พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 47 ช่วยข้า
เฉิงเจียวเหนียงเดินวนรอบวัดเต๋าอยู่สองรอบ ไม่เหมือนกับวันก่อนๆ ครั้งนี้นางเดินช้ามาก และหยุดเดินเป็นครั้งคราว
สาวใช้มีเรื่องในใจ นางเดินอย่างใจลอย จู่ๆ ก็ชนเข้ากับร่างของเฉิงเจียวเหนียงที่ไม่รู้ว่าหยุดเดินเมื่อไร
“นายหญิง เหนื่อยแล้วหรือเจ้าคะ” นางรีบเอ่ยถามพร้อมประคองร่างตัวเอง
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า นางยืนมองวัดเต๋าจากด้านบน ณ จุดที่ยืนอยู่
สาวใช้มองไปทางเดียวกันกับนางอย่างเหม่อลอย
“เจ้าดูสิ หลังคานี้ชำรุดเสียแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนมองออกไป หลังคาดูเก่าชำรุดไปบ้างจริงๆ แต่ก็ถือว่ายังพอใช้ได้อยู่ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกนางกัน
ยามแสงแดดเริ่มเจิดจ้า สาวใช้สวมผ้าคลุมให้กับเฉิงเจียวเหนียง แล้วเดินไปยังวัดเต๋า แต่ยังไม่ทันถึงประตูวัดก็มีคนกระโจนเข้ามาจากด้านข้างเสียก่อน
สาวใช้ขวัญอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นคนกระโจนเข้ามา นางจึงกรีดร้องก่อนจะหันตัวมากอดเฉิงเจียวเหนียงไว้แน่น
ทว่าก็ทำคนผู้นั้นตกใจจนต้องถอยหลังออกไปเช่นกัน
คนผู้นั้นคือเด็กหนุ่มอายุราวสิบสองสิบสามปี สวมใส่เสื้อผ้ามอซอ ท่าทางดูเหม่อลอย
“ท่านคือพี่ชิงเหมยใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม
สาวใช้เมื่อตอนยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็นปั้นฉินนั้น ชื่อว่าชิงเหมย
“พี่สาวข้าคือชุนหลาน นางให้ข้ามาหาท่าน” หนุ่มน้อยกล่าวต่อ
สาวใช้เพิ่งกักเก็บความตื่นตระหนกไว้ได้
“นี่คืออะไรหรือ” นางมองดูห่อผ้าที่เด็กหนุ่มยื่นมาให้อย่างสงสัย
“นี่เป็นเงินที่พี่สาวข้าให้ข้านำมาให้ท่าน” หนุ่มน้อยกล่าว
ชิงเหมยเปิดห่อผ้าออก เห็นเศษเงินจำนวนหนึ่งในนั้นแล้วตกใจ
“พี่สาวเจ้าให้เงินข้าทำไมกันหรือ” นางถาม
เมื่อนางอยู่ที่บ้านนั้นฐานะต่ำต้อยนัก เมื่อเทียบกับสาวใช้ที่รับใช้ท่านชายแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว เหล่าสาวใช้ที่ติดตามท่านชายนั้น ปกติแล้วยามพบหน้ากันแล้วก็มักจะมองพวกนางด้วยสายจาเหยียดหยาม ยิ่งตอนนี้โดนไล่ออกจากบ้านยิ่งแล้วใหญ่ ชาตินี้คงไม่ได้กลับไปอีก นางให้เงินตนอย่างนั้นหรือ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
“มิได้ให้ท่านหรอก” หนุ่มน้อยกล่าว “ตอนนั้นพี่ปั้นฉินผู้นั้นมีบุญคุณกับพี่สาวข้า ตอนจากกันฝากฝังกับพี่ข้าไว้ว่าให้ดูแลนายหญิงให้ดี พี่สาวข้าเกรงว่าพวกท่านอยู่ข้างนอกจะลำบาก จึงเก็บเงินบางส่วนให้ข้านำมาให้ ท่านให้นายหญิงกินของดีๆ บ้างเถิด”
ทันใดนั้น สาวใช้ก็อยากร้องไห้แล้วน้ำตาร่วงอย่างไม่รู้ตัว
หนุ่มน้อยตกใจอย่างมาก คนรับใช้คนบ้าท่าทางคงจะเสียสติตามคนบ้าไปแล้วจริงๆ อยู่ดีๆ ถ้าไม่ตะโกนโวยวายก็ร้องไห้ออกมา
“ขอบคุณพี่สาวเจ้ามาก” สาวใช้กล่าวพลางเช็ดน้ำตา
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ในบ้านมีคนมากมาย กลับมีสาวใช้คนหนึ่งยังนึกถึงนายหญิง แม้จะเป็นคำฝากฝังของสาวใช้คนก่อนหน้าก็ตาม แต่เมื่อคนเราห่างกันก็มักเย็นชาต่อกัน คนที่ยังจำบุญคุณของผู้อื่นได้นั้นมีไม่มากแล้ว
“ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ต้องขอบคุณ ข้า…ข้าอาศัยอยู่ในซอยด้านหลังเรือนนี้ หากท่านมีธุระใดก็ให้คนมาหาข้าได้” เด็กหนุ่มกล่าวแล้วหันกลับกำลังจะเดินจากไป
“รอเดี๋ยว” เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ด้านหลังอยู่ตลอดปริปากเอ่ยขึ้น
เด็กหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง หันมามองหญิงสาวสวมใส่ผ้าคลุมที่นั่งอยู่ตรงทางเดิน
“นาง…เรียกข้าหรือ” เขากล่าวอย่างสงสัย
“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ปั้นฉิน เอาเงินให้เขาไป”
สาวใช้และเด็กหนุ่มต่างพากันอึ้งไปครู่หนึ่ง
คงเป็นเพราะยังโกรธสาวใช้คนก่อนหน้านั้น จึงไม่รับน้ำใจของนาง สาวใช้นึกขึ้นได้ดังนั้นก็ขานรับอย่างไม่ลังเล ยื่นห่อผ้าคืนให้หนุ่มน้อย
“ทำอะไรน่ะ” เด็กหนุ่มถามอย่างตกตะลึง
“ข้าจะให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “นี่เป็นค่าตอบแทนสำหรับเจ้า”
สาวใช้กับหนุ่มน้อยต่างพากันอึ้งไปตามกัน
“ท่าน…ท่านจะให้ข้าช่วยอะไร” หนุ่มน้อยเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก
“หลังคาที่นี่ชำรุดแล้ว เจ้าช่วยหาช่างอิฐมาซ่อมแซมหลังคาให้ข้าหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
หลังคาชำรุดแล้วเกี่ยวข้องกับพวกนางจริงหรือ สาวใช้มองดูเฉิงเจียวเหนียงอย่างตกใจปนสงสัย
ชายหนุ่มเข้ามาในห้อง เจ้าอาวาสกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนแคร่ได้ยินเสียงจึงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเป็นเขาจึงตกใจ
“กลางวันแสกๆ เจ้าเข้ามาได้อย่างไร!” นางลุกขึ้นตะโกนกล่าว
ชายหนุ่มรุดหน้าไป เขายิ้มอย่างมีเลศนัยพลางบีบนวดลูบไล้ไปบนร่างหญิงสาว
“ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมข้าจะมาไม่ได้เล่า ไม่ได้แนบชิดกายกันมากี่วันแล้ว ข้าแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
หญิงสาวสลัดตัวหลายครั้งแต่ก็สลัดไม่ออก ทั้งสองฉุดกระชากกันพักใหญ่
“ข้าบอกให้เจ้าหลบเลี่ยงไปก่อนไม่ใช่หรือ รอให้ข้าปลอบสาวใช้นั่นให้ได้ก่อน เจ้าค่อยมาใหม่” หญิงสาวกล่าว พลางจัดผมของตน
“สาวใช้ผู้นั้น เจ้าได้มาอย่างง่ายดายอยู่แล้วมิใช่หรือ” ชายหนุ่มนอนหงายบนเตียงเอื้อนเอ่ยอย่างไม่สนใจ
หญิงสาวโกรธงอน มองขวางชายหนุ่มอยู่สักพัก ก่อนจะยกมือขึ้นทุบเขาไปครั้งหนึ่ง
“เจ้าทำอะไร” เขาตะโกนกล่าว หน้าท้องเปล่าเปลือยของเขาถูกตีจนเจ็บ
หญิงสาวจ้องเขาอย่างโกรธเกลียด
“เจ้ามันกินไม่เลือก ขนาดคนบ้าก็ยังจะเอา!” นางกล่าวอย่างขุ่นเคือง
ชายหนุ่มหัวเราะดังลั่น พูดถึงคนบ้าก็พลางนึกถึงหน้าตาของคนบ้าขึ้นมา ไฟราคะที่กดเก็บไว้ก็ประทุขึ้นมาอีกทันใด
คนสติไม่สมประกอบนั่น ใบหน้างดงามเพียงนั้นแถมยังไม่รู้ประสาอีก อยู่บนเตียงไม่ใช่ว่าให้นางทำอะไรก็ทำอะไรหรอกหรือ…
เขาลุกขึ้นโอบหญิงสาวไว้
“คนบ้าทิ้งไว้ก็เสียดายเปล่าน่า” เขายิ้มเยาะกล่าว
“เจ้าจะไปตายก็ไปตายคนเดียว อย่ามาทำร้ายข้า!” หญิงสาวกล่าวอย่างโกรธเกลียด
“มีเจ้าอยู่ ข้าจะไปตายได้ลงหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางหัวเราะ ทั้งหอมทั้งง้อปลอบใจหญิงสาว “ในวัดแห่งนี้เจ้าเป็นใหญ่อยู่แล้วนี่ ในเมื่อบ้านตระกูลเฉิงนั่นเอาคนบ้ามาทิ้งไว้ที่นี่ ก็หมายความว่าไม่เอาแล้ว บ้านตระกูลเฉิงยังไม่เอาเลย เจ้ายังจะรับใช้นางดั่งนายหญิงอยู่หรือ ถ้าจะใจดีอย่างนี้ ให้ข้าง่ายๆ เสียไม่ดีกว่าหรือ”
หญิงสาวถูกฉุดกระชากลากถูอย่างจนใจ ทั้งรักทั้งเกลียดชายหนุ่มผู้นี้ แล้วยังรู้ว่าตัวเองเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ อีกทั้งยังไม่มีเงินทอง หากอยากจะจับชายหนุ่มผู้นี้ให้อยู่หมัดก็ต้องให้เขาได้ลองอะไรแปลกใหม่บ้าง
เพียงแค่สาวใช้และคนสติไม่สมประกอบอีกคนหนึ่ง จะหลอกล่อให้อยู่ในกำมือนั้นเป็นเรื่องแสนง่ายดาย หากนางทำสำเร็จตามที่หมายแล้วไม่ต้องกลัวว่าพวกนางแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป อีกทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าพวกนางจะจับชายหนุ่ม
ผู้นี้แล้วทิ้งตนไป ไม่มีอะไรจะเหมาะเจาะไปกว่านี้อีกแล้ว
“ก่อนที่จะเก็บสาวใช้นั่น อย่าเพิ่งยั่วคนบ้านั่นก็แล้วกัน” หญิงสาวยื่นมือมาจิ้มหน้าผากชายหนุ่มยามพูดขึ้น
ชายหนุ่มดีใจใหญ่ ในเมื่อมีก่อนก็ต้องมีหลัง แต่ไม่ว่าจะก่อนหรือหลัง ขอเพียงได้มาก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เขากอดหญิงสาวผู้นั้นแล้วกดร่างของนางลง
“ข้ามีวิธีอะไรบ้างเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ รับรองว่าสาวใช้นั่นได้ลองเพียงครั้งเดียวก็ต้องคิดถึงทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่” เขากล่าวพลางยิ้มอย่างทะลึ่ง
หญิงสาวได้ยินดังนั้น ทั้งที่ในใจรู้สึกอิจฉาแท้ๆ แต่กลับโอนอ่อนตามอย่างไร้เหตุผล ก่อนจะหงายตัวขึ้นตอบรับเขา
ขณะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันนั้น ก็มีเสียงจอแจดังมาจากนอกห้อง เหมือนมีคนมากมายกำลังพูดคุยกันโหวกเหวก ทั้งสองรีบกระชับเสื้อผ้าของตน
“เกิดอะไรขึ้น ใครอยู่ข้างนอกกัน” หญิงสาวตะโกนกล่าว ในใจตื่นตระหนก
นางได้ยินเสียงชายหลายคนพูดคุยกันข้างนอก คงไม่ใช่สาวใช้นั่นกลับไปฟ้องหรอกนะ บ้านตระกูลเฉิงส่งคนมาอย่างนั้นหรือ
ไม่สิ ให้เด็กน้อยนั่นคอยสังเกตนายบ่าวคู่นั้นอยู่ตลอด ตอนกลับมารายงานก็ไม่มีอะไรแปลกนี่
หญิงสาวรวบรวมความกล้ามาที่เรือน เห็นกลุ่มชายหนุ่มถือตะกร้าแบกเชือก กำลังยืนล้อมรอบเรือนถกเถียงกันวุ่นวาย
“มาซ่อมเรือนหรือ” นางเอ่ยถามอย่างตกตะลึง
“เจ้าค่ะ” สาวใช้เดินออกมาอย่างเร่งรีบเช่นกันก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าอาวาสเจ้าคะ เรือนข้านั้นค่อนข้างเก่าทั้งยังมีรอยรั่วชำรุด ข้าจึงให้คนมาซ่อมแซม เรือนท่านก็ซ่อมสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ซ่อมเรือนให้โดยตนเองไม่ต้องเสียเงินทอง อย่างนั้นก็ดีสิ
หญิงสาวยิ้มพลางพยักหน้า
“อย่างนี้ก็ดี สองสามวันนี้ฝนตกบ่อย ข้ากำลังจะเรียกคนมาพอดี อย่างนั้นก็ซ่อมทีเดียวเลยแล้วกัน” นางกล่าว
เด็กน้อยสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมองตากัน สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
นึกว่าชายหนุ่มผู้นั้นมาแล้วจะเป็นโอกาสเสียอีก ไม่คิดว่าจะผิดแผนเพราะมีคนมาซ่อมเรือนเสียนี้
คนบ้าก็คือคนบ้าจริงๆ
……………………………………………………………………….