พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 474 เจตนา (2)
“อย่าลืมสิว่า นางเป็นพวกมีกฎเกณฑ์เป็นของตนเอง อีกทั้ง
นางเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น”
“ขนาดนางอยู่ต่อหน้าไทเฮายังกล้าปฏิเสธไม่เล่นฉิน แล้วอย่าง
เล่า ตอนนี้นางจะละเมิดกฎที่ตัวเองตั้งไว้ แล้วนำอาวุธออกมาอีก
อย่างนั้นรึ”
“ถ้านางกล้าทำเช่นนั้นจริงๆ แล้วละก็ เฝิงหลินคงรีบหาทาง
กำจัดนางให้เร็วที่สุดอย่างแน่นอน!”
เหล่าทหารต่างพากันออกความคิดเห็นต่างๆ นานา
เสียงหัวเราะก็พลันดังขึ้น บรรยากาศในห้องเริ่มคึกคักอีกครั้ง
“ครั้งนี้พวกเราแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย คอยนั่งดู
ความสนุกที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ดีกว่า”
เสียงหัวเราะกึกก้องไปทั่วห้อง พร้อมทั้งบรรยากาศครื้นเครงที่
พร้อมกับสาวนางรำและเสียงเพลงคอยให้ความบันเทิง แม้ประตูและหน้าต่างที่ปิดมิดชิดนั้นก็มิอาจปิดกั้นกลิ่นอายความสนุกสนาน
ที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง
ขณะเดียวกัน ณ เรือนของตระกูลโจว บรรยากาศเต็มไปด้วย
ความตึงเครียด
นายใหญ่โจวที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง ก็เห็นว่าเหล่าสาว
ใช้กำลังจัดข้าวจัดของลงกระเป๋าสัมภาระอย่างวุ่นว่าย
“ทำอะไรกัน” เขาตวาดถาม
“นายท่าน รีบเก็บของเร็ว เราจะกลับส่านโจวกันเดี๋ยวนี้”
ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้น พลางดึงแขนนายใหญ่โจว “เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
“เหลวไหลน่า!” นายใหญ่โจวตะคอกเสียงดัง “พวกตระกูล
เฉิงไร้ยางอายนั่นกำลังจะย้ายเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ถ้าพวกเรา
ย้ายออก แล้วเจียวเจียวร์จะอยู่ยังไง”
“ยังจะห่วงเจียวเจียวร์อีก ก่อนจะถูกพวกตระกูลเฉิงเล่นงาน
พวกเราคงได้โดนเฝิงหลินตัดหัวก่อนแน่!” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่าง
ร้อนรน “นายท่าน พวกเราอย่าเข้าไปยุ่มย่ามกับนางเลย ขืนอยู่
อย่างนี้คงไม่มีวันไหนที่สงบสุขหรอก”นายใหญ่โจวถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางสะบัดนางทิ้ง
“จะกลัวอะไรกัน ที่เจียวเจียวร์เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ได้
ก็เพราะว่านางผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมาย แล้วทุกครั้งไม่ว่าเรา
เจอกับปัญหาอะไรก็ผ่านมันไปได้มิใช่หรือ แถมนางยังถูกยกย่องว่า
เป็นผู้สร้างคุณูปการต่อแผ่นดินอีกด้วย” เขาอธิบาย สีหน้าแลดู
ไม่สบอารมณ์ “มรสุมพวกนี้ สำ หรับนางแล้วก็เป็นแค่ก้อนหินเล็กๆ
ก้อนหนึ่งที่นางต้องเดินก้าวข้ามไปแค่นั้นเอง”
ฮูหยินโจวมองเขาอย่างกึ่งเชื่อใจกึ่งไม่เชื่อใจ
“นายท่าน แต่ครั้งนี้เป็นถึงขั้นเฝิงหลินเลยนะ” นางเอ่ย
“เฝิงหลินที่มีพรรคพวกเยอะๆ นั่นน่ะ”
“ก็เพราะว่าเป็นเฝิงหลินนี่แหละ ก็ยิ่งไม่น่ากลัวเข้าไปใหญ่”
นายใหญ่โจวเอ่ยขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ
ฮูหยินโจวรีบดึงตัวเขาเข้าไปด้านในห้อง
“นายท่าน นายท่านปิดบังอันใดอยู่หรือไม่ ครั้งนี้เจียวเจียวร์จะ
ไม่เป็นอะไรจริงหรือ” นางกระซิบถาม
นายใหญ่โจวลูบหนวดตนเองพลางหัวเราะ“จะปิดบังอะไรกันเล่า ก็เป็นเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่มิใช่รึ” เขาเอ่ย
ขึ้น “เจ้าลืมแล้วหรือ ว่าเฝิงหลินเป็นอะไร”
“ก็เป็นผู้ช่วยราชเลขาธิการไงเล่า” ฮูหยินโจวเอ่ยออกมาด้วย
ความงงงวย
นายใหญ่โจวกระแอมแล้วพยักหน้า
“ข้าหมายถึงฉายาของเจ้านั่น”
“ผู้พิพากษาปีศาจอย่างไรเล่า” ฮูหยินโจวตอบ
นายใหญ่โจวบีบมือนาง
“ก็ใช่น่ะสิ” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้านั่นมันเป็นผีจากนรก แต่เจียว
เจียวร์ของพวกเราเป็นนางฟ้า นางฟ้าไม่กลัวผีหรอก”
ฮูหยินโจวมองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นกลัว จากนั้นเสียง
กรีดร้องของนางก็ดังลั่นไปทั่วทั้งเรือน
“ตามคนมาที รีบไปเรียกหมอมาด่วน นายท่านบ้าไปแล้ว”
คนที่บ้าไม่ได้มีแค่นายใหญ่โจวเท่านั้น
และแล้วเรื่องนี้ก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองพวกชาวบ้านไม่ได้สนใจคำพูดของพวกขุนนางราชสำ นัก
เท่าใดนัก แต่พวกเขากลับสนใจบุคคลที่เป็นตัวต้นเรื่องเสียมากกว่า
คนที่ถูกขนานนามว่าเป็นปีศาจ กับอีกคนที่ถูกขนานนามว่า
เป็นศิษย์รักของเทพเซียน ใครๆ ต่างก็ว่ากันว่าคนธรรมดามิอาจ
แตะต้องผีสางเทวดาได้ ดังนั้นเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ที่เฉิงเจียว
เหนียงเคยประสบพบเจอมาก็มักจะกลับกลายเป็นเรื่องดีอยู่เสมอ
แต่ว่าถ้าเป็นคราวนี้เล่า
ใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบ ต้องคอยดูกันแล้วเล่า!
“…ยังไงนางฟ้าก็ต้องชนะอยู่แล้ว!”
“…ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก นางฟ้าเองก็อาจถูกผีบ้าแกล้งบ้าง
ก็ได้…เพราะยังไงนางก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง…”
“…เขาก็บอกกันแล้วนี่ว่าคนจากศาลต้าหลี่ไปจับตัวนาง
มาแล้ว…”
“…เรื่องจริงหรือนี่…”
บ่าวรับใช้ที่ได้ยินคำโพนทะนาของชาวบ้านเข้า ก็ทนฟังไม่ได้
อีกต่อไป เขารีบโยนเงินค่าน้ำชาแล้วรีบวิ่งออกจากร้าน ก่อนจะหยุดฝีเท้าตรงหน้าเรือนหลังหนึ่ง
“ท่านผู้ช่วย ไปวิ่งเล่นที่ไหนมาเล่า”
บ่าวรับใช้อีกคนที่อยู่ในบ้านเอ่ยถามขึ้น
“ข้าไม่ได้ออกไปเล่น” บ่าวที่เพิ่งวิ่งมาเมื่อครู่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้า
อันแลดูร้อนรน “เกิดเรื่องกับแม่นางเฉิงอีกแล้ว”
บ่าวรับใช้ที่อยู่ในบ้านตกใจ
“เกิดเรื่องอะไรอีกเล่า นี่ยังไม่หมดวันเลยนะ” เขาเอ่ยถาม
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าเองก็ตกใจเหมือนกัน” บ่าวอีกคนเอ่ย สายตา
พลางมองไปยังเรือนอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าจะนำเรื่องไปบอก
ท่านชาย”
ยังไม่ทันจะได้วิ่งออกไป ก็ถูกบ่าวอีกคนรั้งไว้
“ท่านผู้ช่วยอย่าเพิ่งพูดตอนนี้ เมื่อวานท่านก็ไปบอกเรื่องที่
ไทเฮาจะให้แม่นางเฉิงขายไม่ออก ก็ถูกท่านชายหัวเราะเยาะใส่
มิใช่หรือ” บ่าวอธิบาย “แถมยังบอกว่าที่ไทเฮาทำเช่นนี้ แม่นาง
เฉิงกลับมีแต่ได้กับได้ เป็นเรื่องน่ายินดี แถมท่านชายยังกำชับอีกว่า
ถ้าหากเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ไม่ต้องแจ้งให้ท่านรู้ก็ได้”“แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน่ะสิ” บ่าวที่เป็นผู้ช่วยเอ่ยขึ้นอย่าง
ร้อนรน
“เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอย่างนั้นรึ แต่ท่านชายก็เคยบอกไว้
แล้วนี่ว่า ต้องเป็นเรื่องถึงเป็นถึงตายเท่านั้นถึงจะให้ไปบอกได้” บ่าว
อธิบายอย่างดุๆ จากนั้นผู้ช่วยจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ด้วยสินะ!”
“ฆ่าตัดคองั้นหรือ”
ท่านชายฉินสิบสามวางหนังสือที่อยู่ในมือลง ขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“ใครกันที่อยากจะตัดหัวนาง”
“เฝิงหลิน” บ่าวผู้ช่วยรีบตอบ “เฝิงหลิน ที่ได้สมญานาม
ผู้พิพากษาปีศาจ”
“เฝิงหลินงั้นรึ” ท่านชายฉินสิบสามเลิกคิ้วถาม “ใครกันอีกเล่า
เนี่ย”
“เฝิงหลินที่เคยทำคดีถนนไท่ชางแล้วย้ายมาดูแลคดีเสบียง
แล้วก็ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยราชเลขาธิการ…” บ่าวผู้ช่วย
อธิบายยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกท่านชายฉินสิบสามแทรกคำพูด
“ข้ารู้ว่าเจ้านั่นมันเป็นใคร แต่ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดจึงจ้อง
จะตัดหัวนาง!” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิด
อย่างนี้นี่เอง บ่าวผู้ช่วยขานรับ
“ข้าได้ยินคนในโรงน้ำชาพูดกันว่า ผู้พิพากษาปีศาจนั่น
เดินผ่านสวนทางกับแม่นางเฉิง วินาทีนั้นเขาก็รู้สึกถึงพลังชั่วร้าย
บางอย่าง จึงได้ทำเรื่องยื่นไปที่ฮ่องเต้เพื่อประสงค์จะปลดชีวิตนาง
…”
บ่าวยังไม่ทันจะเอ่ยจบ ท่านชายฉินสิบสามก็เอ่ยแทรกต่อ
“คนในโรงน้ำชางั้นรึ” เขาเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เจ้านี่แกล้ง
โง่หรือโง่จริงกันแน่ ทำไมไม่ไปถามคนในบ้านนางเล่า”
บ่าวผู้ช่วยเองก็รู้ดีว่าท่านชายเป็นห่วงแม่นางเฉิงแค่ไหน เขา
เองก็เคยกำชับไว้แล้วว่าถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับนางก็ให้รีบมาบอกเขา พอ
ได้ยินอะไรมาก็รีบวิ่งมารายงานเลยในทันใด เพราะกลัวว่าเขาจะรอ
ยู่
บ่าวผู้ช่วยค่อยๆ ลุกยืนขึ้นอย่างรู้สึกผิด“ข้าน้อยจะรีบไปสืบเดี๋ยวนี้ขอรับ” บ่าวผู้ช่วยเอ่ยขึ้น
ขณะที่เขายังลุกขึ้นยังไม่ทันเสร็จสรรพ ท่านชายฉินสิบสามก็
ชิงลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรีบย่างเท้าเดินออกไป
“ไม่ต้องแล้ว ข้าไปถามเอง”เขาเอ่ยขึ้น
ไปถามเองอย่างนั้นรึ
แต่ก็นะ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ควรไปถามให้รู้ด้วยตัวเอง
บ่าวผู้ช่วยลุกยืนขึ้น มองไปเห็นชุดคลุมยาวที่แขวนอยู่ จึงรีบ
หยิบแล้ววิ่งตามท่านชายฉินสิบสามไป
“ท่านชาย ลืมสวมเสื้อขอรับ”