พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 469 รู้ (1)
บังอาจขับไล่ชาวเมืองออกไปในคืนหิมะตกอันหนาวเหน็บ
บังอาจให้องครักษ์ของโอรสแห่งสวรรค์รินเหล้าให้ บังอาจใช้ม้าของ
ศาลาพักม้าเพื่อกิจส่วนตน
เมื่อสามประโยคนั้นถูกเปล่งออกมา แม้แต่สองพ่อลูกหันหยวน
เฉาที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ยินแล้วก็ยังรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
คนเช่นไรถึงบังอาจทำเช่นนี้ได้
ต้องเป็นคนเช่นไรถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้
แล้วคนเช่นนี้จะมีจุดจบอย่างไรกัน
แต่ก่อนก็มีขุนนางอนาคตไกลผู้หนึ่ง แต่เพราะเขาดื่มเหล้าเมา
มาย บังคับให้องครักษ์ของโอสรแห่งสวรรค์รินเหล้าให้ แม้ฮ่องเต้
จะโปรดปรานและไว้ใจเขาเพียงใด สุดท้ายแล้วก็คงไม่อาจหลบเลี่ยง
คำครหาของเหล่าขุนนางที่ยื่นคำร้องไม่ไว้วางใจ จนในที่สุดก็ต้อง
จำ ใจลาออกสละตำแหน่งแล้วถูกส่งตัวไปอยู่ต่างเมืองทุกวันนี้ก็มีขุนนางที่มาชมทิวทัศน์ยามหิมะตก แต่ถูก
ฝั่งตรงข้ามหยิบยกเรื่องที่ขับไล่ชาวเมืองขึ้นมาเล่นงาน จนท้ายที่สุด
ก็ต้องลาออกจากตำแหน่งไป
ทั้ง
ยังมีแม่ทัพที่ใช้ม้าของศาลาพักม้ามาลากรถบรรทุก
เสบียงอาหารของเรือนตนแล้วถูกตัดหัวประหาร
หากได้ทำหนึ่งในสามอย่างที่ว่ามานี้ก็คงเดือดร้อนตนเองแล้ว
ไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากทำครบทั้งสามอย่าง
แน่นอนว่ามิใช่ว่าผู้ใดที่ทำเรื่องเช่นนี้แล้วจะต้องตายสถาน
เดียว นับแต่โบราณจนถึงบัดนี้ก็มีคนทำเช่นนี้มากมาย เหล่า
ชาวเมืองก็เห็นจนไม่รู้สึกแปลกตา เหล่าขุนนางก็ลืมตาข้างหลับตา
ข้าง เพราะแม้จะลำบากผู้อื่น แต่นำมาซึ่งความสบายของตน
เพียงแต่ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น แต่ที่ทุกคนกลัวว่าจะเกิดขึ้นก็
คือข้อยกเว้นนี้แล
สองพ่อลูกหันหยวนเฉาสบตากัน ขุนนางผู้นี้ไม่รู้จักหลับตาข้าง
ลืมตาข้าง แถมยังชอบหาเรื่องใส่ตัวอีกต่างหาก
“โธ่ ใต้เท้าเฝิง ใต้เท้าเฝิง…”ผู้ดูแลศาลาพักม้าตามออกมาตะโกนไล่หลัง ชูเสื้อคลุมตัว
หนาในมือไปมา
“…ลมแรงนัก ท่านสวมเสื้อนี้เถิด”
“มิใช่ของของข้า เฝิงหลินมิอาจรับไว้” ชายวัยกลางคนเอ่ยก่อน
จะสะบัดแซ่ม้าควบออกไป
“ขอบคุณสวรรค์ เจ้าผู้พิพากษาปีศาจนั่นไปเสียได้ก็ดี”
“ใต้เท้า คราวนี้ไม่มีใครเผาศาลาพักม้าของเรานะขอรับ”
“หุบปากของเจ้าเสีย เจ้าจะรอให้ไฟไหม้อีกหนหรืออย่างไร”
ผู้ดูแลและบ่าวประจำ ศาลาพักม้าหัวเราะพูดคุยกันพลางเดิน
เข้าไปข้างใน
เฝิงหลินอย่างนั้นหรือ
สองพ่อลูกหันหยวนเฉาหันมองหน้ากันด้วยแววตาตื่นตระหนก
อีกครั้ง
“ที่แท้เขาคือเฝิงหลินนี่เอง” หันหยวนเฉาเอ่ย สายตาทอด
มองออกไปยังแผนหลังที่ไกลออกไปบนถนนสองปีก่อนผู้พิพากษาเฝิงหลินได้รับบัญชาให้มาตรวจสอบ
ราชการที่ถนนไท่ชาง พอเดินทางถึงศาลาพักม้าก็ถูกคนร้ายลอบ
วางเพลิงหมายจะเอาชีวิต แต่คนตายยากอย่างเฝิงหลินยกลับหาบ
โลงศพของคนเหล่านั้นเข้ามายังถนนไท่ชางแทน คดีโกงเงินเสบียงที่
กรมขนส่งถูกสอบสวนกว่าหนึ่งปีเต็ม เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่
เกี่ยวข้องนับร้อยถูกจับเข้าคุกจนสูญสิ้นทั้งตระกูล ในยามนั้นทั้งถนน
ไท่ชางก็มีแต่เสียงร้องโหยหวนและเสียงร้องไห้คร่ำครวญจนน้ำตา
แทบเป็นสายเลือด เพราะเหตุนี้ชาวเมืองถึงได้หยิบยกตำแหน่งของ
เขาขึ้นมาและให้ฉายาว่าผู้พิพากษาปีศาจ
“ที่แท้เขาถูกโยกย้ายเข้าเมืองหลวงนี่เอง” หันผู้พ่อเอ่ยพลาง
ส่ายหน้าแล้วเผยยิ้มออกมา “ครานี้ใต้เท้าเฉิงผู้นั้นคงอนาคตไม่ไกล
นัก”
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขานั้นเห็นเองกับตา แถมเฝิงหลินผู้
นั้น
ยังฟังเหล่าชาวเมืองพูดจาเพ้อเจ้อกันทั้งคืน เห็นได้ชัดว่าเขา
เดือดดาลไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่เอ่ยคำพูดเช่นเมื่อครู่ออกมา“ดูท่าทางใต้เท้าเฝิงคงมีงานให้ทำยามไปถึงเมืองหลวงแล้วล่ะ
” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางพลิกตัวขึ้นม้า “สร้างคุณูปการแก่บ้านเมือง
…”
เขาเอ่ยทวนคำนั้นออกมา สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด
“มีอาวุธวิเศษอยู่กับตัวแท้ๆ แต่กลับถวายหลังจากที่ตนได้
ล้างมลทินแล้ว เช่นนี้จะเรียกว่าสร้างคุณูปการแก่แผ่นดินได้อย่างไร
”
“ผู้ที่ผ่านโลกมาแล้ว ย่อมไม่เห็นแก่ความสุขฉาบฉวยเบื้องหน้า
ย่อมไม่เกรงกลัวต่อความยากลำบากเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ
”
สองสามีภรรยาตระกูลเฉิงไม่รู้ว่าม้าเร็วร่างกำยำที่แลกมานั้น
กำลังนำพาหายนะมาสู่ตน ส่วนคนในเมืองหลวงที่อยู่ไกลออกไป
ย่อมไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน หิมะบนถนนเริ่มก่อตัวเป็นชั้นบางเบา ทว่า
หิมะยังไม่ทันหยุดตกก็ถูกเหยียบย่ำจนละลายสิ้น
หน้าประตูเรือนสะพานอวี้ไต้ถูกปัดกวาดจนสะอาดตั้งแต่
เช้าตรู่ และยังคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเช่นเดิม มีทั้งคนที่สวมเสื้อผ้าหรูหรานั่งบนพรมพร้อมตั้งโต๊ะเขียนหนังสือ มีทั้งสวมเสื้อผ้า
ขาดรุ่งริ่งนั่งยองอยู่ที่โคนต้นไม้ มีทั้งคนหน้าเดิมจากหลายวันก่อน
มีทั้งคนหน้าใหม่มากมาย
ท่านชายฉินสิบสามยืนอยู่ด้านนอก สายตามองดูพลางยก
มือขึ้นวาดกลางอากาศ
“อากาศหนาวนัก จนหมึกฝนไม่ออกแล้ว เช่นนั้นแล้วปลูกเพิง
สักหลักไม่ดีกว่าหรือ หรือไม่ก็หาห้องโถงใหญ่ๆ”
ผู้คนแยกย้ายกันออกไปหลังจากการฝึกคัดอักษรจบลง
ท่านชายฉินสิบสามก้าวเข้ามาในเรือน พลางหันไปหาเฉิงเจียว
เหนียงที่รับตะเกียงอุ่นมือมาจากปั้นฉินแล้วเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้ต้องการสอนคัดอักษร” นางเอ่ย
เช่นนั้นแปลว่าเขียนเพราะอยากเขียนเท่านั้นหรือ
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะหนาว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้นในทันใด
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองเขา ก่อนจะยิ้มให้แล้วพยักหน้า“ข้าใส่เสื้อหนา ทั้งยังเพิ่งฝึกยิงธนูเสร็จ” นางเอ่ยพลางยก
มือขึ้นข้างหน้าแล้วโบกไปมา “ไม่หนาว”
หากมองผิวเผินฝ่ามือเรียวยาวนั้นขาวนวลดุจหยก ทว่าหาก
มองใกล้เข้าไปจะเห็นว่าบนนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยด้าน
อย่างชัดเจน
ท่านชายฉินสิบสามเพิ่งเคยเห็นหญิงสาวที่มีฝ่ามือเช่นนี้
เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นท่านแม่หรือน้องสาวพี่สาว หรือว่าสาวใช้
ข้างกาย ฝ่ามือของพวกนางต่อขาวเนียนละเอียดดั่งเนื้อหยก บ้างก็
ทาเล็บ บ้างก็สวมแหวนสวมกำไลข้อมือ
ที่แท้ฝ่ามือที่สะอาดหมดจนแต่แฝงไปด้วยความหยาบกร้าน
นั้น
งดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ใช่แล้ว เจ้าดูสิ มีดเล่มนี้ท่านชายโจวหกมอบให้ข้า” เขานึก
บางอย่างขึ้นได้จึงดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น พลางปลดมีดที่ติดตัว
ออกมา
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกไปรับแล้วพินิจดูอย่างตั้งใจ
“ข้าไม่ชอบแท่นฝนหมึก” ท่านชายฉินสิบสามโพล่งขึ้นมาปั้น
ฉินเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ
เฉิงเจียวเหนียงยังไม่เงยหน้าขึ้น ยังคงจ้องมองมีดในมือ
“เช่นนั้นแล้วเจ้าชอบอะไร” นางถาม
“ขนมหรือชาที่เจ้าทำก็ได้ทั้งนั้น เอาเป็นว่าข้าไม่ชอบแท่นฝน
หมึกก็แล้วกัน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้ววางมีดในมือลง
“ได้ เช่นนั้นคราวหน้าข้าจะให้ขนมกับน้ำชา” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามจ้องมองนาง ภายในห้องเงียบสงัด
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกมาดันจานขนมตรงหน้าแล้ว
มองหน้าเขา
ท่านชายฉินสิบสามนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอื้อมมือออกไป
หยิบขึ้นมากิน ในจานนั้นมีขนมไม่มาก เพียงไม่นานเขาก็กินจนหมด
พลางยกชาตรงหน้าขึ้นดื่มจนหมดเช่นกัน
“นี่ไม่ใช่ที่เจ้าทำเอง” เขาเอ่ยออกมาอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“แต่ข้าให้เจ้านะ” นางเอ่ย“แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“เช่นนั้นเจ้าอยากได้สิ่งใด บอกข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยด้วย
รอยยิ้ม
ปั้น
ฉินที่อยู่ข้างกันได้ยินดังนั้นก็นิ่งไป ก่อนจะมองท่านชายฉิน
สิบสามด้วยความตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้
นี่เขา…โมโห หรือว่า…ออดอ้อนอยู่กันแน่
คำว่าออดอ้อนผุดขึ้นมาในหัว ปั้นฉินหนาวสั่นไปทั้งร่าง นี่นาง
คิดเหลวไหลอะไรกัน ก่อนจะรีบรินชาให้ท่านชายฉินสิบสามในทันใด
“หากข้าเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่เรือนข้า เจ้าจะไปหรือไม่”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“ไม่ไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายฉินสิบสามจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้ม
ออกมา
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าคงไม่ไป” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “หากไม่
มีเหตุอะไรเจ้าคงไม่ยอมไปแน่ เช่นนั้นหากข้าสอบติดแล้วเชิญเจ้าอีก
หน เจ้าจะไปหรือไม่”เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“เช่นนั้น ต้องเตรียมขนมกับน้ำชาไปด้วยหรือไม่” นางถาม
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เสียงหัวเราะก็ดัง
ขึ้นเรื่อยๆ
“แน่นอน” เขาเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ
พอกลับมาถึงเรือนขณะที่กำลังจรดหมึกเขียนจดหมาย
ถึงท่านชายโจวหก ท่านชายฉินสิบสามนึกถึงบทสนทนาเหล่านั้นก็
ยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะเขียนอักษรลงบนกระดาษต่อ
“…หงุดหงิดมาตั้งหลายวัน แถมยังถูกนางเมินเฉยทั้งยังพูดจา
ล้อเลียนอีกต่างหาก ไม่รู้จะทำเช่นไรจริงๆ เฮ้อ ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดว่า
อะไร เจ้าคงจะบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำเช่นไรจริงๆ
นั่นแหละ ข้าเองก็เคยโมโหนางจนแทบอกแตกตายมาแล้วเหมือนกัน
”
“…ก็ยังดีที่ข้าพูดออกไป นางเองก็โอ๋ข้า ข้าใช้คำว่าโอ๋เช่นนี้ดู
แปลกพิกล… “เขาชะงักไป กำด้ามพู่กันไว้แน่น ก่อนจะนึกย้อนดูอีกหน ไม่ผิด
แน่ นางเหมือนกำลังโอ๋เขาอยู่จริงๆ
“…เหมือนคราวนั้นที่เจ้าโมโหข้าเพราะสู่ขอนาง นางก็ให้ขนม
พวกเรามา ข้ารู้ เจ้าหัวเราะข้าอยู่ใช่ไหมละ หัวเราะอะไรของเจ้า…”