใช้ตัวน้อยก้มหน้าไม่รู้ว่าได้ยินที่อีกฝ่ายพูดหรือไม่ แต่
ฝีเท้ายังคงก้าวฉับหักเลี้ยวไปอีกทางจนลับตาไป
“สาวใช้ที่ซื้อตัวมาใหม่หรือ ข้าทำให้นางกลัวหรือ เหตุใด
ถึงวิ่งหนีไปเช่นนั้น” สาวใช้เดินเข้ามาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อน
จะเห็นว่าสาวใช้ตัวน้อยอีกคนนั้นหายวับไปกับตาแล้ว
“ก็ใช่น่ะสิ แม่ครัวตระกูลจางชื่อเสียงโด่งดังเสียขนาดนั้น
น่ากลัวจะตายไป” สาวใช้เอ่ยพลางหัวเราะพลางคว้ามือนางขึ้นมา
“ไม่ใช่สาวใช้ที่ซื้อมาใหม่หรอก นางมาหาท่านชายเฉิงสี่น่ะ เป็นคน
เจียงโจวเหมือนเจ้าด้วย”
“เป็นคนเจียงโจวเหมือนกับข้าหรือ” สาวใช้ตกใจไม่น้อย “ผู้ใด
กัน”
“จะว่าไปก็นางก็มีชื่อเสียงอยู่เหมือนกันนะ” สาวใช้เอ่ยด้วย
รอยยิ้ม “เป็นสาวใช้ของแม่นางจูบุปผางามแห่งเมืองหลวงน่ะสิ”สาวใช้หน้านิ่งไป
“ท่านพี่ อย่าได้พูดเหลวไหล ท่านชายสี่จะไปรู้จักกับนางคณิกา
เช่นนั้นได้อย่างไร” นางเอ่ย
“พอเป็นสาวใช้ตระกูลจางแล้วก็รู้จักอะไรควรไม่ควรกับเขา
เสียด้วย” สาวใช้เอ่ยพลางหัวเราะ
“ท่านพี่ เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไป ท่านชายสี่จะแย่เอานะ
เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ย “ท่านพี่เองก็ใช่ว่าจะไม่รู้”
“ใช่ ข้ารู้อยู่แล้ว ท่านชายสี่กับแม่นางจูไม่ได้เกี้ยวพาราสีกัน
สาวใช้นางนั้นก็ไม่ได้มาบ่อยนักหรอก เป็นเด็กน้อยที่ถูกขายต่อ
มาจากเจียงโจวอีกทอดหนึ่ง สองปีก่อนบังเอิญได้พบกับท่านชายสี่
ปกติแล้วก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน แต่วันนี้ท่านชายเฉิงสี่เข้าเมืองหลวง
มาพอดี นางจึงแค่มาทักทายเท่านั้น” สาวใช้เอ่ย
สีหน้าของสาวใช้อีกคนถึงได้คลายกังวลลง ก่อนจะเหลียวมอง
ไปทางที่สาวใช้ตัวน้อยนางนั้นวิ่งออกไป
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านางวิ่งหนีไปเพราะกลัวข้า” นางเอ่ย“ก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่านางกลัวเจ้า” สาวใช้เอ่ยพลางลาก
นางเข้ามาด้านใน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “เหตุใดวันนี้เจ้าถึง
มีเวลาว่างมาหาได้”
“เพราะจู่ๆ ในเมืองหลวงก็มีปั้นฉินผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด ข้า
จางปั้นฉินผู้นี้ถึงได้ไหมดประโยชน์แล้วอย่างไรเล่า” สาวใช้ส่งเสียง
ฮึดฮัด “ว่างเสียจนไม่มีแม้แต่เงินสินน้ำใจไว้ใช้ ถึงได้มาขอข้าวท่าน
กินที่นี่”
สาวใช้หัวเราะจนหลังแอ่น พลางลากตัวนางเข้ามาข้างใน
เสียงหัวเราะในห้องดังขึ้นไม่หยุด
ริมกำแพงในตรอกอีกฝั่ง ชุนหลิงกำลังชะโงกหน้าออกมามอง
อย่างระแวง ใบหน้านั้นตื่นตระหนกราวกับขวัญหนี นางยกมือตบ
เบาๆ บนอก กัดริมฝีปากล่างแน่น
ปั้น
ฉินผู้นั้นเคยเห็นหน้านาง…
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่านางจะจำ ตนได้หรือไม่
ชุนหลิงหัวใจเต้นตุ้มต่อมพลางยกมือขึ้นแนบกับใบหน้าของ
ตัวเองตอนนี้นางอายุได้สิบสองปีแล้วใบหน้าย่อมดูโตขึ้น แต่เค้าโครง
นั้น
ไม่อาจเปลี่ยนไปได้ จึงจำ ต้องระวังตัวอยู่ไม่น้อย
หากนางจำ ตนได้ หญิงใจดำอำมหิตที่ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น
อย่างนาง แม้แต่ตอนนั้นนางยังไม่เหลือหนทางให้ตนกับน้องสาว
มีชีวิตรอด หากเป็นตอนนี้ก็คงไม่ปล่อยนางไปแน่
นางไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวว่าจะตายอย่างสูญเปล่า
ชุนหลิงเหลียวกลับไปมองเรือนและรถม้าอีกฝั่ง ก่อน
จะเงยหน้าขึ้นแล้วสัมผัสกับความเปียกชื้นอันหนาวเหน็บ
หิมะตกแล้ว
นางก้มหน้าพลางยกมือขึ้นกุมหัวแล้วรีบเดินออกไป
“หิมะตกแล้ว!”
แม่นางเฉิงเจ็ดเลิกม่านรถขึ้นตะโกนเอ่ย
“รีบปิดม่าน หนาวจะตายอยู่แล้ว”
ฮูหยินรองเฉิงตวาดลั่นกลับในทันใด ก่อนจะดึงตัวแม่นางเฉิง
เจ็ดเข้ามาใกล้ ในมือของนางอุ้มตะเกียงอุ่นมือเอาไว้ ส่วนเข้าก็ย่ำอยู่
บนตะเกียงอุ่นเท้าเช่นกัน ใบหน้ายังคงซีดขาวเพราะความหนาว“เวรกรรมแท้ๆ เชียว!” นางเอ่ยออกมาแล้วเลิกม่านขึ้นอีกครั้ง
“อีกไกลเท่าใดกว่าจะถึงศาลาพักม้า”
“ฮูหยิน อีกห้าหกลี้ขอรับ” ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
อีกห้าหกลี้อย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้นฮูหยินรองเฉิงก็ดูร้อนรนยิ่งกว่าเดิม ยามมองดู
ม้าผอมโซที่กำลังลากรถอยู่
“ข้าบอกแล้วให้เปลี่ยนม้าที่ดีกว่านี้เสียหน่อย ก็ไม่มีใครฟัง!
หน้าหนาวแบบนี้ผู้ใหญ่ยังทนไม่ไหว แล้วพวกเด็กๆ จะทำอย่างไร”
นางลดม่านรถลงแล้วพูดกับนายรองเฉิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าภายในรถ
นายรองเฉิงห่มเสื้อคลุมผืนใหญ่อุ้มลูกชายอยู่ ทั้งสองคนโผล่
ออกมาให้เห็นเพียงแค่ศีรษะเท่านั้น กำลังลังหยอกล้อกันหัวเราะ
คิกคัก
“จะโทษใครได้เล่า” เขาได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้น “ต้องโทษเจ้าที่
เอาเงินมาไม่ได้ แค่ค่าเดินทางก็ไม่พอใช้แล้ว จะเอาเงินที่ได้ไปซื้อ
ม้าดีๆ”“ข้าเอาเงินมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ เพราะพี่สะใภ้ท่านไม่ยอมให้
ต่างหาก รู้ทั้งรู้ว่าพวกเราจะเข้าเมืองหลวง ยังไม่ยอมให้คนเพิ่มเงิน
ให้อีก พ่อบ้านเฉาจอมมือเติบนั่นใช้เงินของเราอย่างกับเทน้ำทิ้ง แต่
พอมีเรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่โผล่หัวมาเลย…”
“ไว้ค่อยจัดการเขาทีหลัง” นายรองเฉิงเอ่ย “ก็แค่บ่าวไพร่ที่
ตระกูลโจวที่ส่งมาจับตาดูเด็กบ้านั่น ทำตัวยโสโอหังนัก รอพวกเรา
ถึงเมืองหลวงก่อนเถิด ก็จะไม่มีอันใดต้องข้องเกี่ยวกับตะกูลโจวแล้ว
”
ฮูหยินรองเฉิงพยักหน้า ใจจดใจจ่ออยากจะให้ถึงเมืองหลวง
โดยเร็ว
“หากถึงศาลาพักม้าครั้งนี้ จะได้เปลี่ยนเป็นม้าดีๆ สักตัว
ไม่ต้องเสียเงินด้วย” นางเอ่ย
“พูดจาเพ้อเจ้อ ศาลาพักม้าจะยอมให้พวกเราใช้ม้าอย่างนั้น
หรือ” นายรองเฉิงเอ่ยพลางส่ายหน้า ไม่สนใจฮูหยินรองเฉิงอีกต่อไป
ก่อนจะหยอกล้อกับลูกชายในอ้อมอกต่อ “ซีเกอร์เด็กดี ขี่ม้าตัวใหญ่
เข้าเมืองหลวง กินลูกอม อยู่บ้านหลังใหญ่…”เด็กน้อยหัวเราะชอบใจยามถูกหยอกล้อ แม่นางเฉิงเจ็ดเบียด
ตัวเขาไปเขย่าแขนของนายรองเฉิง
“…หญิงเจ็ดก็อยากอยู่เรือนหลังใหญ่เหมือนกันเจ้าค่ะ… แล้วก็
อยากซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับใหม่ด้วยเจ้าค่ะ…” นางเอ่ย
“เอาละ เอาละ ซื้อ ซื้อ ซื้อให้หมด” นายรองเฉิงที่ถูกลูกสาว
ออดอ้อนก็ยิ้มออกมาอย่างชื่นใจ ”ซื้อให้พวกเจ้าทั้งหมด แม้แต่ดาว
บนท้องฟ้าพ่อก็จะซื้อให้เจ้า”
ฮูหยินรองเฉิงเห็นพ่อลูกมีความสุขก็เม้มปากยิ้มตาม พลางเขี่ย
ตะเกียงอุ่นไปใต้เขาเขา
ยามฟ้าใกล้มืด ในที่สุดก็มาถึงศาลาพักม้า ศาลาพักนี้ไม่ได้
มีห้องหับใหญ่โต แต่ไม่เหมือนสถานีพักม้าอื่นที่เก่าทรุดโทรม
เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่
“ตอนนั้นถูกไฟไหม้จนหมด ราชสำ นักจึงส่งเงินมาให้สร้างใหม่
” บ่าวของศาลาพักม้าที่หน้าประตูเอ่ยขึ้น ก่อนจะรีบ เขารับตั๋วศาลา
พักม้าจากนายรองเฉิงก่อนจะทำสีหน้าลำบากใจ “ขออภัยด้วยขอรับ
ใต้เท้า ยามนี้เหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียว”เหลือแค่ห้องเดียวอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินรองเฉิงเหลียวกลับมา พลางมองดูลูกสาวสามคนกับ
ลูกชายอีกหนึ่ง รวมกับพวกนางสองสามีภรรยา แล้วก็ยังมีแม่นม
สาวใช้อีกตั้งเจ็ดแปดคนพร้อมทั้งผู้ติดตามอีกสิบกว่าชีวิต
เพียงเท่านี้ก็ยืนเบียดเสียดกันจนเต็มลานของศาลาพักม้าแล้ว นาง
จึงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
“ไม่มีห้องพักได้อย่างไร” นางตะโกนลั่น “หิมะก็จะตกแล้ว เจ้า
ให้พวกเราอัดกันอยู่ในห้องเดียวอย่างนั้นหรือ”
“อย่างน้อยก็ขอสักสามห้องก็ได้” นายรองเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้า
ไม่สบอารมณ์นัก พลางแกว่งราชโองการแต่งตั้งในมือไปมา หมาย
จะให้บ่าวประจำ ศาลาพักม้าที่ไม่ดูตาม้าตาเรือผู้นี้รู้ว่าเขาเป็นใคร
“ขุนนางของศาลต้าหลี่ เป็นขุนนางศาลต้าหลี่แล้วอย่างไรเล่า
จะให้ไล่คนในนี้ออกไปอย่างนั้นหรือ”
ผู้ดูแลศาลาพักม้าได้อ่านแล้วก็ไม่พอใจสักเท่าไหร่ พลางชี้นิ้ว
ไปที่พายุหิมะด้านนอก“ลืมไปแล้วหรือว่าคราวก่อนศาลาพักม้าถูกเผาเพราะเหตุใด
จะก่อเรื่องให้ต้องไฟไหม้กันอีกหนหรือ”
บ่าวประจำ ศาลาพักม้าพยักหน้า
“นั่นสิขอรับ คนพวกนั้นก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่เช่นนี้” เขา
เอ่ยเสริม
นั่นหมายความว่าถึงจะจ่ายเงินเพิ่มอีกมากเท่าใดพวกเขาก็
ไม่อยากจะรับไว้
ผู้ดูแลศาลาพักรู้สึกขยาดขึ้นมาในทันใด
“เหตุใดถึงไม่มีห้อง…”
“…ที่นี่ไม่ใช่ศาลาพักม้ารึ”
“…พวกข้ามีทั้งตั๋วมีทั้งราชโองการ เหตุใดถึงพักที่นี่ไม่ได้”
ภายในศาลาพักม้าเสียดังโหวกเหว ทารกน้อยในอ้อมอกของ
แม่นมร้องไห้งอแง เหล่าแม่นางน้อยที่หลบอยู่หลังสองสามีภรรยาก็
พากันตัวสั่นงันงก นำพาสายตาผู้คนทั้งนอกทั้งในให้มองมา
คนบนโต๊ะหนึ่งท่ามกลางโถงใหญ่ที่แออัดไปด้วยผู้คนส่งเสียง
ฮึดฮัด“ทุกวันนี้เหล่าขุนนางชักจะแหกกฎเกณฑ์กันเกินสมควรแล้ว
เขามีราชโองการก็จริง แต่ลูกเมียของเขาก็มีด้วยหรือ” ชายหนุ่มคน
หนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูไม่ชอบใจนัก
ชายสูงวัยฝั่งตรงข้ามไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะโบกมือปรามเขา
หนุ่มน้อยถึงได้หยุดพูดไป
“…นายท่านของข้าแซ่เฉิงเชียวนะ… จะไปเป็นขุนนางที่ศาล
ต้าหลี่…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของประโยคหนึ่งลอยเข้ามาจากด้านนอก
“ขุนนางแบบนี้น่ะหรือจะไปศาลต้าหลี่…” เด็กหนุ่มหัวเราะขึ้น
มาแล้วพูดต่อ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงโต๊ะเก้าอี้ด้านหลัง
เคลื่อนไหว ใครคนหนึ่งยืนขึ้น
พวกเขาหันหลังไปมองตามสัญชาตญาณ ก็เห็นว่าเหล่าคน
มากมายกำลังคุ้มกันชายวัยกลางคนผิวขาวร่างท้วมคนหนึ่ง
“โหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ” ชายผู้นั้นเอ่ย
พลางส่ายหน้า ขณะเดียวกันก็ก้าวฉับเดินออกไปข้างนอก เหล่าองค์
รักษ์ข้างกายก็รีบตามไปในทันที“ทูตสวรรค์จะออกโรงแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกระซิบ
ผู้คนมากมายในห้องโถงต่างพากันจับจ้องไปที่ชายผู้นั้น
พร้อมทั้งเผยสีหน้าตื่นเต้น
ชายผู้นี้เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน แต่ยามก้าวเข้าประตูมาก็มี
เสียงประกาศดังลั่น ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาคือราชทูตผู้นำ
ส่งราชโองการของฮ่องเต้จากเมืองหลวง แม้จำ ต้องประกาศตาม
ธรรมเนียมประเพณี แต่เขานั้นก็อ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังขอห้องพัก
เพียงแค่ห้องเดียว ส่วนเหล่าองครักษ์ก็ปูฟูกนอนเรียงราย ยามนี้
พวกเขากำลังกินดื่มกันอย่างเรียบง่ายในห้องโถง
นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะลุกขึ้นมาออกหน้าในยามนี้ ท่าทาง
คงได้เห็นฉากละครผู้ตรวจการสวรรค์ปราบขุนนางชั่วเสียแล้วกระมัง
คนมากมายในห้องโถงลุกยืนขึ้นแล้วเดินตามออกไปอย่างอด
ไม่ได้ หมายจะได้ดูละครฉากใหญ่
“…ใต้เท้า เช่นนั้นท่านจะให้ข้าทำเช่นไร” บ่าวของศาลาพักไม่รู้
ว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เขายังคงมองไปที่นายรองเฉิงและหมู่คณะ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย “จะให้ไล่ชาวบ้านในนี้
ออกไปอย่างนั้นหรือ”
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”
เสียงตำหนิดังขึ้นจากด้านหลัง บ่าวประจำ ศาลาพักม้าสะดุ้ง
ตกใจพลันเหลียวกลับไปมอง พอเห็นว่าผู้ใดเดินเข้ามาก็ค้อมตัว
คำนับในทันใด
“ใต้เท้า ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้นขอรับ เพียงแต่
ใต้เท้าท่านนี้ดึงดันจะ…” เขารีบเอ่ยอย่างร้อนรน
นายรองเฉิงโมโหกระทืบเท้า
ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าขุนนางผู้น้อยนั้นเล่ห์เหลี่ยมนัก เขาเป็น
ขุนนางมาก็หลายปีแต่ยังไม่เคยถูกผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดกลั่นแกล้ง
มาก่อน นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกบ่าวประจำ ศาลาพักม้าสาดโคลน
ใส่ระหว่างทางเช่นนี้
“เจ้า…” เขายกมือชี้นิ้วไปทางบ่าวผู้นั้นหมายจะด่าทอ แต่กลับ
มีคนเอ่ยขึ้นมาก่อน“กล้าดีอย่างไรถึงยกชาวเมืองมาข่มขู่ราชโองการของ
ราชสำ นักเช่นนี้!โทษนี้ต้องประหารเท่านั้น” ชายผู้นั้นตวาดลั่น
ไม่เพียงแค่พูด แต่ยังง้างมือตบอีกคนหนึ่งอย่างแรง
บ่าวประจำ ศาลาพักม้าถูกตบจนแทบล้มลงไปกองบนพื้น ยัง
ไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ชายผู้นั้นก็ปรี่เข้าไปหานายรองเฉิงเสียแล้ว ทั้ง
ยังคำนับให้อย่างนอบน้อม
“ที่แท้ก็ใต้เท้าเฉิงนี่เอง” เขาเอ่ย “เสียมารยาทแท้ เสียมารยาท
แท้”