พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 472 ผิดบาป
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากฮ่องเต้ สีหน้าของไทเฮาก็เริ่มดีขึ้น
“มีคนพิลึกเป็นอาจารย์ ก็ไม่แปลกที่ลูกศิษย์จะออกมาพิลึก
เช่นกัน” ไทเฮาเอ่ย
“จะพิลึกกันขนาดไหนเชียว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางหัวเราะ
ไทเฮาถอนหายใจเฮือก แล้วไม่พูดอะไรต่อ
“ขอบพระทัยไทเฮา”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขอบคุณไทเฮาด้วยความดีใจ พร้อมโน้มตัว
คำนับ
“เจ้าขอบใจข้าเรื่องอันใดกัน” ไทเฮาชักสีหน้าถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งยิ้มให้
“ข้าต้องการขอบพระทัยท่านที่ท่านทรงเมตตา อีกทั้งท่านยัง
ไม่เกรี้ยวโกรธอันใดแล้ว ข้ากลัวว่าถ้าข้าไม่เอ่ยออกไปคงจะเกิดเรื่อง
ขึ้น กลายเป็นว่าโทษของข้าจะหนักขึ้นกว่าเดิม” เขาอธิบายไทเฮาจ้องไปที่เขา
“ทีหลังเจ้าอย่าไปสุงสิงกับคนพวกนี้ให้มาก” ไทเฮาเอ่ย “เจ้าใช้
ชีวิตในวังมาจนถึงบัดนี้ ไม่ตระหนักรู้หรือว่าพวกคนข้างนอกนั่น
อันตรายแค่ไหน แล้วแม่นางเฉิงที่เคยเป็นบ้ามาก่อน ใครจะไปรู้
จริงๆ แล้วคนที่บ้าอาจจะไม่ได้มีแค่นางก็เป็นได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะลั่น ขานรับคำเตือนของไทเฮา พร้อม
โค้งคำนับแสดงความขอบคุณ
“ข้าต้องขอตัวก่อน” เขาเอ่ยลาไทเฮา
“จะรีบอันใดกัน” ไทเฮารีบขัด “อยู่กินสำ รับเย็นเป็นเพื่อนเรา
ก่อนสิ แล้วค่อยออกไป”
“ข้าเพิ่งจะออกจากวังได้ไม่เต็มเดือน ดันมีเรื่องให้ต้องเข้าๆ
ออกๆ วังอยู่หลายครา หากข้ายังอยู่กินสำ รับเย็นต่ออีก เกรงว่า
จะถูกผู้คนมองไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะพลางอธิบาย
เหตุผล
ไทเฮาถอนหายใจตัดพ้อ
“คนอย่างเรากลัวสายตาผู้อื่นเสียที่ไหนกัน” ไทเฮาแย้งจิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้ไทเฮา
“ท่านไม่กลัว แต่ข้ากลัวพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
หลังจากที่มองชายหนุ่มเดินออกจากประตูตำหนักจน
ลับสายตา สีหน้าเรียบนิ่งของไทเฮาก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“พูดจาไหลไปได้ตลอด” ไทเฮาบ่น “ไม่รู้ว่าไปได้จากใครมา”
“เป็นเพราะลูกร่างกายไม่ดีเอง เลยไม่ค่อยได้สอนเขา” ฮ่องเต้
หัวเราะแล้วเอ่ยอย่างหน่ายใจ
ไทเฮามองบนใส่ฮ่องเต้หนึ่งที
“ฮ่องเต้ไม่ต้องออกตัวหรอก เรารู้อยู่แล้ว เราเป็นคนเลี้ยงจิ้น
อันจวิ้นอ๋องเองกับมือ” ไทเฮาเอ่ย “เราสอนเขาเองแหละ”
ฮ่องเต้หัวเราะยกใหญ่
“คิดไปคิดมา ก็ถูกของไทเฮา” เขาหัวเราะ
ไทเฮาสบถ แต่ก็หลุดหัวเราะออกมา
“แต่อย่างไรเสีย เราก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับแม่นางสกุลเฉิงนั่น
อยู่ดี” ไทเฮาหุบยิ้มลง แล้วเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทสนับสนุนนางเพื่อเรื่องงานของบ้านเมืองไม่ว่าอะไร แต่ขออย่างเดียว อย่าเอาเราไป
เกี่ยวดองกับนางด้วยเลย”
ฮ่องเต้หัวเราะ
“ท่านแม่ เฉิงเจียวเหนียงเป็นแค่หญิงสาวตัวเล็กๆ ลูกมีเหตุใด
ถึงต้องไปสนับสนุนนาง นางเองก็ไม่ใช่ชายชาติทหารที่ข้าจะนำมา
เสริมทัพแต่อย่างใด” เขาอธิบาย “นางมีบุญคุณต่อแผ่นดิน ลูกก็
ให้รางวัลกับครอบครัวของนางตามระเบียบ ถ้าให้ลูกไปสนับสนุน
นางอีก เกรงว่าหลายคนคงจะไม่พอใจลูกเอาน่ะสิ”
“ถ้าเอ่ยถึงเรื่องสำ คัญของหญิงสาว อย่างไรเสียคงไม่พ้นเรื่อง
แต่งงาน” ไทเฮาเอ่ยขึ้นเบาๆ
“แม้ว่ามารดาของเฉิงเจียวเหนียงจากไปเสียก่อน แต่บิดาของ
นางยังมีชีวิตอยู่ เรื่องแต่งงานของนางอย่างไรเสียก็เป็นการตัดสินใจ
ของบิดานาง ลูกจะไปยุ่งเกี่ยวอันใดได้ล่ะ” ฮ่องเต้หัวเราะ
“ก็ใช่น่ะสิ เรื่องแบบนี้ยังไงก็เรือนใครเรือนมันอยู่แล้ว” ไทเฮา
หัวเราะพลางพยักหน้า “ทว่า แม่นางเฉิงผู้นี้เคยเป็นเด็กอมโรค
มาก่อน แถมยังไม่เคยแต่งงาน แม้ว่าบัดนี้นางจะรักษาหายแล้ว แต่คนเราก็รู้หน้ามิอาจรู้ใจ แม้ว่านางจะมีคุณต่อแผ่นดิน แม้ว่าจะถูก
เลี้ยงดูโดยบิดามารดา แต่อย่างไรเสีย เจ้าก็ต้องดูให้ดีๆ ระวังพวก
หวังผลประโยชน์ด้วย”
พวกหวังผลประโยชน์อย่างนั้นหรือ
ไทเฮาเน้นย้ำประโยคเมื่อครู่เป็นพิเศษ
ฮ่องเต้เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้ารับทราบ
“ท่านแม่ช่างรอบคอบเสียจริง” เขาเอ่ย
“อีกเรื่องหนึ่ง ไหนๆ พวกเขาก็ออกไปแล้ว ข้าว่าจะเอ่ยถึงเรื่อง
กำหนดการแต่งงานเสียหน่อย” ไทเฮาเอ่ยขึ้น “ผิงอ๋อง ชิ่งอ๋องยังเด็ก
อยู่ข้าคงยังไม่พูดถึง แต่เหว่ยหลังปีนี้จะอายุครบยี่สิบแล้ว”
ฮ่องเต้ส่งสายตาให้ไทเฮา
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนที่ไม่ยอมให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องแต่งงานมาก
ที่สุดก็คือไทเฮา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนที่เร่งอยากให้จิ้นอันจวิ้น
อ๋องแต่งงานมากที่สุด ส่วนเรื่องขยับขยายทายาทที่จะมาสืบทอด
บัลลังก์ไทเฮาเองก็ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรแล้วกับเรื่องนี้ เมื่อครั้ง
ฮ่องเต้ยังวัยเยาว์ การมีทายาทนั้นเป็นเรื่องแสนสาหัสยิ่งนัก ทว่า
ทุกวันนี้ อะไรอะไรก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อน การเลี้ยงดู
ทายาทแท้จริงแล้วอาจเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิดก็เป็นได้
หรือจะเป็นเหมือนกับบัณฑิตถงที่เลี้ยงลูกสาวโตไม่ทัน
หลานสาว
ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในความคิดของตนเอง อีกใจก็รู้สึก
อิจฉาผู้คนที่เลี้ยงบุตรหลานได้จนใหญ่จนโต
แม้ว่าทายาทของฮ่องเต้แต่ละคนจะอายุสั้นนัก แต่ทายาทที่
รอดมาได้นั้น บัดนี้ก็โตเป็นหนุ่มแล้ว
ถึงเวลาที่เขาต้องปล่อยจิ้นอันจวิ้นอ๋องไปแล้วสินะ
ฮ่องเต้พยักหน้า
“เชิญท่านแม่เลือกคู่ครองให้เขาเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยกับไทเฮา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่เดินออกมาจากตำหนักแล้ว ไม่ได้สนใจว่า
ฮ่องเต้กับไทเฮาสนทนาอะไรกันข้างใน ตอนนี้เขาจดจ่อกับการเร่ง
ฝีเท้าและมุ่งไปเบื้องหน้า“ฝ่าบาท ไม่ต้องรีบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าที่มาส่งสาส์นให้เขาเอ่ย
ขึ้น “ไม่ใช่แค่ฝ่าบาทเท่านั้นที่อยากพบแม่นางเฉิง”
“ยังมีใครอีก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม ดวงตาเบิกกว้าง
ขันทีเฒ่าประจำ ตำหนักไทเฮายิ้มเสียจนแทบไม่เห็นดวงตา
“ข้าน้อยมีความคิดว่าฝ่าบาทคงจะรอนางได้ ในเมื่อฝ่าบาท
เป็นคนพานางเข้าวัง ย่อมต้องเป็นผู้ส่งนางกลับบ้านด้วยเช่นกัน
พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเมื่อได้ยินเข้าก็หัวเราะยกใหญ่
“สมกับเป็นโตวจือ ช่างรอบคอบเสียจริง” เขาเอ่ย
ขันทีเฒ่ายิ้มหัวเราะพลางรีบโค้งคำนับให้เขา
“องค์ชาย ข้าน้อยมิบังอาจรับคำชมขององค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเอ่ยอย่างถ่อมตัว
ขันทีเฒ่าผู้นี้ได้ลำดับขั้นเป็นโตวจือ เหล่าข้าหลวงราชสำ นัก
และบริวารทั้งหลายสามารถใช้คำเรียกโตวจือนี้กับเขาได้ แต่สำ หรับ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องแล้ว ขันทีสูงวัยผู้นี้มียศเป็นคนรับใช้ก็เท่านั้น
จิ้นอันอวิ้นอ๋องยิ้มให้โดยไม่เอ่ยคำใด“ฝ่าบาท รีบเข้าไปหาแม่นางเฉิงเถิด ท่านนักดนตรีชุยคงกำลัง
วุ่นวายกับแม่นางอยู่” ขันทีเอ่ยพลางหัวเราะ “ข้าน้อยมิอาจไปส่ง
ฝ่าบาทได้ ไทเฮาทางนี้ยังต้องการคนเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะพยักหน้า
ทั้ง
สองคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตน
ขันทีเฒ่าที่เพิ่งจะแยกย้ายจากการสนทนากับจวิ้นอ๋อง เมื่อมา
ถึงตรงตำหนักไทเฮา ก็มีขันทีอีกคนเข้ามากระซิบเรื่องที่เพิ่งได้ยิน
จากไทเฮากับฮ่องเต้ ขันทีเฒ่าเมื่อได้ฟังก็หน้าถอดสีพลางหันมองไป
ยังประตูตำหนักด้านนอก
“ช่วยไม่ได้สินะ” ขันทีเฒ่าตัดพ้อ “ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วน
ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถูกใจฝีมือเพลงนาง ไม่ได้แปลว่าจะถูกใจ
ในตัวนาง และถึงแม้ว่านางจะทำให้เขาชอบได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่า
จะทำให้ผู้ใหญ่ชอบได้”
ขณะเดียวกัน จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เฉิง
เจียวเหนียง นักดนตรีชุยเมื่อได้เห็นเข้าจึงเป็นอันต้องถวายบังคมลา
“คุยเรื่องอันใดกันอยู่หรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม“นักดนตรีชุยเข้ามาขอบคุณข้าน่ะ” เฉิงเจียวเหนียงอธิบาย
ทั้ง
สองคนเดินออกไปด้านนอกด้วยกัน ขันทีที่นำทางให้นั้นเดิน
ก้มหัวหลบไปอยู่ด้านหลัง รักษาระยะห่าง
“เขาบอกกับข้า ตอนที่เขารู้ว่าข้าเรียนแค่เพลงเดียวนั้น ก็นึก
อะไรขึ้นมาได้ ในที่สุดก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ราวกับหลุดพ้นจาก
อุปสรรคบางอย่างได้” เฉิงเจียวเหนียงอธิบายต่อ
“งั้นก็สมควรที่เขาต้องขอบคุณเจ้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“แต่ทว่า ก็เป็นองค์ชายมิใช่หรือที่แนะนำเขามา” เฉิงเจียว
เหนียงสงสัย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับแล้วหัวเราะต่อ
“นั่นสินะ เขาควรจะขอบคุณข้าด้วย” เขาเอ่ยต่อ “ข้าควรจะได้
รับรางวัลขอบคุณจากเขา ถ้าหากว่าข้าได้มาแล้ว เราแบ่งกันคนละ
ครึ่งนะ”
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“ได้สิ” นางเอ่ย
ด้านนอกวังมีรถม้าของทั้งคู่จอดรออยู่“คงไปส่งเจ้าไม่ได้นะ ข้าต้องเฝ้าลิ่วเกอร์” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงคำนับลาเขา พลางมองเขาขึ้นรถม้านำไปก่อน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็เอื้อมมือไปเปิดม่าน
หน้าต่างรถ พลางโบกมือให้เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงถวายบังคมให้เขาอีกครั้ง มองดูรถม้าเคลื่อนตัว
ออกไปจนลับสายตา
“ขึ้นรถเถิดเจ้าค่ะ นายหญิง” ปั้นฉินเรียกนางให้ขึ้นรถม้า
พลางรีบยื่นตะเกียงอุ่นมิให้นาง
ระยะทางจากตำหนักไทเฮามาจนถึงประตูวังนั้นไกลพอสมควร
เฉิงเจียวเหนียงรับตะเกียงมาแล้วก้าวเท้าขึ้นรถ
รถม้าค่อยๆ วิ่งไปตามถนนหนทางเบื้องหน้า
ถนนอันกว้างขวางนี้ ไม่ค่อยมีรถม้าและผู้คนสัญจรไปมานัก
ส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้ถนนเส้นนี้จะเป็นเหล่าทหารเฝ้ายามและพวกขันทีใน
วัง“เหตุใดจู่ๆ เหล่าราชนิกุลในเมืองหลวงถึงได้ผุดขึ้นมาเป็น
ดอกเห็ดเช่นนี้”
ขุนนางผู้หนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปทางวังหลวงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้
เห็นรถม้าเคลื่อนผ่านไป
เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีเขียว เครื่องแบบเรียบร้อยตั้งแต่
หัวจรดเท้า พร้อมเหน็บป้ายมัจฉาสีเงินไว้ที่เอว บ่งบอกได้ทันทีว่า
เขาผู้นี้เป็นคนมียศมีตำแหน่ง
“ใต้เท้าเฝิง นั่นมิใช่รถม้าของราชนิกุลขอรับ” ขันทีหัวเราะขึ้น
แล้วบอกกับเขา “นั่นเป็นรถม้าของแม่นางเฉิงขอรับ”
แม่นางเฉิงอย่างนั้นรึ
เฝิงหลินหน้าถอดสี
“เดี๋ยวนี้พวกคนธรรมดารุกล้ำเข้ามาในวังกันได้ง่ายๆ แล้ว
อย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยถาม “ฝ่าบาทไม่รู้เลยหรือว่า เหล่าขุนนาง
มากมายต่างพากันเข้าแถวรอเข้าพบฝ่าบาทอยู่น่ะ”
“ใต้เท้าเฝิงเพิ่งกลับมาเมืองหลวงอาจจะยังมิทราบข่าวขอรับ
แม่นางเฉิงผู้นี้แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาก็จริง แต่นางทำคุณูปการให้แผ่นดินขอรับ…” เมื่อเป็นเรื่งราวที่เกี่ยวกับเฉิงเจียวเหนียง ขันทีผู้นี้
จึงรีบอธิบายให้เขาฟังอย่างหน้าระรื่น
เรื่องราวของเฉิงเจียวเหนียงกลายเป็นหัวข้อสนทนายามทุกคน
มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็มักจะหยิบขึ้นมาพูด ถึงขนาดว่ามีคนพูด
เรื่องราวของนางเยอะเกินไปเสียจนตนเองไม่มีโอกาสได้พูดถึง
ในที่สุดขันทีผู้นี้ก็ได้มีโอกาสได้อวยยศและวีรกรรมของเฉิงเจียว
เหนียงให้กับใต้เท้าเฝิงได้รับฟัง
ว่าไปแล้ว ควรจะเริ่มเล่าจากเรื่องใดก่อนดี เรื่องเหล้าเขา
เม่าหยวนซานที่ทำเอาผู้คนจากเก้าเมืองเมาเละเทะ หรือจะเป็นเรื่อง
ชื่อที่สลักบนป้ายหลุมศพที่เหล่าทหารต่างพากันคร่ำครวญ หรือ
จะเป็นเรื่องใหม่ล่าสุดในวังที่ว่ามีแต่เหล่า
เทพยดาเท่านั้นที่จะฟังเพลงบรรเลงของนางได้
แค่คิดขันทีผู้นี้ก็รู้สึกเนื้อเต้นขึ้นมา แต่กลับไม่ได้ระวังว่าใต้เท้า
ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานั้นสีหน้าเริ่มไม่สู้ดีนัก
“สร้างคุณูปการอย่างนั้นหรือ” เฝิงหลินถาม “ถ้ามีคุณูปการ
ขนาดนั้นฝ่าบาทมิได้ให้รางวัลหรืออย่างไร”“ก็มีให้นะขอรับ” ขันทีรีบให้คำตอบ “เหล่าพี่น้องของนาง
บุพการีของนาง… ใต้เท้ารู้หรือไม่ขอรับว่านางมีคุณต่อแผ่นดิน
อย่างไร เดี๋ยวข้าน้อยจะเล่า…”
“ก็ในเมื่อตบรางวัลไปแล้ว ทำไมยังเข้าๆ ออกๆ ในวังได้อีกล่ะ”
เฝิงหลินดักคอขันทีไม่ให้เล่าเรื่องต่อ “อีกทั้งนางเป็นหญิง มีเหตุ
สำ คัญอันใดที่ต้องให้นางเข้าวังด้วยหรือ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ขันทีก็เริ่มเอะใจเช่นกัน
“ก็เพราะว่าพวกเขาต้องการฟังนางบรรเลงเพลง ก็เลย…”
ขันทีเอ่ย
ขันทียังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกขัดเสียก่อน
ครั้งนี้น้ำเสียงของใต้เท้าเริ่มไปในทางโมโหขุ่นเคือง อีกทั้ง
ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มแข็งและเย็นชา
“ฟังนางบรรเลงเพลงงั้นหรือ!งานราษฎร์งานหลวงมีตั้ง
มากมายก่ายกองจนเหล่าขุนนางต่างพากันรอแทบไม่ไหว แต่แม่นาง
ผู้นี้กลับได้รับการต้อนรับจากวังหลวงถึงขั้นต้องนำราชรถไปรับไป
ส่ง” เฝิงหลินสบถโกรธ “อยากฟังเพลงบรรเลงนักจนถึงขั้นต้องเชิญนางมาที่วังกันเลยเชียวรึ หรือฝ่าบาททรงต้องการประกาศให้คน
ทั้ง
แผ่นดินได้รู้ว่าท่านมัวแต่สนใจสิ่งบันเทิง จนลืมงานราษฎร์
งานหลวงไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
ขันทีถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
เขาเป็นแค่ขันทีตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้มียศสูงอะไร พอมาเจอคำก่น
ด่าของขุนนางอย่างเฝิงหลินเข้า ก็ตกอกตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูก
อีกทั้งคนที่เขาเอ่ยถึงนั้นเป็นถึงฮ่องเต้เสียด้วย
แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ขุนนางจะเอ่ยตำหนิฮ่องเต้ก็ตาม
“เจ้าเองก็เหมือนกัน เจ้ามีหน้าที่ของเจ้า นอกจากจะไม่ได้
ช่วยกันเตือนแล้ว ยังจะเอาเรื่องนี้มาโพนทะนาไปทั่วอีก มันน่าจับ
ลงโทษเสียให้เข็ด”
สิ้นเสียงของเฝิงหลิน ขันทีคนนั้นถึงกับเข่าทรุด
อย่าว่าแต่ขุนนางระดับเฝิงหลินเลย แม้แต่ขุนนางระดับทั่วๆ
ไป ขันทีอย่างเขาก็ไม่กล้ามีปัญหาด้วย
ที่แย่ไปกว่านั้น ใต้เท้าเฝิงหลินนั้นไม่ใช่ขุนนางในวังธรรมดาๆ
เขาเป็นถึงขั้นผู้พิพากษาเฝิง ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นผู้พิพากษานรกมาเกิดที่ทำให้ชีวิตใครต่อใครวอดวายมาแล้วนักต่อนัก
ขันทีคุกเข่าลง แม้แต่คำสารภาพผิดก็พูดไม่ออก ได้แต่ก้มหัว
ลงกับพื้นอยู่อย่างนั้น ภายในใจของเขาร้อนรุ่ม พลางคิด เหตุใด
ถึงได้ซวยเช่นนี้ ดันได้หน้าที่มารับใต้เท้าเฝิงอับโชคผู้นี้ได้!ดูเข้าสิ
หาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้วไง!