พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 473 สมควร
เมื่อได้เห็นขันทีคุกเข่า เฝิงหลินจึงทำเป็นสะบัดแขนเสื้อ
เป็นเพราะความเมตตาของฝ่าบาท ขันทีพวกนี้นับวันจึงยิ่ง
ทำตัวโอหังมากขึ้น!
คนอย่างเฝิงหลินไม่คิดจะวุ่นวายกับขันทีตัวเล็กๆ อยู่แล้ว
เพราะนั่นจะทำให้เขาเสียชื่อเปล่าๆ สิ่งที่เขาทำได้ ก็แค่ดุด่าขันทีผู้
นั้น
ไปตามระเบียบ ขณะนั้นเอง ขันทีอีกสองนายที่กำลังพูดคุย
หัวเราะคิกคักอยู่เดินมาทางเฝิงหลินพอดี โดยไม่ได้ระวังเลยว่า
สถานการณ์เบื้องหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“… ใต้เท้าชุยดีใจเสียจนออกนอกหน้าเลยเชียว เห็นบอกว่า
ในที่สุดก็ได้พบกับแม่นางเฉิงตัวจริงเสียงจริง แถมยังได้ฟังคำสอน
ของนางกับหูของตนเองด้วย”
“…แม่นางเฉิงว่าอย่างไรบ้างเล่า จริงหรือไม่ที่ว่านางถูกบ่ม
เพาะมาจากเทพเซียน ถึงได้รู้วิชาขนาดนี้ ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย”“…นางเกิดมาพร้อมกับพรจากสวรรค์อยู่แล้วต่างหาก”
เฝิงหลินเมื่อได้ยินเข้า จากที่ข่มอารมณ์โกรธไว้ได้แล้ว ก็กลับ
เดือดปะทุขึ้นอีกครั้ง
“เกิดมาพร้อมกับพรจากสวรรค์อย่างนั้นรึ!” เฝิงหลินทำตาถมึง
ถึงใส่ “โอหังนัก บังอาจยกยอคนธรรมดาให้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ไปได้
อย่างไร!”
ขันทีทั้งสองเมื่อได้ยินเข้าก็ขวัญเสียจนทำอะไรไม่ถูก ขณะที่ยัง
เงยหน้าขึ้นมอง ไม่ชัดว่าคำด่าเมื่อครู่นั้นมาจากผู้ใด ก็รู้สึกได้ว่า
มีคนเดินผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว ขันทีทั้งสองหันไปดูอีกที ก็เห็น
เพียงเงาด้านหลังของชายร่างสูงโปร่งกำลังมุ่งหน้าไปยังวัง
“นั่นใครน่ะ” ขันทีทั้งสองเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ขณะนั้นเอง พวกเขาก็เห็นขันทีอีกคนที่กำลังคุกเข่าอยู่กำลังลุกยืน
ขึ้น
“ใครกันน่ะหรือ” ขันทีผู้นั้นหน้าซีดแถมยังมีเหงื่อซึมหน้าผาก
ทั้ง
ๆ ที่ตอนนี้อากาศหนาวจัด “ก็ผู้พิพากษาปีศาจอย่างไรเล่า!”
ผู้พิพากษาปีศาจอย่างนั้นหรือขันทีทั้งสองถึงกับพูดไม่ออก ส่วนขันทีที่เพิ่งลุกยืนขึ้นก็วิ่งผ่าน
พวกเขาทั้งคู่ออกไป
ขณะนั้นเอง ณ ตำหนักฮ่องเต้ เสียงหัวเราะของเหล่ากุ้ยเฟยก็
ค่อยๆ ดังขึ้นอีกครั้ง
“ไทเฮาบอกเช่นนี้จริงๆ หรือ” กุ้ยเฟยเอ่ย ในมือถือถ้วยชาดอก
ดาวเรืองอยู่
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างขำขัน “ไทเฮา
บอกว่าแม่นางเฉิงผู้นี้เป็นหญิงอมโรค ถึงได้ไม่ยอมแต่งงาน แล้วก็
บอกให้ฝ่าบาทระวังตัวไว้ มิเช่นนั้นเกรงว่านางจะฉวยโอกาสเอา
ตอนที่ไม่รู้ตัวน่ะขอรับ”
ฉวยโอกาสอย่างนั้นรึ
กุ้ยเฟยหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“โบราณกล่าวไว้ จงอย่ามีเรื่องกับสตรี โดยเฉพาะสตรีที่
น่านับถือที่สุดในแผ่นดิน” นางหัวเราะ พลางจิบชาดอกดาวเรือง
อย่างอ้อยอิ่ง“ทว่าก็มิได้มีใครขับไล่นางออกจากเมืองหลวงนี่” กุ้ยเฟยเอ่ย
ต่อ
“นายหญิง ใต้เท้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือ ว่าไม่ต้องเก็บเรื่อง
ของแม่นางเฉิงผู้นี้มาใส่ใจ ท่านลองดูสิ นี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วันเอง
นางก็ดันก่อเรื่องให้ไทเฮากริ้วเสียแล้ว” ขันทีผู้นั้นเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“แม้ว่านางจะเป็นผู้สร้างคุณูปการต่อแผ่นดิน ฮ่องเต้เองก็คง
คาดหวังอะไรบางอย่างจากนาง แต่ระหว่างนี้พวกเราไม่ควรเข้าไป
ยุแยงตะแคงรั่วนาง เพราะดูท่าทีแล้ว แม่นางเฉิงคงมิวายต้อง
ก่อเรื่องแปลกๆ ขึ้นมาตามเคยเป็นแน่ ดังนั้นแล้ว ขืนยังดันทุรังกัน
ต่อไป สักวันฮ่องเต้เองก็คงจะหมดความอดทนกับนางไปเอง
พ่ะย่ะค่ะ”
กุ้ยเฟยพยักหน้ารับแล้วจิบชาต่อ
“กุ้ยเฟย” ขันทีหันไปอีกทางเพื่อรินน้ำชาให้ พลางเอ่ยขึ้น “ถ้า
จะออกอุบายให้นางออกจากเมืองหลวง เราควรอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำ
อะไรเสียดีกว่า เพื่อมิให้ฮ่องเต้เคลือบแคลงใจในตัวกุ้ยเฟยกับใต้เท้ามิหนำซ้ำ การที่เราไล่นางออกจากวัง อาจกลับกลายเป็นว่าให้ท้าย
นางมากเกินไปก็เป็นได้”
“แล้วเจ้าว่าอย่างไรล่ะ” กุ้ยเฟยเอ่ยถาม
ขันทียิ้มขึ้นพร้อมรับถ้วยชาแล้ววางลง
“หากส่งนางไปที่ไกลๆ ก็เท่ากับว่าปล่อยนางลอยนวลไปน่ะ
สิขอรับ” ขันทีอธิบายต่อ “แต่ถ้าหากให้นางมาอยู่ใกล้ๆ ฮ่องเต้แล้ว
ฮ่องเต้ก็จะมองเห็นความผิดพลาดของนางได้ง่ายขึ้น”
กุ้ยเฟยพยักหน้า
“ข้าน้อยทราบดีว่ากุ้ยเฟยกังวลสิ่งใด” ขันทีพูดต่อ “แต่กุ้ยเฟย
ไม่ต้องเป็นกังวลไป แม่นางเฉิงนางเคยบอกปัดเรื่องการรักษามาแล้ว
ถึงสามครั้งสามครา ถึงต่อให้นางหาวิธีรักษาได้ แต่คนอย่างนางคง
ไม่คืนคำแน่นอน ผิงอ๋องเองนับวันก็ยิ่งอายุมากขึ้น อีกทั้งอยู่ใน
สายตาของทุกคนในวังด้วย”
กุ้ยเฟยหัวเราะเสียจนต้องลุกขึ้นมาจัดแจงกระโปรงตัวเองให้
เรียบร้อย“นั่นสินะ ข้าคงไม่ต้องเสียแรงไปคิดหนักหรอก แต่เรื่องที่ใหญ่
กว่าในตอนนี้ คือเรื่องคู่ครองของจิ้นอันจวิ้นอ๋องต่างหาก” นาง
หัวเราะ “ดูท่าทีแล้วจิ้นอันจวิ้นอ๋องคงได้อภิเษกสมรสก่อนเป็นคน
แรกในบรรดาลูกท่านหลานเธอทั้งหมด หากเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็
เอาล่ะ ลุกขึ้นเร็ว ไปเยือนตำหนักไทเฮากันเถิด ดูว่ามีเรื่องอันใดให้
พอลงมือทำได้บ้าง”
ขันทีเอ่ยขานรับ
ในขณะเดียวกัน จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังนั่งรถม้าอยู่นั้น ก็ได้รู้
ข่าวเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
“องค์ชายว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรดีขอรับ” ขันทีเอ่ยถามด้วย
ความกังวล
ผิดกับจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่แลดูสบายอารมณ์ยิ่งนัก
“เจ้าว่าอันใดกัน” เขาหัวเราะ “ก็ดีแล้วมิใช่รึ”
“ดีแล้วหรือขอรับ” ขันทีเอ่ยอย่างตกอกตกใจ “ดูเหมือนว่า
ครั้งนี้ไทเฮาจะตัดอนาคตแม่นางเฉิงเลยนะขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะลั่น“ตัดอนาคตอันใดกัน” เขาหัวเราะ “ก็แค่เรื่องงานอภิเษกเอง
เรื่องเล็กนิดเดียว ถึงกับใช้คำว่าตัดอนาคตเลยหรือ พวกเจ้าจะตกใจ
อะไรกันนักหนา”
เรื่องในอนาคตของเหล่าสตรีทั้งหลาย ก็หนีไม่พ้นการแต่งงาน
มิใช่หรืออย่างไร ขันทีคิดสงสัย
“มิหนำซ้ำ นี่ก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามย้อน
พลางหัวเราะ “ครั้งนี้ไทเฮาช่วยนางไว้ได้เยอะเลยเชียวล่ะ”
ขันทีขมวดคิ้วสงสัย
“เจ้านำข่าวดีนี้ไปบอกนางเสีย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องโบกไม้โบกมือ
ให้กับขันที “ไปขอคำตอบรับจากนาง”
ว่าอย่างไรนะ
ให้ไปขอคำตอบรับ หรือไปขอความเกลียดชังจากนางกันแน่
ขันทีเดินลงจากรถไปอย่างมึนงง
ณ เรือนของตระกูลเฉิง ปั้นฉินที่เพิ่งกลับมาถึงพร้อมกับเฉิง
เจียวเหนียง เมื่อได้พบกับขันทีจากวังมาถึงที่นี่ ก็รู้สึกตกใจอย่างอด
ไม่ได้ ทันทีที่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ปั้นฉินก็พลันไม่พอใจขึ้นมาไทเฮาประสงค์ให้ฝ่าบาทดูแลนายหญิงเรื่องหาคู่ออกเรือน
อย่างนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นท่านชายรองก็มาบงการนายหญิงในเรื่องนี้
ไม่ได้แล้วสิ
ว่าแต่ เหตุใดสีหน้าของขันทีผู้นี้ดูไม่ค่อยยินดีเลยล่ะ
“นี่มันเกินไปแล้วนะ!” สาวใช้เอ่ยอย่างโกรธเคือง หน้าเริ่ม
ถอดสี
ปั้น
ฉินรีบหันไปทางต้นเสียง
“ไทเฮาพูดเหมือนกับว่าคนที่จะมาเป็นคู่ครองนายหญิงของ
พวกเรา มีแต่พวกเห็นแก่ผลประโยชน์เท่านั้นสินะ” สาวใช้อธิบายให้
กับปั้นฉิน “แถมยังกล่าวหาว่านายหญิงว่าเป็นคนอมโรค ไม่สมควร
แต่งงานกับใคร ดังนั้นคนที่จะมาแต่งกับนายหญิงได้ ก็มีแค่พวกที่
เห็นแก่ชื่อเสียงของนายหญิง หรือก็คือพวกที่จะมาเกาะนายหญิงกิน
มาหาผลประโยชน์จากนายหญิงก็เท่านั้น เจ้าลองคิดดูสิ พวก
คนใหญ่คนโตที่ไหนเขาจะกล้าถูกมองเป็นคนแบบนั้นกัน ต้องถูกคน
หัวเราะเยาะเย้ย แถมอาจถูกระแวงจากฮ่องเต้ก็เป็นได้”
ปั้น
ฉินเริ่มจะเห็นภาพมากขึ้น สีหน้าของนางเองก็เริ่มไม่สู้ดีนัก“นี่มัน…” น้ำเสียงปั้นฉินสั่นเครือ เมื่อหันไปทางเฉิงเจียว
เหนียงก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้า
“นี่มันเรื่องน่ายินดีนี่ ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างมากที่
ส่งสาส์นมาให้ข้า” เฉิงเจียวเหนียงบอก พลางยิ้มหวานให้ “เจ้า
มาเอารางวัลไปสิ”
สาวใช้ตกตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่ แต่ก็ต้องรีบควักถุงเงินใน
กระเป๋า
ต้องตบรางวัลให้จริงๆ หรือ
ขันทีมองไปที่ถุงเงินอย่างมึนงง
เมื่อเห็นขันทีที่รีบเดินออกไปอย่างเร่งรีบ ปั้นฉินก็อดไม่ได้ที่จะ
ทรุดตัวนั่งลงไป
“นายหญิง นายหญิงไปก่อเรื่องในวังอีกแล้วหรือเจ้าคะ” ปั้น
ฉินเอ่ยถามขึ้น
“เหตุใดเจ้าจึงพูดคำว่า ‘อีกแล้ว’ เล่า” เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
พลางเอ่ยออกมา“ถ้าเช่นนั้น เหตุใดไทเฮาจึงทำเช่นนี้กับนายหญิงเล่าเจ้าคะ”
ปั้น
ฉินเอ่ยอย่างร้อนรุ่ม
“นั่นเป็นเรื่องของไทเฮา ข้ามิอาจรู้ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
พลางลุกยืนขึ้น
“นายหญิง นี่เป็นเรื่องดีอย่างที่นายหญิงว่าจริงๆ หรือเจ้าคะ”
สาวใช้ถาม
“ไทเฮาออกโรงช่วยข้ากำจัดพวกที่จะมาหาผลประโยชน์กับข้า
เจ้าว่าไม่ดีหรืออย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงย้อนถาม
ก็จริงอย่างที่นางว่า
ปั้น
ฉินผงกหัว แต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ทันใดนั้นสาวใช้ก็ยกมือตีตัวเอง
“นายหญิง ข้าหยาบคายอีกแล้ว” นางหัวเราะกลบเกลื่อน
“เจ้าไม่ได้หยาบคายหรอก แล้วก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่น
จะหยาบคายด้วย เป็นเพราะความไม่รู้ก็เท่านั้นเอง” เฉิงเจียวเหนียง
อธิบาย พลางลุกเดินเข้าไปด้านใน จากนั้นจึงถอดชุดคลุมยาวออก
รวมถึงปิ่นปักผมและหวีเงิน เผยให้เห็นเส้นผมดำยาวสลวยพวกเขาไม่รู้จักนางเสียแล้ว สิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจไม่ได้
แปลว่าจะต้องเป็นสิ่งที่นางให้ความสนใจ เพราะสำ หรับนางแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายเรื่องดีแค่ไหน ก็เหมือนๆ กันไปหมด
“ท่านพี่” ปั้นฉินรั้งสาวใช้เอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบา “จะไม่
เป็นไรจริงหรือ”
“มีแต่พวกที่คิดว่านายหญิงเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงเท่านั้นแหละ
ที่จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าดูสิ นายหญิงของพวกเราใส่ใจเรื่อง
พรรคนี้เสียที่ไหนกัน” สาวใช้หัวเราะ
ปั้น
ฉินพยักหน้า นั่นสินะ อย่าว่าแต่มักใหญ่ใฝ่สูงเลย อย่าง
นายหญิงของพวกเรา ให้แต่งกับท่านชายสิบเจ็ดนางก็ไม่ติดขัดอะไร
อยู่แล้ว
“กับเรื่องเช่นนี้ นายหญิงมิได้มีข้อเรียกร้องอะไรมากมาย
อยู่แล้ว” สาวใช้หัวเราะแล้วอธิบายต่อ “พวกคนที่หวังผลประโยชน์
จากนายหญิงแต่ไม่กล้าขอนางแต่งงาน กับพวกคนที่กลัวนายหญิง
มาขอผลประโยชน์จากพวกเขา คนพวกนี้ใช้ไม่ได้ เทียบฝุ่นนายหญิง
ไม่ได้เลยสักนิด คงจะต้องดูให้ละเอียดถี่ถ้วน คัดกรองพวกคนไม่ดีออกไปให้หมด จนกระทั่งเหลือแต่คนที่ดี ที่เหมาะสมเป็นคู่ครองกับ
นายหญิง เจ้าว่าเป็นเรื่องไม่ดีอย่างนั้นรึ”
ปั้น
ฉินเข้าใจโดยฉับพลัน แล้วยิ้มกว้างออกมาทันทีทันใด
“ข้าก็เป็นห่วงแทบแย่” ปั้นฉินเอามือตบที่หน้าอกตัวเอง รู้สึก
เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก “เช่นนั้นข้าไปทำกับข้าวก่อนล่ะ”
สาวใช้ยิ้มพยักหน้า มองดูปั้นฉินที่รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วรอยยิ้มของนางก็หุบลง
“เพียงแต่ว่า คนดีๆ แบบนั้นจะมีอยู่จริงใช่ไหม” สาวใช้เอ่ย
คนที่ไม่รังเกียจอดีตของนาง คนที่ไม่เห็นแก่ชื่อเสียงของนาง
คนที่ไม่กลัวคำเย้ยหยันของใครต่อใคร
“คนแบบนั้นมีที่ไหนกันบนโลกใบนี้”
ภายในห้องทำงาน เกาหลิงปอที่กำลังหัวเราะยกใหญ่วางถ้วย
ชาลง
“นั่นสินะ หากแผ่นดินรุ่งโรจน์ ก็ย่อมมีโชคตามมา แต่
ถ้าแผ่นดินวุ่นวาย โชคก็ย่อมหนีไป” ลูกน้องเขาหัวเราะพลางริน
ชาให้“โบราณว่าไว้ อย่ากลั่นแกล้งผู้อื่น เพราะนั่นเท่ากับกลั่นแกล้ง
ตนเอง” เกาหลิงปอเอ่ยขึ้น “นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ปล่อยให้นาง
ทำตัวของนางเอง แล้วค่อยดูลาดเลาเอาดีกว่า”
สิ้นประโยคเมื่อครู่ไม่ทันไร ก็มีคนจากด้านนอกเปิดประตู
เข้ามาอย่างเร่งรีบ
“โอหังนัก เข้ามาโดยไม่ขออนุญาต คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!”
ลูกน้องของเกาหลิงปอดุด่าเสียงดัง
ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาจนแทบจะหายใจไม่ทัน
เกาหลิงปอรู้จักเขา ทหารผู้นี้อยู่เวรที่ตำหนักฉินเจิ้ง
“ได้เรื่องอันใดจากทางฝ่าบาทมาบ้าง” เกาหลิงปอเอ่ยถาม
เสียงเบา
ทหารผู้นั้นค่อยๆ เขยิบมาข้างหน้าแล้วกระซิบข้างใบหูของเกา
หลิงปอ
เมื่อได้ฟังดังนั้น ตอนแรกเขารู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน สักพัก
หนึ่งเขาก็พ่นเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
“อะไรจะเร็วปานนี้” เขาพลางเอ่ยพลางหัวเราะในเวลานี้ ทั้งไทเฮา กุ้ยเฟย จิ้นอันจวิ้นอ๋อง เฉิงเจียวเหนียง
และเกาหลิงปอ ต่างก็ยินดีปรีดา มีก็แต่ฮ่องเต้ที่ดูกลัดกลุ้มอยู่
ไม่น้อย
เดิมทีฮ่องเต้ก็อารมณ์ดีอยู่แล้ว แต่พอได้รับคำตำหนิจากเหล่า
ขุนนางราชสำ นัก ที่พากันเข้ามาติดต่องานราษฎร์งานหลวงต่างๆ
ว่าฮ่องเต้นั้นให้ความสำ คัญกับงานรื่นเริงมากกว่างานของแผ่นดิน
ฮ่องเต้รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เดิมร่างกายก็ไม่ค่อย
จะสู้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตมาก็ไม่เคยได้มีช่วงเวลารื่นเริงอย่าง
ใครเขา ดันมาถูกตำหนิในเรื่องเช่นนี้เสียได้ แม้จะไม่สบอารมณ์นัก
แต่ก็ต้องฝืนใจ
การกลับมาเมืองหลวงของเฝิงหลินในครั้งนี้ เขาได้เลื่อนขั้นเป็น
ผู้ช่วยราชเลขาธิการ มีหน้าที่คอยกำกับดูแลอำนาจและขอบเขตของ
เหล่าข้าราชสำ นัก ใครจะไปรู้ล่ะว่า คนที่ถูกเฝิงหลินจับตาเล่นงาน
รายแรกนั้นจะเป็นฮ่องเต้ไปเสียได้
“เรารู้แล้ว” ฮ่องเต้ไม่มีกะจิตกะใจจะฟังต่อ จึงรีบบอกปัด
“เรื่องส่งมอบและรับช่วงต่อตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขาธิการก็มิต้องเร่งรีบอันใด เจ้าออกไปรับราชการนอกเมืองคงเหนื่อยใช่ย่อย จวน
จิงเหยาที่จะให้เจ้าเข้าพักก็เตรียมไว้เสร็จสรรพแล้ว เจ้าพาครอบครัว
ของเจ้าเข้าพักได้ แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว เจ้าใช้
เวลากับครอบครัวให้เต็มที่เถิด”
ความเมตตาและอ่อนโยนของฮ่องเต้นั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน
ทุกหมู่เหล่า
“ขอบพระทัยเป็นอย่างสูง ฝ่าบาท แต่ข้าไม่ต้องการพักผ่อน”
เฝิงหลินถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พลางเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้ยิ้มรับคำขอบคุณจากเฝิงหลิน กะว่าจะพูดเอาใจเขาอีก
เสียหน่อย แต่เมื่อสิ้นประโยคเมื่อครู่ ฮ่องเต้ถึงกับต้องรีบหุบยิ้ม
“ข้าได้เชิญคนจากศาลต้าหลี่ให้ตรวจสอบพฤติกรรมกล่าวเท็จ
ล่อลวง ปลุกปั่น บังคับขู่เข็ญ สมคบคิด นอกลู่นอกทาง งมงายเรื่อง
เทพเซียน ประพฤติผิดบาปของสตรีแซ่เฉิงนางนั้นไว้แล้วขอรับ”
เฝิงหลินเอ่ยเสียงเคร่งขรึมและหนักแน่น
ขันทีที่เดิมสีหน้ายังไม่เปลี่ยนเป็นดีขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของ
เฝิงหลินเข้า ก็ถึงกับสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือดอีกครั้ง
ประพฤติผิดบาปอย่างนั้นหรือ!
ให้ตายเถอะ สมกับเป็นผู้พิพากษาปีศาจจริงๆ อำนาจในกำมือ
ของเขาสามารถตัดสินความเป็นความตายของคนได้ เพิ่งจะกลับ
มายังเมืองหลวงได้ไม่นาน ก็คิดจะกำจัดผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็น
ลูกรักของเทพเซียนอย่างเฉิงเจียวเหนียงแล้วหรือนี่