พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 471 สารภาพ
แม้ว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องเคยเอ่ยไว้ว่าเพลงบรรเลงของเฉิงเจียว
เหนียงนั้นไม่สามารถช่วยเหลืออาการของชิ่งอ๋องได้ แต่เพราะความ
อยากรู้อยากเห็นของไทเฮา ให้คนไปเชิญเฉิงเจียวเหนียงเข้ามาในวัง
อย่างอดไม่ได้
“เจ้าอยากลองบรรเลงเพลงดูไหม”
เมื่อเข้ามาในวัง จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมาถามนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ในเมื่อเชิญเข้ามาขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องให้นางได้เล่นสิ
“มิใช่ว่าอยากหรือไม่อยาก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “เล่นแบบ
ไม่มีที่มาที่ไป แล้วจะให้เล่นได้อย่างไร”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว” เขาเอ่ย “ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเล่น
ก็แล้วกัน”ขันทีที่นำทางอยู่ด้านหน้ากระแอมเตือนไม่ให้พวกเขาทั้งสอง
กระซิบกระซาบกัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขยิบตาให้เฉิงเจียวเหนียง
พลางบอกกับนางว่า ‘ไม่ต้องกลัวนะ’ โดยไม่ออกเสียง จากนั้น
จึงรีบทำทีเป็นเดินนิ่งตามปกติ
ขณะที่ขันทีกำลังเอ่ยประกาศการมาถึงของจวิ้นอ๋องและ
แม่นางเฉิง เหล่านางสนมนางสนมทั้งหลายต่างก็ให้ความสนใจ
โดยเฉพาะกุ้ยเฟยที่ดูท่าจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
คราวก่อน กุ้ยเฟยได้มีโอกาสยลโฉมเฉิงเจียวเหนียงเพียงแค่
จากระยะไกลเท่านั้น
ครั้งต่อมาก็ที่ตำหนักของไทเฮา ครั้นกุ้ยเฟยจะได้มีโอกาสพบ
เฉิงเจียวเหนียงตัวเป็นๆ นางก็ดันถูกจิ้นอันจวิ้นอ๋องเรียกไปพบเสีย
ก่อน
เมื่อประตูถูกเปิดออก จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเบิกบาน และด้านหลังของเขานั้น
เอง ก็ตามมาด้วยหญิงผู้หนึ่งที่กำลังก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้าแม้ว่าทุกคนจะยังเห็นใบหน้าของนางไม่ชัดนัก แต่เพียงได้
เห็นท่าทางการยืนอันสง่าผ่าเผยของนาง ชุดกระโปรงยาวที่ทิ้งตัว
ไม่กระเพรื่อมแม้ตอนกำลังขยับตัวอยู่ เส้นผมที่ถูกมัดเก็บเรียบร้อย
ประดับด้วยปิ่นปักผมสีแดงสด ดูยังไงก็เหมือนกับหญิงสาวที่ถูกบ่ม
เพาะและเติบโตในวัง
ผู้ที่ราศีจับเฉกเช่นนาง ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ ในหมู่คนทั่วไป
แถมยังเป็นหญิงสาวที่เคยอมโรคมาเป็นเวลานับสิบปีอีกเสียด้วย
มิน่าล่ะ นางจึงถูกขนานนามว่าเป็นลูกศิษย์ของเหล่าเทพเซียน
“ถวายบังคมไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องโค้งคำนับทักทายไทเฮา
เมื่อจวิ้นอ๋องโค้งตัวลง ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่
เบื้องหลัง สายตาทุกคนต่างจับจ้องที่นาง เฉิงเจียวเหนียงดึงแขนเสื้อ
ขึ้นเพื่อเตรียมจะถวายบังคมให้ไทเฮาอยู่เช่นกัน
“มานี่สิ” ไทเฮายิ้มกวักมือเรียกจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เขาลุกขึ้นตามที่ไทเฮาเรียก
“หม่อมฉันขอถวายพระพรไทเฮาเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงก้มลง
เพื่อทำความเคารพไทเฮา“ลุกขึ้นเถิด” ไทเฮาเอ่ยยิ้ม พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ
ถึงได้เห็นสีหน้าของเหล่านางสนมและนางสนมที่ซ่อนความ
อยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่ ไทเฮาหัวเราะเสียงเบาๆ “แม่นางเฉิง ขยับ
มาด้านหน้าอีกสิ”
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ แล้วลุกขึ้นยืนพลางจัดกระโปรงให้
เรียบร้อย ทั้งห้องเต็มไปด้วยสายตาของผู้คนที่จับจ้องมายังนาง ทว่า
เฉิงเจียวเหนียงไม่มีท่าทีตื่นกลัวหรือเขินอายแต่อย่างใด
ความเปิดเผยและตรงไปตรงมา มิเกรงกลัวที่จะถูกคนมอง เข้า
ตามตรอก ออกตามประตู
นี่แหละ คติพจน์ของลูกหลานของตระกูลเฉิง
เหล่านางสนมที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่งต่างมองหน้าสบตากัน บ้างก็
ทำหน้าประหลาดใจ บ้างก็มีสายตาอิจฉาริษยา และบ้างก็สีหน้า
ไร้ความรู้สึก
“แม่นางเฉิง บรรเลงเพลงเป็นด้วยหรือ” ไทเฮาเอ่ยถาม
“หม่อมฉันบรรเลงได้แค่เพลงเดียวเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียง
ตอบเล่นเป็นแค่เพลงเดียว หมายความว่าอย่างไรกัน
“เพลงเดียวที่เจ้าหมายถึง ก็คือเพลงสารทวายุที่นักดนตรีชุย
เคยเอ่ยชมสินะ” นางสนมผู้หนึ่งเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ
เมื่อเอ่ยถึงนักดนตรีชุยแล้ว ไทเฮาที่เพิ่งนึกขึ้นได้ จึงรีบให้คน
ไปตามเขามา
“เกือบไปแล้วสิ แย่จริง อาการหลงลืมของเราทุกวันนี้ก็คิดว่า
จะดีขึ้นแล้วเสียอีก” ไทเฮาหัวเราะแก้เขิน แล้วหันไปสนทนากับเฉิง
เจียวเหนียงต่อ “มีเพลงอื่นที่เจ้าเล่นได้อีกไหม”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“หม่อมฉันบรรเลงได้แค่เพลงเดียวจริงๆ เพคะ” นางตอบ
“เหตุใดถึงเล่นได้แค่เพลงเดียว” นางสนมผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่าง
สงสัย
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ให้คำตอบ ขณะนั้นเอง นักดนตรีชุยที่เพิ่ง
จะทราบเรื่องว่าเฉิงเจียวเหนียงเข้าวัง ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับขันที
อีกคน จากนั้นเขาก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาด้านในแล้วรีบถวายบังคมให้ไทเฮา จากนั้นจึงโค้งคำนับทักทายเฉิงเจียวเหนียง แต่กลับไม่พูด
อันใดออกมา เหล่านางสนมเมื่อได้เห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเขา
จึงหัวเราะกันคิกคัก
“อย่างนี้ใช่หรือไม่ที่เขาเรียกว่า ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกกลัว” ไทเฮา
เอ่ยพลางหัวเราะ
“แต่ข้าว่า น่าจะเรียกว่ากลัวไปเองเสียมากกว่า” จิ้นอันจวิ้น
อ๋องหัวเราะตาม
“ท่านจวิ้นอ๋อง อ่านใจคนเก่งเหมือนกันนะเพคะ” กุ้ยเฟยเอ่ย
พลางหัวเราะไปกับเขาด้วย
“อ่านใจคนก็ไม่ได้ยากอันใด แค่ต้องเรียนหนังสือให้เยอะ ๆ
เท่านั้นเอง แต่ข้าเรียนน้อยไปหน่อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดหยอก “หาก
ข้าได้ความฉลาดจากผิงอ๋องมาครึ่งหนึ่งก็คงดีไม่น้อย”
กุ้ยเฟยหัวเราะ แล้วไม่พูดอะไรต่อ
“ในเมื่อแม่นางเฉิงมาถึงนี่แล้ว งั้นมาดูหน่อยว่า ฝีมือการเล่น
เพลงของนางมีเสน่ห์แค่ไหนกัน” ไทเฮายิ้มพลางเอ่ย“ท่านนักดนตรีชุย รีบหยิบเครื่องดนตรีให้แม่นางเฉิงสิ”
นางสนมผู้หนึ่งเอ่ยเร่ง
“ฝ่าบาท ให้เหล่าองค์หญิงน้อยกลับไปพักก่อนไหมเพคะ”
นางสนมที่ในมือกำลังอุ้มองค์หญิงตัวน้อยๆ อยู่ได้เอ่ยถามขึ้น
พอสิ้นคำถามเมื่อครู่ เหล่านางสนมที่ดูแลองค์หญิงตัวน้อยอยู่
ในอ้อมอกนั้นต่างก็หันหน้าไปทางไทเฮา บ้างก็มีสีหน้ากังวล บ้างก็
เริ่มไม่สบอารมณ์ ส่วนบางคนก็ตั้งหน้ารอคำตอบจากไทเฮา
ในห้องโถงแห่งนี้ มีทั้งแม่นางเฉิงที่นักดนตรีชุยและใครต่อใคร
ก็ยกย่องว่าฝีมือดีราวกับว่าเป็นลูกศิษย์ของเหล่าเทพ แถมยังมี
ชิ่งอ๋องที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นพวกตอบสนองต่อเสียงไวราวกับ
ยอดมนุษย์
แม้ว่าองค์หญิงตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายจะเติบโตมาในวัง แต่
วันนี้เป็นโอกาสดีที่แม่นางเฉิงเข้ามาบรรเลงเพลงให้ฟังกันถึงในวัง
ไม่ว่านางจะเล่นเพลงอะไร คงต้องเป็นอะไรที่คุ้มค่าแก่การสดับ
ฟังอย่างแน่นอนดังนั้น เหล่านางสนมทั้งหลายเองก็คาดหวังไว้ว่าองค์หญิง
ตัวเล็กๆ ของพวกนางนั้นจะเติบโตขึ้นแล้วเป็นนักบรรเลงเพลงอย่าง
ใต้เท้าชุย แต่ก็กลัวว่าจะได้รับอิทธิพลความชอบโหวกเหวกโวยวาย
จากชิ่งอ๋องด้วยเช่นกัน
“จะกลับได้อย่างไรกัน กับแค่เสียงเพลงยังฟังไม่ได้ แล้วจะไป
ทำกงการอะไรได้กันเล่า” ไทเฮาเขม้น
เหล่านางสนมรีบขานรับเป็นเสียงเดียวกัน และไม่กล้าเอ่ย
ถามต่อ
นักดนตรีชุยโค้งคำนับให้นาง พลางยื่นเครื่องดนตรีให้ ทว่าเฉิง
เจียวเหนียงกลับปฏิเสธ
“ท่านหญิงเฉิง” เขาพยายามเงยหน้ามองหญิงสาวที่อยู่
เบื้องหน้า
เมื่อเขาได้ยลโฉมนางกับตาตัวเอง คำพูดที่เขาเคยได้ยินจาก
ใครต่อใครที่เคยว่าไว้ก็โผล่ขึ้นมาในหัว
นี่นางละอ่อนขนาดนี้เลยรึ!แม้ว่าจะเคยได้ยินมาว่าเฉิงเจียวเหนียงนั้นอายุยังน้อย แต่
พอได้เจอตัวจริงเข้า ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะลึง
นางวัยแค่นี้เอง เหตุใดจึงเล่นเพลงที่เศร้าขนาดนั้นออกมาได้
“แม่นางเฉิง” ไทเฮาเอ่ยถามขึ้น
พอเห็นเฉิงเจียวเหนียงที่ยังคงนิ่งไม่ขยับ พลางนึกเป็นกังวลว่า
เฉิงเจียวเหนียงอาจจะกำลังตื่นตกใจ เพราะต้องมาบรรเลงเพลงใน
วังหลวง
“หม่อมฉันเล่นไม่ได้เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงให้คำตอบ พลางก้ม
ขอขมาไทเฮา
เล่นไม่ได้อย่างนั้นรึ
นางเล่นไม่ได้ หรือนางเล่นไม่เป็นกันแน่
“เจ้าว่าอันใดนะ” ไทเฮานึกว่าตนหูฝาดไป เลยเอ่ยถามนาง
อีกครั้ง
“หม่อมฉันบรรเลงเพลงไม่ได้เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงย้ำคำตอบ
อีกครั้ง
ทุกคนเมื่อได้ยินดังนั้น ก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ“หม่อมฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเจอพวกคนที่พูดจาลอยๆ หรอก
นะ แต่คนอย่างแม่นางที่พูดลอยได้หน้าตาเฉย หม่อมฉันเองก็เพิ่งจะ
เคยเจอเป็นครั้งแรกนี่แหละ…” กุ้ยเฟยพูดเย้ยหยันพลางหัวเราะ
“เฉิงเจียวเหนียงมิใช่คนพูดลอยๆ ถ้านางบอกว่าไม่ได้ก็คือ
ไม่ได้ขอรับ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องแย้งขึ้นพลางยิ้มเยาะ
กุ้ยเฟยหันขวับมายังจิ้นอันจวิ้นอ๋อง เผยอยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ฝ่าบาทดูเหมือนจะรู้จักนางเป็นอย่างดีเลยนะเพคะ” กุ้ยเฟย
เอ่ย “หรืออาจเป็นความผิดหม่อมฉันเองที่สมองเสื่อมจนฟังที่นาง
พูดไม่เข้าใจ หรือว่า วันก่อนที่มีคนมาบรรเลงเพลงที่ตำหนักฝ่าบาท
จะมิใช่แม่นางเฉิงเพคะ”
ไทเฮาที่นั่งเงียบอยู่ จู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น
“แม่นางเฉิง เจ้าหมายความเช่นใดกัน” ไทเฮาเอ่ยถาม “เรา
ไม่เข้าใจ”
“ทูลไทเฮา เมื่อครู่ที่ไทเฮาถามหม่อมฉันว่ายังบรรเลงเพลงใด
ได้อีก หม่อมฉันได้ทูลไทเฮาแล้วว่าหม่อมฉันบรรเลงเป็นแค่เพลง
เดียวเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงอธิบาย“ก็ใช่น่ะสิ ไหนๆ ก็บรรเลงเป็นแล้ว เหตุใดจึงเป็นแค่เพลง
เดียวกันล่ะ” นางสนมที่นึกขึ้นได้ว่าเคยถามคำถามนี้กับเฉิงเจียว
เหนียงไปแล้ว ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
“อาจารย์ของหม่อมฉันสอนแค่เพลงนี้เพลงเดียวเพคะ” เฉิง
เจียวเหนียงอธิบายต่อ
เหตุใดจึงสอนแค่เพลงเดียวล่ะ
ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเลยจริงๆ
แม่นางผู้นี้ช่างแปลกแตกต่างจากคนทั่วไป ครั้นจะกล่าวหาว่า
นางเป็นคนบ้าอย่างที่ใครเขาว่า ก็ดูจะไม่เกินจริง
ไทเฮาถอนหายใจ พลางเอามือลูบที่ไรผม
“ถ้าเช่นนั้น ก็จงบรรเลงเพลงของเจ้าเสียสิ” ไทเฮาเอ่ย
“ทูลไทเฮา หม่อมฉันไม่สามารถบรรเลงเพลงนี้ในเวลานี้ได้
เพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น พลันรีบก้มขอขมาไทเฮา
“เหตุใดอีกล่ะ” ไทเฮาเลิกคิ้วถาม
“ทูลไทเฮา ที่แห่งนี้มิใช่เรือนว่างเปล่า อีกทั้งมิใช่สถานที่ที่
มีความเงียบสงัด หม่อมฉันมิอาจบรรเลงเพลงได้” เฉิงเจียวเหนียงให้คำตอบ
เสียงหัวเราะค่อยๆ ดังลั่นขึ้นในตำหนัก
“พวกเจ้าเห็นหรือไม่ ไทเฮาเริ่มหน้าเขียวแล้ว!”
กุ้ยเฟยกลั้นขำไม่อยู่เสียจนตัวเอนสั่นไปมา
เหล่านางกำลังและขันทีที่อยู่รอบๆ ต่างก็หัวเราะตามกัน
“สรุปนางเล่นเป็น หรือไม่เป็นกันแน่” นางสนมคนหนึ่งเอ่ยถาม
“เจ้าคิดว่าอย่างไรละ” กุ้ยเฟยตอบพลางหัวเราะยกใหญ่ “ข้า
ว่านางกำลังแกล้งโง่อยู่น่ะสิ!”
“ไหนจะมีตำนานเล่าขานว่านางเป็นลูกศิษย์เทพเซียน ไหนจะ
เรื่องทำคุณให้แผ่นดิน ไหนจะเรื่อง…”
กุ้ยเฟยเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จากเดิมทียังหัวเราะลั่น ก็รีบเบาเสียง
ลงแล้วแสยะยิ้มออกมา
“ไหนจะจิ้นอันจวิ้นอ๋อง…”
“ข้าว่า นางคงไม่ได้หว่านเสน่ห์แค่กับใต้เท้าชุยคนเดียวสินะ”
ในขณะเดียวกัน ไทเฮาที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นั้นก็เรียก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้ามาสั่งสอน“นางจงใจล่อลวงทุกคน แถมยังมีหน้ามาหลอกเราอีกอย่างนั้น
หรือ”
“ที่นี่ไม่ใช่เรือนว่างเปล่า ก็เลยเล่นเพลงไม่ได้ พูดจาบ้าบออะไร
กัน!ถ้าจะบ่ายเบี่ยงก็หาเหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร!”
“ไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยายามหาจังหวะอธิบาย แต่ยังไม่ทัน
ได้พูดอะไรต่อ ไทเฮาพลันกางมือทำท่าห้ามเสียก่อน
“หุบปากของเจ้า!” ไทเฮาเอ็ดเขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะเคอะเขิน แล้วค่อยๆ เขยิบตัว
มาข้างหน้า
“ไทเฮา นางมิได้ตั้งใจจะโกหกท่านแต่อย่างใด นางก็บอกแล้ว
นี่ ว่านางบรรเลงได้แค่เพลงเดียวเท่านั้น อีกทั้งเป็นเพลงที่ต้องเล่นใน
ที่สถานที่เงียบ ไม่เหมาะกับการเล่นเพื่อความบันเทิง” เขาอธิบาย
ไทเฮาสบถอย่างไม่พอใจ
“นางคิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนเล่นของนางอย่างนั้นหรือ” ไทเฮา
ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ดูพูดจาเข้าสิ!บรรเลงเพลงก็คือบรรเลงเพลง
มีอย่างที่ไหนจะมาเล่นเป็นแค่เพลงเดียว!มีที่ไหนกัน!”“ก็มีที่นี่ไงขอรับ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างขำขัน
ไทเฮาใช้มือตบลงไปที่หัวไหล่ของเขาสองที
“อย่าบอกนะว่า เจ้ากำลังพูดแทนนางอยู่” ไทเฮาเลิกคิ้วเอ่ย
ถาม
“ใช่แล้วขอรับ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบอย่างไม่ลังเล “เรื่องที่
เกิดขึ้นก็เป็นเพราะข้าเชิญนางเข้ามา ดังนั้นข้าต้องเป็นคน
รับผิดชอบทั้งหมด”
ความตรงไปตรงมาของเขา ทำเอาไทเฮาถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ฮ่องเต้เองเมื่อได้ยินดังนั้น ก็เกิดอาการตกตะลึงเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น เดี๋ยวเราจะลองไปพูดคุยนางดู ท่านแม่จะได้
ไม่คลางแคลงใจ” ฮ่องเต้เอ่ย
เมื่อฮ่องเต้เดินเข้าไปที่ตำหนัก ก็พบกับเฉิงเจียวเหนียงกำลังนั่ง
ตัวตรงอยู่ ฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่านางคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องแค่นี้
เมื่อเฉิงเจียวเหนียงได้ยินเสียงฝีเท้าของฮ่องเต้ ก็รีบโค้งตัว
ถวายบังคม“เจ้านี่ใจกล้าดีแท้” ฮ่องเต้บอกกับนาง “พูดจาโผงผาง
ไม่เกรงใจใคร”
“ทูลฝ่าบาท ในเมื่อเป็นเรื่องที่ควรพูด เหตุใดจึงไม่พูดออกไป
ละเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงก้มหัวพลางเอ่ยตอบ
ในเมื่อเป็นเรื่องที่ควรพูด เหตุใดจึงไม่พูดออกไปอย่างนั้นรึ
ฮ่องเต้ชำ เลืองมองนาง พลางนึกถึงคำพูดที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องเคย
พูดไว้กับเขา
‘…ข้าว่านางเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอย่างใดก็พูดอย่างนั้น
ตอนนั้นข้าเคยขู่นาง นางก็ไม่หือรืออันใดกับข้า ต่อมาข้าขอโทษนาง
นางยังคงไม่อะไรกับข้า…’
‘……นางเหมือนเด็กที่ยังอ่อนต่อโลก บางครั้งก็ทำตัวตลก แต่
บางครั้งก็ทำตัวน่าหมั่นไส้’
ดูแล้วแม่นางเฉิงผู้นี้คงเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ!ไทเฮา
ถึงได้ไม่สบอารมณ์เช่นนี้
ฮ่องเต้ค่อยๆ เผยรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก“เหตุใดเจ้าถึงเรียนแค่เพลงเดียว แต่ไม่ได้เรียนเพลงอื่นด้วย
เล่า” เขาถาม
ดวงตาของเฉิงเจียวเหนียงหยุดนิ่ง พลางนึกย้อนไปตอนอดีต
‘ท่านพ่อ ข้าต้องเรียนสิ่งใดอีกหรือ’
‘ก็เรียนมันทุกอย่างนั่นแหละ’
‘ท่านพ่อ ต่อให้ข้าฉลาดแค่ไหนก็คงเรียนไม่ไหวหรอก’
‘ไหวสิ เรียนแค่ทางใดทางหนึ่งก็พอแล้ว’
‘เรียนทางใดทางหนึ่งอย่างนั้นหรือ’
เฉิงเจียวเหนียงโค้งตัวก้มลง
“ทูลฝ่าบาท การแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นวิธีเรียนของ
หม่อมฉัน ในอดีตตอนที่หม่อมฉันเริ่มเรียนบรรเลงเพลง หม่อมฉัน
มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว คือการบรรเพลงเพื่อให้จิตใจสงบ ดังนั้น
หม่อมฉันจึงเรียนแค่เพลงสารทวายุเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงอธิบาย
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วสงสัย
“แล้วเหตุผลของเจ้าคือสิ่งใด” ฮ่องเต้เอ่ยถามต่อ“ทูลฝ่าบาท นี่เป็นวิธีที่ทำให้หม่อมฉันเรียนรู้ได้ดีขึ้นและล้ำลึก
ขึ้น” เฉิงเจียวเหนียงอธิบายต่อ “หากหม่อมฉันเรียนบรรเลงเพลงไป
เรื่อยๆ หม่อมฉันก็คงเรียนไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด หม่อมฉันเลยต้อง
ตั้ง
เป้าหมาย และจดจ่อแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หม่อมฉันเลยตั้งเป้า
ไว้ว่าเรียนแค่เพลงเดียวให้จบ เลยทำให้หม่อมฉันมีเวลาไปเรียนรู้
วิชาแขนงอื่นต่อเพคะ”
เป็นอย่างที่นางว่าจริงหรือ
คำอธิบายของนาง ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจ
“ถ้าเช่นนั้น นี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่รับรักษาคนทั่วไป ถ้าหาก
ไม่ใช่กรณีปางตายสินะ” เขาเอ่ย “เพราะอาจารย์ของเจ้าสอนเจ้าแค่
วิธีเดียว ข้าเดาถูกไหม”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เรียนการเลี้ยงม้าเพียงแขนงเดียว”
“เรียนทำอาวุธก็แขนงเดียว”
“เรียนหนังสือก็แขนงเดียว”ฮ่องเต้เอ่ยถามไปเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังคุยกับตนเอง ยิ่งพูดก็
ยิ่งรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถของนาง
“เรียนหนึ่งศาสตร์ มุ่งมั่นหนึ่งแขนง แล้วก็จะได้ผลลัพธ์มา
ที่แท้วิธีการเรียนรู้ของเจ้าก็เป็นเช่นนี้นี่เอง อาจารย์ของเจ้าช่างเป็น
คนแปลกเสียจริง” ฮ่องเต้อุทานด้วยความทอดถอนใจ “ช่างน่า
เสียดายยิ่งนัก”
อาจารย์ผู้นี้ของเฉิงเจียวเหนียงดันด่วนจากไปเสียก่อน น่า
เสียดายที่บุคคลเก่งกาจเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่รู้จักของวังให้เร็วกว่านี้
ถ้าหากได้รู้เร็วกว่านี้ คงกำราบเจ้าพวกโจรตะวันตกพวกนั้นได้นาน
แล้ว
เสียดายที่คนในมือเขาที่มีอยู่ตอนนี้ดันเป็นพวกสติไม่ดี ส่งให้
ไปเรียนกายกรรมก็เรียนไม่เข้าหัว ถ้าหากเอาคนทั่วไปมาเป็น
ลูกศิษย์คงสามารถต่อยอดวิชาและนำไปใช้ประโยชน์ได้นานแล้ว
ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดายจริ