พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 469 รู้ (2)
“ชายสิบสาม เจ้ายิ้มอะไรอยู่”
เสียงของหญิงผู้หนึ่งขึ้นมาจากอีกฝั่ง ท่านชายฉินสิบสามหยุด
พู่กันลงแล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นท่านแม่ยืนอยู่ริมระเบียงทางเดิน
กอดอกยิ้มกรุ้มกริมมองมาทางเขา
“ท่านแม่ ข้ากำลังเขียนจดหมายหาท่านชายโจวหก” ท่านชาย
ฉินสิบสามบอก
ฮูหยินฉินหัวเราะคิกคัก
“เขียนจดหมายหาเด็กซื่อบื้ออย่างท่านชายโจวหกต้อง
ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ” นางเอ่ย “เช่นนั้นแล้วท่านชาย
โจวหกก็คงหน้าบานเป็นกระด้งแล้วกระมัง”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะยกใหญ่
“ท่านแม่ อย่าล้อข้าเช่นนั้นสิขอรับ ข้ารีบอยู่ เขียนเสร็จแล้วยัง
ต้องอ่านหนังสืออีก” เขาแสร้งทำเป็นพูดเสียงแข็ง“ข้าไม่ล้อเจ้าแล้วก็ได้” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าหลาย
วันมานี้เจ้ากินนอนไม่เป็นเวลา เอาแต่ทอดถอนใจ ใบหน้า
เศร้าหมอง ประเดี๋ยวเหม่อลอย ประเดี๋ยวก็ยิ้มออกมา ข้าเป็นกังวลก็
เลยแวะมาดูเสียหน่อย ข้าคิดว่าเจ้าป่วยนอนซมเหมือนนักดนตรีชุย
ในวังหลวงเสียอีก”
ท่านชายฉินสิบสามฟังไปก็ส่ายหน้าไป พอได้ยินประโยค
สุดท้ายก็ประหลาดใจขึ้นมา
“นักดนตรีชุยน่ะหรือ ท่านพ่อเชิญเขามาบรรเลงฉินไม่ใช่หรือ
เหตุใดถึงป่วยได้” เขาถาม “ป่วยเป็นอันใดหรือขอรับ”
“ป่วยเป็นไข้ใจ” ฮูหยินฉินเอ่ย
ป่วยเป็นไข้ใจอย่างนั้นหรือ
ท่านชายฉินสิบสามชะงักไปก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที
“ท่านแม่ ท่านล้อลูกเล่นอีกแล้วหรือ”
เสียงหัวเราะของฮูหยินฉินดังก้องไปทั่วเรือน
ขณะเดียวกันในวังหลวง พอไทเฮาได้ยินคำเดียวกันนั้นกลับ
หัวเราะไม่ออก“ป่วยเป็นไข้ใจอย่างนั้นรึ มีอย่างที่ไหนกัน!เช่นนี้ไม่ผิดขนม
ธรรมเนียมหรือ รีบไล่ออกไปจากวังเดี๋ยวนี้!”
ไทเฮาขมวดคิ้วตวาดลั่น
“ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยขึ้นใน
ทันใด “ไทเฮา นักดนตรีชุยมิได้ลุ่มหลงผู้ใด แต่ลุ่มหลงฉินพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่ายังคงขมวดคิ้วเหมือน
ดังเดิม
“เหลวไหล” เขาตะโกน “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออันใดของเจ้า”
เหล่าขันทีรับก้มหน้ารับผิด
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ไทเฮาถาม
“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับจิ้นอันจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ไทเฮาส่งเสียงตอบรับ ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดก็มีคนเอ่ยขึ้น
มาก่อน
“จิ้นอันเป็นอะไรไปหรือ”ฮ่องเต้เยื้องย่างเข้ามาจากประตู เหล่านางสนมภายในห้องโถง
ถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียง
กุ้ยเฟยก้มหน้าแสร้งทำว่ามองไม่เห็น ทว่าฝ่ามือกลับกำ
ตะเกียงอุ่นมือบนตักแน่น
ตอนที่นักดนตรีชุยถูกพาตัวเข้ามา ใบหน้าของเขาซีดเผือด
สองตาเหม่อลอย แม้เหล่านักดนตรีจะไม่สนใจเรื่องรูปลักษณ์
ภายนอก แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นคนในวัง หน้าตาก็ล้วนแต่
พอไปวัดไปวาได้ทั้งนั้น แต่พอได้เห็นสภาพของนักดนตรีชุยใน
ตอนนั้น ฮ่องเต้และไทเฮารวมถึงเหล่านางสนมในวังก็ตกใจไม่น้อย
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทและไทเฮาขอรับ”
นักดนตรีชุยก้มหัวจรดพื้น น้ำเสียงสั่นเครือ ร่างทั้งร่างราบไป
กับพื้น แม้จะคำนับเสร็จแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้น
“เจ้าเป็นนักดีดฉินแท้ๆ เหตุใดถึงได้ถูกเสียงฉินมัวเมาเช่นนั้น”
ไทเฮาขมวดคิ้วถาม
ฮ่องเต้กลับหัวเราะ“เพราะเป็นนักดีดฉิน ถึงได้ถูกเสียงฉินมัวเมาอย่างไรเล่า” เขา
เอ่ย “เป็นเพราะแตกฉาน ถึงได้ดำดิ่ง คนอื่นฟังแล้วไพเราะ ก็
เพียงแค่ไพเราะเท่านั้น แต่เพราะเป็นนักดีดฉินถึงได้รู้ว่าเหตุใดถึงได้
ไพเราะเช่นนั้น เพราะอย่างนั้นถึงมัวเมาได้ง่ายนัก”
นักดนตรีชุยยังคงก้มหัวอยู่ดังเดิม
ไทเฮาและคนอื่นๆ พากันหัวเราะ
“แม่นางผู้นั้นดีดฉินได้ไพเราะถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” นาง
ถามก่อนจะนิ่งไปแล้วถามออกมาอีกครั้ง “นางเล่นให้เหว่ยหลัง
ฟังโดยเฉพาะหรือ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะไทเฮา บอกว่าจะใช้เสียงฉินชำ ระล้างตำหนักให้
องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” ขันทียิ้มเอ่ย “องค์ชายฟังจบก็ไม่ได้ให้นางรำ
แสดงต่อ เพราะเกรงว่าจะรบกวนเสียงฉินพ่ะย่ะค่ะ”
พอคำนั้นเอ่ยออกไป คนทั้งตำหนังก็นิ่งชะงักไป
ชำ ระล้างตำหนักอย่างนั้นหรือ…
“ยังมีหน้ามาบอกว่ามิใช่ศิษย์ลัทธิเต๋าอีกหรือ” ไทเฮาเอ่ย
พึมพำ “แม้แต่ชำ ระตำหนักยังทำเป็น เช่นนี้ก็คงดูฮวงจุ้ยเป็นด้วยแล้วกระมัง…”
ฮ่องเต้กระแอมขึ้นมา
“พวกเจ้าฟังแล้วก็รู้สึกว่าไพเราะหรือ” เขาเอ่ยถามขันทีเปลี่ยน
ประเด็นสนทนา
“กระหม่อมไม่เข้าใจ แต่ฟังแล้วก็ดูครื้นเครงดีพ่ะย่ะค่ะ” ขันที
เอ่ยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ครื้นเครงอย่างนั้นหรือ” ไทเฮาถาม “ไม่ใช่ผีผาเสียหน่อย
จะบรรเลงให้ครื้นเครงได้อย่างไร”
“ไม่ใช่บรรเลงได้ครื้นเครงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทียิ้มเอ่ย “หมายถึง
บรรยากาศครื้นเครงยิ่งยัก เหล่าข้าทาสก็พูดคุยกัน เหล่านางรำก็
หัวร่อต่อกระซิก ชิ่งอ๋องเองก็ส่งเสียง…”
นั่นแปลว่าไม่มีผู้ใดสนใจฟังอย่างนั้นหรือ ผู้ใดทำอันใดอยู่ก็ทำ
เช่นนั้นต่อไป ไม่ได้ชวนให้คนฟังแม้แต่น้อย แล้วจะเรียกว่าไพเราะได้
อย่างไร
มีคนมากมายที่ไม่ถูกมัวเมา แต่มีเพียงนักดนตรีชุยคนเดียวที่
ฟังแล้วไพเราะจนมัวเมาอย่างนั้นหรือเป็นเพราะได้เห็นใบหน้าของแม่เฉิงหรอกกระมัง
แม่นางเฉิงผู้นั้นก็นับว่าเป็นหญิงงามโดยแท้…
เหล่านางสนมหันมาสบตากันแล้วยกแขนเสื้อขึ้นป้องปากยิ้ม
ทว่าสีหน้าของไทเฮาดูไม่สบอารมณ์นัก
นักดนตรีอายุอานามปูนนี้แล้วกลับมัวเมาถึงเพียงนี้ เช่นนั้น
แล้วคนหนุ่มที่ไม่เคยได้สัมผัสหญิงสาวอย่างจิ้นอันจวิ้นอ๋องเล่า
ฮ่องเต้เองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เขานึกว่าเสียงฉินของแม่นางผู้
นั้น
คงจะเหมือนดั่งเหล้าชั้นดีที่เพียงได้กลิ่นหรือได้ยินก็พลันเมามาย
จนต้องตั้งใจสดับฟัง
“นักดนตรีชุย นี่เจ้าไม่ได้ป่วยแน่หรือ” ไทเฮาเอ่ย “หากป่วยก็
ให้หมอหลวงดูอาการ ป่วยเป็นอะไรก็ว่าไปตามนั้น อย่าได้ให้เป็น
ขี้ปากคนในวังเลย”
นักดนตรีชุยก้มหัวโขกพื้น
“ไทเฮา กระหม่อมมิบังอาจพูดจาเหลวไหล” เขาเอ่ยเสียง
สั่นเครือ “เสียงฉินของแม่นางเฉิงนั้นไพเราะยิ่งนัก”“ไพเราะอย่างไร ไป๋เซียงซานเขียนกลอนมีเพียงยายเฒ่าใน
ตลาดชื่นชมว่าไพเราะ เสียงฉินของแม่นางเฉิงก็มีเพียงเจ้านักดีดฉิน
เพียงคนเดียวที่ฟังแล้วเมามัว เช่นนี้จะเรียกว่าไพเราะได้หรือ” ไทเฮา
เอ่ย
ดนตรีชุยเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นที่เคยเหม่อลอยเป็นประกาย
ขึ้นมา
“ไทเฮา เพลงฉินของแม่นางเฉิง แม้แต่กระหม่อมก็ไม่อาจถอด
บทประพันธ์ได้” เขาเอ่ย
คนนอกฟังเพียงเพราะสนุกสนาน แต่คนในวงการนั้นมองที่
จุดกำเนิด คนอื่นฟังฉินก็ฟังเพียงแค่บทเพลง แต่นักดนตรีก็มักจะนึก
วิธีเล่นตามอย่างห้ามไม่ได้ หากนักดนตรีฟังแล้วไม่นึกถึงวิธีเล่น นั่น
แปลว่าเสียงเพลงนั้นไพเราะจับใจ มัวเมาจนถอนตัวไม่ขึ้น
ไทเฮาเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้น
แล้วเหตุใดคนอื่นถึงไม่ได้มัวเมา เสียงเข้าใจไปในจิตใจของ
นักดนตรีชุยเพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ หรือเหว่ยหลังเองก็รู้สึกเช่นนั้น
เหมือนกัน…นักดนตรีชุยพูดต่อ
“แล้วก็เพลงที่แม่นางเฉิงเล่นคือสารทวายุ”
สารทวายุหรือ ใช่ว่าจะพบเห็นได้ยากเสียหน่อย ไทเฮาพูดอยู่
ในใจ
“ฝ่าบาท ไทเฮา สารทวายุของแม่นางเฉิงทำให้ชิ่งอ๋องหนาวสั่น
ไปทั้งกาย”
ทำให้องค์ชายชิ่งอ๋องหนาวสั่นไปทั้งกาย…
ทำให้ชิ่งอ๋องหนาวสั่นไปทั้งกายอย่างนั้นหรือ!
ไทเฮาตกตะลึง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
คำพูดของนักดนตรีชุยทำให้นางยืนพรวดขึ้นมา เหล่านางสนม
สะดุ้งตกใจ แล้วเหลียวไปมองฮ่องเต้ที่นั่งหลังตรงอยู่ด้วยสีหน้า
ตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” มีนางสนมบางนางไม่เข้าใจจึงเอ่ยกระซิบ
ถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“ชิ่งอ๋องเป็นเด็กสติไม่สมประกอบ คนบ้าที่ไม่รู้จักหิวไม่รู้จัก
ร้อนจักหนาว”นางสนมเหลียวกลับมาก็เห็นกุ้ยเฟยสติหลุดลอย
“…เสียงฉินที่ทำให้คนบ้ารู้ร้อนรู้หนาวได้ ฝีมือต้องสูงส่งถึง
เพียงใด” นางเอื้อนเอ่ยออกมา “เสียงฉินที่ทำให้คนบ้าสดับฟังทั้งยัง
รู้สึกตัวขึ้นมา”
ทำให้คนบ้ารู้สึกตัวขึ้นมา!
ที่รู้สึกตัวขึ้นมาได้ ก็เพราะยังมีจิตใจอยู่!
นางรู้อยู่แล้วสินะ!
มือของกุ้ยเฟยกำตะเกียงแน่นขึ้นเรื่อยๆ ข้างหูก็ได้ยินเสียง
ไทเฮาตะโกนลั่น
“เรียกเหว่ยหลังเข้าวังเดี๋ยวนี้!เรียกแม่นางเฉิงเข้าวังเดี๋ยวนี้!”
เพราะเรื่องที่ได้ฟังนั้นดูเกินจริงเสียยิ่งนัก แม้ฮ่องเต้จะตกตะลึง
ไม่น้อย แต่ก็ยังพยายามใช้สติปัญญานึกคิด จึงเรียกเพียงจิ้นอันจวิ้น
อ๋องให้เข้าวังมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่รีบร้อนเข้าวังมาพอได้ยินคำถามของไทเฮาก็
หัวเราะออกมา“ไทเฮา นางมิได้รักษาชิ่งอ๋องหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เขายิ้มเอ่ย “นาง
ชำ ระล้างตำหนักต่างหาก”
“แล้วเช่นนั้นชิ่งอ๋องจะรู้สึกหนาวได้อย่างไร” ไทเถาถามซักไซ้
“บทเพลงสารทวายุบรรเลงถึงสายลมอันหนาวเหน็บ พวกเราฟังแล้ว
มักจะรู้สึกหนาวเย็นตาม หากลิ่วเกอร์มีความรู้สึกแล้ว ก็แปลว่าใกล้
จะหายดีแล้วใช่หรือไม่”
นางพูดไปพลางน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคุกเข่าลงถดเข้ามาใกล้
“ไทเฮา ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกขอรับ”
“เหตุใดถึงจะไม่ใช่ เจ้าเด็กนี่ คิดจะปิดบังให้พวกข้าเศร้าโศกไป
ถึงไหน” ไทเฮาเอ่ยพลางเช็ดน้ำตา
“ไทเฮา อาการป่วยของลิ่วเกอร์นั้นรักษายากนัก นางเองก็
ไม่ยอมรักษาให้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
กุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ด้านหลังแค่นหัวเราะออกมา เสแสร้งต่อไปสิ ข้า
อยากจะรู้นักว่าเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดลิ่วเกอร์ถึงได้รู้สึกหนาว” ไทเฮาถามอีกครั้ง“ไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถอนหายใจ “แม่นางเฉิงบอกว่า เสียง
ฉินของนางมิได้เล่นให้คนฟังพ่ะย่ะค่ะ”