พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 468 เส้นทาง (2)
เหล่าผู้คนที่มามุงดูความคึกครื้นหน้าประตูก็พากันโห่ร้องแล้ว
แยกย้ายในทันใด รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ เหตุการณ์ที่คาดหวัง
คงเกิดขึ้นแต่ในละครเท่านั้น
เพียงแต่ราชทูตยังเคารพถือคนผู้นี้เสียขนาดนั้น เขาใหญ่โต
ขนาดนั้นเชียวหรือ
ทุกคนพากันคาดเดากันไปต่างๆ นานา ส่วนราชทูตก็ก่นด่าสั่ง
สอนผู้ดูศาลาพักม้าที่เพิ่งตามมายกใหญ่
“ขอรับ ขอรับ ใต้เท้าโปรดวางใจ จะจัดการให้ทันทีขอรับ”
ผู้ดูแลศาลาพักม้าพยักหน้าไม่หยุดพลางเอ่ย ก่อนจะเดินนำนายรอง
เฉิงพร้อมทั้งฮูหยินและคนอื่นๆ ไปทางด้านหลังด้วยตนเอง
นายรองเฉิงกู้หน้ากลับคืนมาได้ สีหน้าจึงดูสดใสขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าคือ…” เขาคำนับคืนพลางเอ่ยถาม“ข้านามว่าซูจิ่งเหวิน ประจำ อยู่สำ นักราชเลขา” ชายผู้นั้นเอ่ย
ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้าหลวงซูนี่เอง” นายรองเฉิงคำนับให้ด้วยใบหน้าเปรมปรี
เป็นขุนนางเมืองหลวงก็ดีเช่นนี้นี่เอง จะทักทายผู้ใดเรื่อยเปื่อย
ก็ล้วนแต่เป็นขุนนางสำ นักราชเลขาทั้งนั้น
“ท่านข้าหลวงซูออกไปราชการต่างเมืองมาหรือ” เขาถาม
“ข้าน้อยได้รับบัญชาให้ไปตรวจการภัยพิบัติที่เม่าผิงขอรับ”
ข้าหลวงซูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม มือหนึ่งก็คว้าแขนของนายรองเฉิงเอาไว้
“ใต้เท้าเฉิง พวกเราไปคุยกันข้างในเถิด”
พอเห็นเขาหันหลังกลับมา เหล่าองครักษ์ข้างกายก็หันหลัง
กลับตามแล้วเข้าไปในห้องโถงทันที ทว่าคราวนี้กลับชักสีหน้าบึ้งตึง
ไร้ความเกรงใจใดใดทั้งสิ้น
“ถอยไป ถอยไป” พวกเขาตะโกนลั่น “เหล่าใต้เท้าจะคุย
ราชการบ้านเมืองกัน ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด”
เพราะเหตุผลนี้ไม่อาจโต้เถียงได้ ทันใดนั้นก็โกลาหลขึ้นมา คน
หลายสิบถูกไล่ตะเพิดออกไป โต๊ะห้าตัวว่างเปล่า นายรองเฉิงนั่งลงบนโต๊ะเดียวกันกับข้าหลวงซู ส่วนคนอื่นจากตระกูลเฉิงก็นั่งลงบน
โต๊ะตัวอื่น
คนในห้องโถงไม่กล้าโวยวาย ทั้งยังไม่กล้าส่งเสียง ชายหนุ่ม
กำลังจะลุกยืนขึ้นแต่กลับถูกชายสูงวัยรั้งไว้เสียก่อน
“ท่านพ่อ…” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเอ่ย
“ไม่ถูกเวลา ไม่มีเหตุผล” ชายสูงวัยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
ทั้ง
สองเหลียวไปมอง ก็เห็นนายรองเฉิงกับข้าหลวงซูดื่มสุรา
พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เสียงพูดคุยลอยมาให้ได้ยิน
เป็นระยะ
“…ต้องโทษที่ข้ามีตาหามีแววไม่ ถึงได้ไม่รู้จักข้าหลวงซู…”
“…ใต้เท้าเฉิงไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลก แต่หากข้าไม่รู้จักใต้เท้าเฉิงสิ
ถึงจะแปลก…”
“…เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นเล่า”
“…ใต้เท้าเฉิงสร้างคุณูปการใหญ่หลวง”
“…ข้าหลวงซูพูดเป็นเล่น ข้าเองก็เป็นขุนนางไร้ผลงานจากต่าง
เมือง เพียงแต่ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเท่านั้น ไม่มิบังอาจอวดตนว่าสร้างคุณูปการแต่อย่างใด“
“…ลูกสาวของใต้เท้าเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่พี่น้อง
แม้แต่สวรรค์ยังสดับรับฟัง…”
“…น่าละอายนัก น่าละอายนัก เป็นเพราะลูกสาวข้านั้นดื้อรั้น
ครั้งนี้ข้าจะไปรับผิดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท…”
ได้ยินเพียงเท่านั้น ชายสูงวัยและเด็กหนุ่มก็หันมาสบตากัน
ต่างเข้าใจความหมายในแววตาของอีกฝ่าย
“แม่นางเฉิงถวายธนูเสินปี้ นั่นเป็นอาวุธวิเศษเชียวนะ สร้าง
คุณูปการใหญ่หลวงให้แก่บ้านเมือง ใต้เท้าเฉิงที่เลี้ยงดูนางมา
จะเรียกว่าไม่ได้สร้างคุณงามความดีให้แก่แผ่นดินได้อย่างไร”
เสียงหัวเราะดังลั่นลอยมา พากันให้คนทั้งห้องโถงเหลือบตา
มอง
นายรองเฉิงยังคงหัวเราะไม่หยุดก็พลันยกจอกเหล้าขึ้น ใบหน้า
ของเขาแดงก่ำก่อนจะยกเหล้าดื่มจนหมด
“มา มา ใต้เท้าเฉิง ข้าน้อยรินเหล้าให้ท่าน” องครักษ์ที่อยู่ข้าง
กันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกเหยือกเหล้ารินให้ด้วยตัวเอง“มิกล้าดอก มิกล้าดอก” แม้ปากนายรองเฉิงจะพูดเช่นนั้นแต่ก็
ไม่ได้ปฏิเสธ พอเห็นองครักษ์ในชุดเกราะ ก็อดนึกลำพองใจขึ้นมาไม่
ได้
เห็นแล้วหรือไม่ นี่คือทหารของโอสรแห่งสวรรค์ ผู้คุ้มกันโอสร
แห่งสวรรค์เชียวนะ กำลังรินเหล้าให้ข้ากับมือเชียวละ
เห็นได้ชัดว่าขุนนางต่างถิ่นกับขุนนางราชสำ นักนั้นแตกต่างกัน
เพียงใด เรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวยังได้
นับแต่นี้เป็นต้นไป เฉิงต้งผู้นี้จะได้เป็นใหญ่เป็นโตกับเขาแล้ว
หลังจากกินดื่มกันจนอิ่มหนำ เป็นเพราะเดินทางมาไกล นาย
รองเฉิงที่เริ่มกรึ่มๆ ก็นำเหล่าคนของตนขอตัวลาแล้วกลับไปพักผ่อน
ที่ห้อง พอเห็นเขาขอตัวลา ข้าหลวงซูก็พาคนของตนกลับไปพักผ่อน
เช่นกัน เหล่าคนที่หนาวจนแทบแข็งตายด้านนอกก็กรูกันเข้ามา
ก่อนจะสุมหัวกันในโถงใหญ่พลางถกเถียงกันเกี่ยวกับที่มาที่ไปของ
ใต้เท้าเฉิงผู้นั้น ว่าเหตุใดราชทูตถึงได้เคารพนบน้อมเขาปานนั้น
“…นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าไม่ได้ยินที่ราชทูตพูดหรือว่าเขา
แซ่เฉิง ทั้งยังมีลูกสาวที่สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่แผ่นดิน”มีคนหนึ่งเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
คำพูดนั้นพาให้ทุกคนตั้งคำถามกันยกใหญ่
“หากมีลูกสาวที่สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่บ้านเมืองปาน
นั้น
เช่นนั้นก็เป็นเทพเซียนน่ะสิ”
“…เป็นลูกศิษย์ที่สืบทอดวิชาสายตรงมาจากนักพรตหลี่ต่างหา
ก…”
“…เช่นนั้นยังไม่เรียกว่าเทพเซียนอีกหรือไร!”
“…ถึงว่าละราชทูตถึงได้เคารพยำเกรงเขาเพียงนั้น…”
พอได้ยินคนในห้องโถงเริ่มเพ้อเจ้อไปกันใหญ่ ชายหนุ่มก็ทน
ฟังต่อไปไม่ไหว
“ท่านพ่อพวกเรากลับไปที่ห้องกันเถิด” เขาเอ่ยเสียงต่ำ
ชายสูงวัยพยักหน้า ทั้งสองลุกยืนขึ้น ก่อนจะยกมือคำนับให้แก่
ชายวัยกลางคนร่างผอมโซในชุดเสื้อผ้าแสนเรียบง่ายที่นั่งร่วมโต๊ะ
อยู่เพียงคนเดียวตรงหน้า
“ท่านขุนนาง พวกข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน” ชายหนุ่มคนลูก
เอ่ย“เชิญท่านบัณฑิตเถิด” ชายวัยกลางคนคำนับกลับพลางเอ่ย
“ท่านขุนนาง หากท่านไม่มีที่พัก จะมาพักร่วมกับพวกข้าก็ได้
นะขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ย
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า พลางยกมือคีบผักจานเล็กตรงหน้า
ขึ้นมากินอย่างอ้อยอิ่ง อีกมือหนึ่งก็ชี้ไปยังเหล่าชาวบ้านที่นั่งอยู่
มุมห้อง
“พวกเขานอนที่นั่นได้ ข้าก็ย่อมนอนได้” เขาเอ่ย
“เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน” ชายสูงวัยเอ่ย ทว่าเดินไปได้ไม่กี่
ก้าวก็เอ่ยกระซิบกับชายหนุ่มว่า “หยวนเฉา เจ้าไปจ่ายเงินค่าเหล้า
ให้ใต้เท้าผู้นั้นเสีย”
ที่แท้สองพ่อลูกก็คือสองพ่อลูกหันหยวนเฉา ยามนี้หันผู้พ่อได้
เลื่อนตำแหน่งจึงมาเข้าเมืองหลวงมาเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ส่วนหัน
หยวนเฉาเข้าเมืองหลวงมาเพื่อเตรียมสอบ สองพ่อลูกจึงเดินทาง
มาพร้อมกัน
หันหยวนเฉานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า“ข้าว่าใต้เท้าผู้นั้นคงไม่รับ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา พลางเหลียว
กลับไปมองชายที่นั่งอยู่เดียวดายผู้นั้น
แม้คืนนี้พวกเขาจะได้ร่วมโต๊ะกัน แต่ทั้งสามต่างก็ไม่ใช่คน
ช่างพูด ตลอดทั้งคืนนอกจากประโยคที่เอ่ยถามตามมารยาทไม่กี่คำ
ก็ไม่ได้สนทนากันแม้แต่น้อย
รู้เพียงแค่ว่าชายผู้นี้ต้องเป็นขุนนางที่กำลังรีบกลับเมืองหลวง
อย่างแน่นอน ส่วนมาจากที่ใดหรือไปทำอะไรมานั้นพวกเขาเองก็ไม่รู้
เช่นกัน
สองพ่อลูกหันหยวนเฉานั้นรู้จักกฎเกณฑ์ธรรมเนียมต่างๆ เป็น
อย่างดี ไม่ต้องถาม ไม่ต้องคาดเดา
เพียงแต่มาคิดดูแล้วเขาคงไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตอันใด ไม่
เช่นนั้นคงไม่มีแม้แต่ห้องพักในศาลาพักม้าที่สามารถวาง
อำนาจบาตรใหญ่ได้
พอหันไปมองขุนนางผู้นั้นอีกครั้ง คงเป็นคนตรงไปตรงมาและ
ไว้เนื้อไว้ตัวไม่น้อย คงไม่รับของจากผู้ใดง่ายๆหันผู้พ่อพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนที่กำลังตั้ง
ใจฟังคนในห้องโถงพูดคุยกันอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไป
ทั้ง
คืนไร้เสียงพูดคุยใดๆ
โชคดีที่วันถัดมาหิมะหยุดตกแล้ว หิมะไม่ได้พูนหนานัก ยังพอ
เดินทางได้ ศาลาพักม้าจึงคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่
พอเห็นม้าตัวใหม่ที่นำมาเปลี่ยนหน้ารถม้า นายรองเฉิงก็
ตื่นเต้นดีใจจนลนลาน
“นี่ นี่ ใต้เท้าซู ม้าดีของศาลาพักเช่นนี้เชียวหรือ ข้าแค่พาคนใน
ครอบครัวเข้าเมืองหลวงเท่านั้น มิได้ไปทำราชกิจใหญ่หลวงของ
บ้านเมืองเสียหน่อย” เขาเอ่ยไม่หยุด
ข้าหลวงซูมองเขาแล้วหัวเราะชอบใจ พลางตบแขนเขาเบาๆ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณน้ำใจของใต้เท้ายิ่งนัก” เขาเอ่ย
มองดูเหล่าคนตระกูลเฉิงจากไปอย่างคึกครื้น ข้าหลวงซูยังคง
ยืนนิ่งอยู่เดิม
“ถุย” องครักษ์คนหนึ่งส่งเสียงถุยออกมา ก่อนจะเอ่ยเสียง
แผ่วเบาว่า “พวกไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ใต้เท้าไว้หน้าเขา แต่เขากับปีนเกลียวเหยียบย่ำท่าน ใต้เท้าไปตบแขนเขาเช่นนั้นได้อย่างไร
ขอรับ”
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของข้าหลวงซู
“ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่ใต้เท้าเกาสั่งให้พวกเราดูแลเขาอย่าง
ดี” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้ากับข้าจะบังเอิญเจ้าเขา
พอดี จะทำให้ใต้เท้าเกาผิดหวังไม่ได้”
“ใต้เท้าเกานี่ก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงต้องดูแลคนพรรค์นั้นด้วย”
องครักษ์ขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ให้ท้ายเขามากเกินไปแล้ว”
“ให้ท้าย ให้ท้าย หากไม่ให้ท้าย แล้วเขาจะพังทลายลงมาได้
อย่างไร” ข้าหลวงซูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าคนตั้ง
หลายโต๊ะในห้องโถงไม่พอใจเพียงใด”
องครักษ์ร้องอ๋อในทันใด ในที่สุดเขาก็เข้าใจก่อนจะหัวเราะ
ออกมา
“ถึงว่าล่ะใต้เท้าถึงได้ไล่ตะเพิดชาวเมืองต่อหน้าพวกเขา
เช่นนั้น” เขาเอ่ย “ข้าก็เป็นกังวลแทนใต้เท้า คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะพวกนั้น
ดูท่าทางแล้วใช่ว่าจะต่อกรได้ง่ายๆ ทั้งยังเป็นพวกขุนนางอีก
ต่างหาก”
“ข้าแค่ถูกนินทาว่าร้ายไม่กี่คำมีอันใดน่ากลัวกัน” ข้าหลวง
ซูเอ่ยพลางยิ้ม “แต่สิ่งที่ข้าได้รับ ใช่ว่าจะหมายถึงสิ่งที่ทุกคนได้รับ”
เขาพูดจบก็หันหลังกลับไป
“เอาละ พวกเราเองก็ออกเดินทางกันเถิด ในเมื่อให้ม้ากับ
ใต้เท้าเฉิงไปแล้ว พวกเราเองก็คงไม่ได้ใช้แล้วละ แต่จะใช้ราชกิจ
บ้านเมืองล่าช้ามิได้”
องครักษ์ขานรับ
เพราะเหตุการณ์เมื่อวาน ยามนายรองเฉิงและผู้ร่วมทาง
ออกจากศาลาพักม้าไป ก็มีผู้คนออกมาดูอย่างคึกครื้น บ้างก็ตกใจ
บ้างก็ประหลาดใจ บ้างก็ยำเกรง ทุกคนต่างอยากจะเห็นว่าลูกศิษย์
ของเทพเซียนหน้าตาเป็นอย่างไร จึงออกมาโหวกเหวกเบียดเสียด
กันที่หน้าประตูศาลาพักม้า
สองพ่อลูกหันหยวนเฉาจำ ต้องรอให้ฝูงชนแยกย้ายกันไปเสีย
ก่อนจึงจะออกเดินทางได้ ขณะกำลังจูงม้าออกมา ก็เห็นชายที่นั่งร่วมโต๊ะเมื่อคืนวานออกมาแล้ว ม้าผอมโซสามตัวพร้อมกับบ่าวอีก
สองนายที่แบกสัมภาระอยู่ ช่างดูเรียบง่ายและโดดเดี่ยวยิ่งนัก
เขายืนอยู่ที่หน้าประตูของศาลาพักม้า มองดูขบวนรถของนาย
รองเฉิงที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกล สีหน้าดูเคร่งเครียดยิ่งนัก
“ใต้เท้าเฉิงผู้สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่บ้านเมืองงั้นหรือ”
เขาเอ่ยเสียงเนิบ “บังอาจขับไล่ขับชาวเมืองออกไปในคืนหิมะตกอัน
หนาวเหน็บ บังอาจให้องครักษ์ของโอรสแห่งสวรรค์รินเหล้าให้
บังอาจใช้ม้าของศาลาพักม้าเพื่อกิจส่วนตน ใต้เท้าเฉิงผู้สร้าง
คุณูปการใหญ่หลวงให้แก่บ้านเมืองงั้นหรือ แม่นางเฉิงผู้สร้าง
คุณูปการใหญ่หลวงให้แก่บ้านเมืองงั้นหรือ”