พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 474 เจตนา (1)
กล่าวเท็จ ล่อลวง ปลุกปั่น บังคับขู่เข็ญ สมคบคิด
นอกลู่นอกทาง งมงายเรื่องเทพเซียน ประพฤติผิดบาป
ภารกิจแรกของผู้ตรวจการคนใหม่นามเฝิงหลิน ถูก
แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างฉับพลันทันใด
“เจ้าเฝิงหลินนั่นเป็นบ้าไปแล้วหรือ” นายใหญ่เฉินถามขึ้นด้วย
ความรู้สึกงุนงง “เฉิงเจียวเหนียงไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือ
อย่างไร”
“กล่าวเท็จ หมายถึงเรื่องที่เดิมพันไว้กับฝ่าบาทว่าขอให้ฟ้าผ่า
รวมถึงเรื่องที่นางไม่ได้เล่นเพลงให้คนฟัง”
“ล่อลวง น่าจะหมายถึงตอนที่แจกเหล้าเขาเม่าหยวนซานจน
ผู้คนต่างพากันถามหา”
“ปลุกปั่น น่าจะหมายถึงเรื่องที่นางผูกมิตรกับฮ่องเต้ ไทเฮา
และจวิ้นอ๋อง”“บังคับขู่เข็ญ น่าจะหมายถึงหลังจากที่พี่น้องของนางถูก
กล่าวหา นางก็เลยถวายอาวุธของนางเพื่อกลบเกลื่อนความผิด”
“ส่วนสมคบคิด…”
เมื่อเฉินเซ่าพูดถึงตรงนี้ นายใหญ่เฉินจึงยื่นมือชี้ไปที่เขา
“เจ้า” นายใหญ่เฉินถามขึ้น
เฉินเซ่ายิ้มเจื่อนรับ
“แล้วเรื่องนอกลู่นอกทาง กับเรื่องงมงายเล่า” นายใหญ่เฉิน
ขมวดคิ้วถาม
“ว่ากันว่ากิริยาท่าทางและวาจาของนางแฝงไปด้วยเจตนาร้าย
ยกยอว่าตนเองเกิดมาก็มีพรสวรรค์อยู่แล้ว เห็นว่าพวกขันทีตัวเล็กๆ
บอกเล่ากันมาอีกที” เฉินเซ่าอธาย
“พูดจาเลอะเทอะ!” นายใหญ่เฉินสบถพลางเขวี้ยงถ้วยชาที่อยู่
ในมือ “ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเกี่ยวกับนางเสียที่ไหนกัน เป็นคำพูดต่อๆ
กันจากปากชาวบ้านทั้งนั้น!ข้าก็นึกว่าเจ้าเฝิงหลินนี่จะเป็นคนสติดี
ที่แท้ก็คนโง่ๆ พูดจาเลอะเทอะ!”
“ฝ่าบาทเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันเกินไปจริงๆ ”เฉินเซ่าเอ่ยนายใหญ่เฉินเลิกตามองไปที่เขา
“แล้วเจ้าว่ามันเกินไปไหมเล่า”เขาถามขึ้น
เฉินเซ่าหัวเราะ
“ท่านพ่อ ยังต้องให้ข้าบอกอีกหรือ”เฉินเซ่าพูดขึ้น พลาง
ผงกหัว “ท่านพ่อ ข้าก็ไม่ได้พอใจการกระทำของนางเสียเท่าไหร่
หรอก ทว่าข้าเองก็ไม่ใช่พวกที่ลืมคุณคน หรือถึงขั้นเกลียดนางเสีย
จนสาปแช่งนาง”
นายใหญ่เฉินถอนหายใจหนึ่งเฮือก
“ช่วยไม่ได้สินะ ค่อยดูลาดเลาไปก็แล้วกัน”เขาเอ่ย “มิหนำซ้ำ
เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนางแต่ละเรื่องก็ล้วนเป็นที่จับตามองของ
ใครๆ ต่อมิใครๆ ทั้งนั้น”
“ต่อให้เรื่องเงียบลงไปสักพัก แต่เจ้าเฝิงหลินนั่นดูท่าเป็นคน
หัวแข็งใช่ย่อย ถ้าไม่ถึงที่สุดก็คงจะไม่รามือง่ายๆ คงจะคอยจดจ้อง
เรื่องนี้ตาไม่กระพริบ” เฉินเซ่าเอ่ย
“เรื่องที่เขากล่าวหามาทั้งหมดนั้นช่างไร้เหตุไร้ผลที่สุด!เป็นการ
คาดเดาไปเองทั้งนั้น ไม่มีเค้ามูลความจริงเลยสักนิด!” นายใหญ่เฉินเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
… “
ไม่มีเค้ามูลความจริงเลยสักนิดเลยหรือ”
ภายในห้องทำงานเฝิงหลินที่สวมชุดขุนนางราชสำ นักกำลัง
หัวเราะเสียงดัง
“คิดหรือว่าอย่างฝ่าบาทจะคอยมานั่งดูความจริงกัน”
“ฝ่าบาทไม่รู้หรือว่าควรต้องตัดหนามอย่าไว้หน่อ”
“เรื่องราวที่นางก่อไว้ทั้งหมด นับวันยิ่งพอกพูนขึ้น ปิดอย่างไรก็
คงไม่มิดเสียแล้ว!”
เฉินเซ่าเดินเข้าไปอย่างเคร่งขรึม
“ท่านผู้ช่วยเฝิง ท่านใส่ร้ายนางครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวหาว่า
นางเป็นต้นเหตุความหายนะ นางไปทำอะไรเข้าเล่า” เขาขมวดคิ้ว
ตะโกนถามเฝิงหลิน
“นางหลอกลวงว่าตนเป็นผู้วิเศษ ล่อลวงให้ผู้คนคล้อยตาม
แทรกแทรงปั่นหัวชาวบ้าน แหกกฎเกณฑ์บ้านเมือง ปลุกปั่นเพื่อ
ประโยชน์ส่วนตัว” เฝิงหลินเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจใคร“เจ้าพูดจาเลอะเทอะ” เฉินเซ่าตวาดใส่ “นางจะทำเรื่องเช่นนี้
ได้อย่างไรกัน”
“หรือว่าท่านเฉินรู้อะไรบางอย่าง ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า
ใช่หรือไม่ใช่ฝีมือนางจริงๆ” เฝิงหลินถามย้อน
เกาหลิงปอที่ยืนอยู่ด้านหลังแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
ช่วงเวลาแบบนี้แหละ คือหนึ่งช่วงเวลาที่เขารู้สึกสนุกที่สุด
นับตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานในราชสำ นัก
และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกชะตากับเฝิงหลิน จนเกือบจะลืม
ไปแล้วว่าเจ้าเฝิงหลินผู้นี้เคยก่อเรื่องอะไรไว้ เขาเคยทำให้ทรัพย์สิน
ของตระกูลเขาเสียหายไปครึ่งหนึ่ง จนทำให้บิดาของเขาถึงกับโกรธ
เป็นฟืนเป็นไฟ เหล่าคนในตระกูลเกาต่างก็คอยสาปคอยแช่ง
เฝิงหลินอยู่ทุกวัน
เอาเป็นว่าเกาหลิงปอยังคงเกลียดขี้หน้าทั้งสองคนอยู่ดี ให้
พวกเขากัดกันเองแล้วถูกไล่ออกจากวังไปให้หมดเสียก็คงดี
จะว่าไปแล้ว แม่นางเฉิงผู้นี้ก็ไม่เลว ถึงแม้นางจะทำให้กองทัพ
ตะวันตกเฉียงเหนือเกิดความเสียหาย แต่ถ้านางสามารถเป็นชนวนทำให้สองคนนี้ออกจากวังได้ เอ ไม่สิ ให้ออกไปแค่คนเดียวก็คง
พอแล้ว
เกาหลิงปอเป็นคนไม่โลภมากและไม่บุ่มบ่ามขนาดนั้น
“…นางเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดิน เท่ากับว่าตอนนี้เจ้ากำลังใส่ร้าย
นาง!” เสียงตะโกนของเฉินเซ่ากึกก้องไปทั่วห้องโถง
“ถ้าหากนางบริสุทธิ์ใจทำเพื่อแผ่นดินจริง อย่างนั้นก็ควร
มอบอาวุธให้ตั้งแต่แรกแล้วสิ ไม่ใช่ว่ารอให้เรื่องแดงก่อนแล้วค่อย
ยอมรับ หากฝ่าบาทยังมัวแต่ให้ความเมตตากับสตรีผู้นี้ที่เอาแต่ฝ่า
ฝืนกฎเกณฑ์ แผ่นดินคงต้องตกอยู่ในความไม่สงบ” เฝิงหลิน
ต่อปากต่อคำอย่างไม่ยั้ง
“…นางเป็นพวกคนกลับกลอกชั่วร้ายบาปหนา ถือเป็นภัยต่อ
แผ่นดิน ข้าต้องเตือนผู้คนให้ตั้งสติ มิเช่นนั้นทุกอย่างอาจจะสายเกิน
แก้!”
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งในตอนนี้สีหน้าไม่สู้ดีนัก พลาง
ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก
เกาหลิงปอเมื่อได้เห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อย“เฝิงหลินเป็นใครกัน”
หลังจากที่เลิกงานจากราชสำ นักแล้วกลับมายังที่บ้านของตน
เกาหลิงปอก็ได้เปลี่ยนชุด นั่งพิงลงบนเก้าอี้เอกเขนก สายตาพลาง
มองไปยังเหล่าหญิงสาวที่กำลังร่ายรำ ปากพลางพูดคุยกับเหล่า
นายทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการ
“ก็เป็นคนที่ก้าวข้ามหีบศพของผู้อื่นเพื่อตำแหน่ง เป็นคนที่
ต่อให้ตายไปก็จะเป็นผีมาคอยกินเลือดเนื้อของเจ้า เป็นคนที่จัดอยู่
ในหมวดหมู่พวกสารเลว พวกกัดไม่ปล่อยยังไงเล่า”
เหล่าทหารต่างพากันหัวเราะ
“ใครจะไปนึกเล่าว่า แค่เพิ่งกลับมาเมืองหลวง ก็ดันเลือก
เล่นงานแม่นางเฉิงเสียอย่างนั้น สงสัยเทวดาบนสวรรค์ท่าจะเพี้ยน”
พวกเขาเอ่ยขึ้น
เกาหลิงปอหัวเราะเยาะเย้ย พลางตบมือให้เข้ากับจังหวะเพลง
ที่กำลังเล่นอยู่
“แต่เทวดาบนสวรรค์ไม่ได้เพี้ยนแบบนี้ให้กันบ่อยๆ นี่นา” เขา
เอ่ยขึ้น พลางยื่นซองจดหมายทิ้งลงไปข้างหน้า “พวกเจ้าลองอ่านจดหมายของซูจิ่งเหวินดูสิ”
พวกทหารต่างพากันวุ่นวายกับการเปิดซองจดหมาย เมื่อได้
อ่านเนื้อความก็อดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงหัวเราะออกมา
“เรื่องมันเป็นเช่นนี้นี่เอง” พวกเขาเอ่ยขึ้น “ที่แท้ก็วางอุบายไว้
แล้วนี่เอง มิน่าเล่าเจ้าเฝิงหลินนั่นถึงได้ดูกระเหี้ยนกระหือรือเล็งเป้า
ไปที่แม่นางเฉิงอย่างกับคนบ้า”
“นายท่านช่างฉลาดเป็นกรด” หนึ่งในพวกทหารเอ่ยขึ้น
พร้อมกับยกมือคารวะเกาหลิงปอ
อีกทั้งยังมีคนยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่มอวยชัย
“อย่างที่เขาว่ากันว่า ชะตาฟ้าลิขิตก็สู้คนลิขิตมิได้ ต้องให้คน
ลิขิตก่อน ฟ้าถึงจะเปิดทางให้” ทหารผู้นั้นหัวเราะ พลางเรียกให้
ทุกคนมารวมตัวกัน “เร็วเข้า เร็วเข้า พวกเรามาดื่มฉลองให้นายท่าน
กัน”
ทุกคนต่างพากันยกถ้วยเหล้าขึ้น เกาหลิงปอที่กำลังถูก
ยกยอปอปั้นก็ดีใจออกนอกหน้า พลางยกถ้วยเหล้าขึ้นกระดกจน
เกลี้ยง“แต่ว่า นายท่าน เจ้าเฝิงหลินนั่นมันยืนกรานว่าแม่นาง
เฉิงเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมด แล้วถ้าหากแม่นางเฉิง
จะควักอาวุธที่เหมือนกับคราวก่อนออกมาเล่า” ทหารผู้หนึ่งนึกอะไร
ขึ้นได้จึงรีบเอ่ยขึ้น “ถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกไม่กลายเป็นว่า
จะบานปลายกว่าเดิมหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นเฝิงหลินคงจะไม่เอานาง
ถึงตายเลยใช่ไหม”
ก็อาจจะเป็นอย่างที่ว่า…
จู่ๆ ในห้องก็เกิดความเงียบขึ้น
เกาหลิงปอหัวเราะลั่นพลางคว้าถ้วยเหล้าไว้
“นางมีเหตุผลอันใดที่จะต้องควักอาวุธออกมากันอีกเล่า
หรือว่านางมีญาติพี่น้องให้พึ่งพาได้อีก หรือว่านางมีคนใหญ่คนโต
คอยให้ท้ายอยู่งั้นรึ”เขาอธิบาย “ลูกหลานบ้านตระกูลโจวก็ได้ยศได้
ตำแหน่ง พวกเขาเองได้รางวัล แถมเหล่าพ่อแก่แม่เฒ่าตระกูลเฉิงก็
ถูกแต่งตั้งและถูกย้ายให้เข้ามาในเมืองหลวง เจ้าว่านางจะต้องคอย
ความช่วยเหลือจากใครอีกงั้นร