พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 475 ความถูกต้องคลองธรรม
ท่านชายฉินสิบสามกระตุกม้าให้วิ่งช้าลง สายตาพลางมองไป
ยังด้านข้าง
“ท่านชาย ข้าไปเรียกคนให้เปิดประตูก่อนขอรับ” บ่าวที่มา
ด้วยกันรีบเอ่ยขึ้น พลางลากม้าไปไว้ยังข้างสะพานอวี้ไต้
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยเรียกให้บ่าวหยุด
“อย่าเพิ่งเข้าไปหานาง ข้าต้องรู้เรื่องให้ได้ก่อนว่าเกิดอันใดขึ้น
กันแน่” เขาเอ่ย พลางควบม้าไปยังอีกที่หนึ่ง
บ่าวรับใช้รีบตามไป
อาลักษณ์หลวงฉินไม่ได้อยู่ในบ้าน ท่านชายฉินสิบสามจึงรีบไป
ยังราชสำ นัก เมื่อทั้งสองได้พบกัน ดูเหมือนว่าอาลักษณ์หลวงฉินจะ
ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่ได้เจอเขา
“มาเร็วดีนี่” อาลักษณ์หลวงฉินหัวเราะ “ข้านึกว่าคนโลก
ส่วนตัวสูงอย่างเจ้าคงต้องรออีกสักสองสามวันกว่าได้จะรู้ข่าวเสียอีก”
ท่านชายฉินสิบสามนั่งลง ไม่สนใจคำล้อเลียนของบิดา
“ท่านพ่อ เรื่องครั้งนี้เป็นเพราะเหตุใดกัน” เขาเอ่ยถาม
“หรือว่ามีใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้กัน”
อาลักษณ์หลวงฉินส่ายหน้า
“ครั้งนี้ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังหรอก” เขาตอบ
สีหน้าของท่านชายฉินสิบสามเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ทั้งหมดเป็นฝีมือเฝิงหลินผู้เดียวอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ยากแล้วสิ” ฉินสิบสามเอ่ย
คนอย่างเฝิงหลินเป็นพวกซื่อตรงและมีคุณธรรม อีกทั้งตอนนี้
เขาดำรงตำแหน่งระดับสูงในราชสำ นัก เลยทำให้เขายิ่งเข้มงวดกับ
งาน เขาเป็นคนที่ไม่สนใจใครหน้าไหน ดูแต่เนื้องานอย่างเดียว
ซึ่งทำให้เจรจายากเข้าไปใหญ่
“ข้าก็บอกนางแล้วว่าอย่าไปผูกมิตรกับพวกราชนิกูล” “เป็น
เพราะเรื่องบรรเลงเพลงนั่นแท้ๆ เลยเป็นเหตุให้เรื่องราวบานปลายมาจนถึงขนาดนี้”
นางค่อยๆ เผยตัวตนว่าลูกศิษย์แห่งเทพเซียน ทั้งยังได้พบกับ
ท่านอาจารย์แล้ว อาวุธวิเศษนางก็เป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ส่วน
การรักษาคนช่วงนี้นางก็ห่างหายไป ไหนจะเรื่องตัวอักษรป้ายสุสาน
ที่นางเขียนเพื่อแสดงความเคารพต่อคนที่นางนับถือ ทั้งหมดทั้งมวล
นี้ก็เป็นการกระทำอันสมควรและชอบธรรมอยู่แล้ว ทั้งหมดเป็น
เพราะจิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่นแหละที่เอาแต่ยกยอนางจนได้เรื่อง!
“เขาคงนึกว่านางเป็นคนพิเศษ เป็นคนน่าสนใจ ก็เลยพูดจา
หยอกล้ออะไรก็ได้กับนาง สิ่งที่เขาพูดออกมากับนาง หารู้ไม่ว่ากว่า
นางจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมาบ้าง”
“พวกเขามิได้แยแสนาง แล้วนางจะทำอะไรได้ ก็คงทำได้แค่
ตอบโต้ด้วยการไม่ต้องสนใจพวกเขา”
“คนไร้น้ำใจพวกนั้น ทั้งชีวิตคงเจอแต่เรื่องน่าเบื่อมาสินะ”
ท่านชายฉินสิบสามลุกยืนขึ้นแล้วหันหลังเดินออกไป
“เจ้าสิบสาม!” ผู้เป็นพ่อตะโกนเรียก “นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร”
“ข้าก็จะไปคุยกับเจ้าเฝิงหลินให้รู้เรื่องน่ะสิ” ฉินสิบสามตอบ“เจ้าจะไปถามเขา แล้วเจ้ามีสิทธิ์อันใดไปถามเขากันล่ะ”
อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย “เจ้าไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโต อย่างมากก็แค่
อาศัยบารมีของตระกูลเข้าสอบขุนนางระดับจอหงวน เจ้ามีปัญญา
อะไรที่จะเข้าไปถกเถียงกับขุนนางระดับนั้นได้ ขืนเจ้ายังดันทุรังอยู่
เจ้าอาจจะโดนข้อหาก่อความวุ่นวายในราชสำ นัก แล้วชีวิตนี้ก็อย่า
หวังเลยว่าจะได้เข้าไปทำงานในนั้น และเจ้าก็อย่าได้คิดจะออกตัว
ช่วยนางอีกเลย”
ท่านชายฉินสิบสามหันกลับมา
“แล้วท่านช่วยพูดให้นางได้หรือไม่” เขาถาม
“ข้าพูดให้ได้อยู่แล้ว” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย “เจ้าวางใจเถอะ
นางคงไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่ว่าอาจมีเรื่องวุ่นวายที่เข้ามา
เกี่ยวพันอยู่ไม่น้อย อย่างมากก็คงจะต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว
กลับไปยังเจียวโจว”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะลั่น
“จะให้นางกลับไปไหนกัน นางไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย
ถึงขั้นถูกขับไล่เลยหรือ ถ้าเกิดว่านางต้องไปจริงๆ ก็ควรเป็นการตัดสินใจของนางเอง มิใช่การถูกลงโทษ” เขาเอ่ย “มีแต่เรื่องวุ่นๆ
เกิดขึ้นกับนาง มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย ไม่ควรเลยจริงๆ”
“บนโลกนี้มีเรื่องควรไม่ควรเสียที่ไหนล่ะ” อาลักษณ์หลวงฉิน
อธิบาย “เจ้าควรไปอ่านหนังสือได้แล้ว หากเจ้าต้องการพูดแทนนาง
ก่อนอื่นเจ้าต้องแน่ใจว่าเจ้าสามารถมีหน้ามีตาในนั้นได้ ไม่เช่นนั้น
แล้ว จะกลายเป็นเพิ่มความโกลาหลไปเสียเปล่าๆ”
“เดี๋ยวนี้ไม่ว่าใครทำอะไรก็มิได้หลบๆ ซ่อนๆ แบบเมื่อก่อนแล้ว
ดังนั้นข้าว่าพวกเจ้าเองก็ลองใช้เวลาทบทวนเรื่องนี้ดูให้ดี เพราะทุก
คนในนี้ที่เกี่ยวข้อง ต่างก็เป็นคนที่อยู่ในจุดที่ถูกมองเห็นได้ง่าย
ดังนั้น ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ก็ควรจะมีวิธีจัดการอย่างสง่าผ่าเผย
ใช่ว่าจะพ่นคำพูดออกไปไม่กี่คำก็สามารถจัดการทุกสิ่งอย่างได้
เสียหน่อย”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยรับ
“ลูกรู้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นข้าฝากท่านพ่อด้วยนะขอรับ”
อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้า พลางมองท่านชายฉินสิบสามที่
กำลังเดินออกไปท่านชายฉินสิบสามควบม้ามาหยุดอยู่ตรงข้างสะพานอวี้ไต้
อีกครั้ง
“ท่านชายเข้าไปหรือไม่ขอรับ” บ่าวเอ่ยถาม
อย่างไรเสีย นางก็ไม่เคยไปหาเขาก่อนอยู่แล้ว เขาก็เลยต้อง
มาหานางเอง
ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้ารับ พลางควบม้าตรงไปที่หน้า
เรือน
จู่ๆ ประตูเรือนถูกเปิดออกในทันใด
“ท่านชายฉินนี่เอง” บ่าวที่เฝ้าประตูเอ่ยทักทาย
“นายหญิงของพวกเจ้าอยู่หรือไม่” ฉินสิบสามถาม
“นายหญิงออกไปข้างนอกแล้วขอรับ” บ่าวหน้าประตูตอบ
เวลาแบบนี้ยังจะออกไปข้างนอกอีกหรือ
ท่านชายฉินสิบสามรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามยิ้ม
กลบเกลื่อน
นางก็ยังเป็นคนเดิมสินะ“…นางออกไปเรือนไท่ผิงกับพวกฮูหยินแล้วขอรับ กว่า
จะกลับมาคงดึกพอควร ท่านชายมีเรื่องอะไรก็ฝากไว้กับบ่าวได้
หรือไม่ก็บ่าวจะไปหาแม่นางเองขอรับ” บ่าวรับใช้บอกกับท่านชาย
ฉินสิบสาม
นางจะหนีไปแล้วหรือเปล่านะ
ตอนนี้นางสบายดีหรือเปล่านะ
“…ผู้พิพากษาเฝิงก็เคยบอกแล้วนี่ว่าแม่นางเฉิงผู้นี้โหงวเฮ้ง
ไม่ดี จะมาสร้างความปั่นป่วนให้กับแผ่นดิน เนื้อลูกตาของนาง
มีสีขาวมากกว่าสีดำ…”
“…พอเถอะน่า แค่หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเอง แล้วนางก็ไม่ได้
โหงวเฮ้งไม่ดีอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย สร้างความปั่นป่วนอะไรกัน
เจ้าผู้พิพากษาปีศาจนั้นสงสัยจะผีเข้าบ่อยเกินละมั้ง ทำตัวเป็น
กระต่ายตื่นตูมไปได้”
“…จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ตอนนี้ชื่อเสียงของนางเป็นที่รู้จักไป
ทั่วแล้ว แถมนางยังมีพรรคพวกที่มีวิชาประดิษฐ์อาวุธร้ายออกมาได้
แถมนางยังสลักป้ายหินได้ด้วยมือของนางเอง จนพวกทหารต่างพากันยกย่องนาง ไหนจะมีวิชารักษาคนตายให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ วิชา
เหล่านี้รวมอยู่ในหญิงตัวเล็กๆ เพีนงคนเดียว ราวกับว่านางเป็น
อมนุษย์หรือปีศาจมาเกิด…”
“…ข้าไม่ได้สนนักหรอกว่านางจะเป็นคนหรือเป็นปีศาจ ข้าแค่
อยากจะดื่มเหล้านั่นอีกครั้ง นางจะให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำให้”
พวกเขาคุยไปคุยมาเสียจนอดไม่ได้ที่จะต้องกวัดมือเรียกคนใน
ร้าน
“ข้าขอเหล้าเม่าหยวนซานที่นึง”
พวกคนที่นั่งอยู่ในร้านต่างพากันหัวเราะ
เจ้าของร้านตอบกลับ “ที่นี่ไม่มีขายขอรับ” เขาหัวเราะ
“ก็เรือนไท่ผิงนี่เป็นของแม่นางเฉิงมิใช่รึ เหตุใดจึงไม่มีล่ะ”
มีคนเอ่ยตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจ “มัวแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ได้ สนุกนัก
หรือไง ว่ามา อยากได้เท่าไหร่”
บ่าวในร้านได้แต่กล่าวขอโทษด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ทำตัวลับๆ ล่อๆ ดีนัก ข้าล่ะไม่แปลกใจเลยว่าทำไม
เจ้าผู้พิพากษานั่นอยากจะตัดหัวนางนัก” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
บ่าวในร้านเดิมทีก็ไม่พอใจกับคำพูดของเขาอยู่แล้ว พอได้ยิน
ประโยคเมื่อครู่เข้าก็โมโหจนโยนผ้าขี้ริ้วที่อยู่ในมือออกไป แต่ก็ถูก
บ่าวในร้านอีกคนห้ามไว้เสียก่อน
“นายท่านกำชับไว้แล้วไงว่าอย่ามีเรื่อง” เขาเอ่ยเสียงเบา
พยายามเตือนสติ
“แต่พวกเขาหาเรื่องก่อนนะ” บ่าวในร้านอีกคนกระซิบตอบ
“แต่เถ้าแก่ก็เตือนแล้วนี่ ในเมื่อพวกเราเปิดร้านทำการค้า ก็
ย่อมต้องต้อนรับทุกคน เราไม่สามารถไปห้ามไม่ให้เขาพูดได้” บ่าว
ในร้านอีกคนเอ่ยแย้งขึ้น
เมื่อพูดจบ พวกเขาเห็นว่ามีแขกเดินเข้ามาในร้าน บ่าวในร้าน
ต่างก็รีบดันตัวออกไป
“รับแขกสิ” บ่าวในร้านเอ่ยไล่บ่าวอีกคนให้ออกไปต้อนรับ
ลูกค้าที่มายืนหน้าร้าน
แขกที่มาเยือนร้านผู้นี้เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เขายืนอยู่นอ
กร้านพลางทำท่าทีแปลกประหลาด สายตาของเขาไม่ได้มองเข้ามาในร้าน แต่เหมือนกำลังชำ เลืองไปทั่ว
“เปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้เลยรึ แทบจำ ไม่ได้เลย” เขาบ่นพึมพำ
อยู่คนเดียว
บ่าวในร้านเมื่อได้เห็นเข้า ก็พอจะเดาออกว่าชายหนุ่มผู้นั้นเป็น
ใคร เป็นบุคคลประเภทที่ช่วงนี้เขาได้เจอบ่อยๆ นั่นก็คือพวกบัณฑิต
ที่เข้ามาสอบขุนนางนี่เอง
ดูเหมือนว่าเขาเคยมาที่นี่เมื่อสามปีก่อน ถึงได้แสดง
อากัปกิริยาเช่นนี้
“ท่านบัณฑิต ท่านหมายถึงหอจุ้ยเฟิ่งใช่หรือไม่ ตอนนี้ร้านของ
เราได้เถ้าแก่คนใหม่แล้ว” บ่าวในร้านเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตอนนี้
เรียกว่า…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ บัณฑิตผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นอ่านออกเสียงป้ายที่
ติดอยู่บนร้าน
“ไท่ผิง” เขาเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว เรียกว่าเรือนไท่ผิง” บ่าวในร้านหัวเราะอย่างเคอะเขิน
“ท่านบัณฑิตว่า ชื่อของร้านเราไม่เลวเลยใช่ไหม”“ฟังดูก็ไม่เลวเลย” ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าเห็นด้วย สายตา
พลางมองไปที่ชื่อร้าน
“ที่จริงยังมีคำที่ดีกว่านี้อีก” บ่าวในร้านเอ่ยอย่างขำขัน พลาง
ให้แนะนำกับชายหนุ่มอย่างกระตือรือร้น “ท่านบัณฑิต ข้าขอแนะนำ
ให้ท่านลองกินเต้าหู้ไท่ผิงของร้านเราสักถ้วย พร้อมทั้งผลไม้ทานคู่
กับน้ำชา แถมยังมีหม้อไฟสุขใจไร้กังวลเอาไว้ทานให้อุ่นบท้องก่อน
จะเดินทางเข้าไปในตัวเมือง จากนั้นเลี้ยวเข้าไปทางวัดเฉี่ยถิง เข้าไป
ชมจิตรกรรมบทกลอนบนฝาผนัง จุดธูปไหวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พอเสร็จ
แล้วจากนั้นก็เดินลอดไปตรงประตูเมือง พอถึงตอนนั้นก็อย่าเพิ่งรีบ
เชยชมความเจริญรุ่งเรืองและความวุ่นวายในเมือง ข้าขอแนะนำให้
ท่านรีบไปที่ประตูตะวันออกก่อน จากนั้นเดินออกไปสิบลี้ ก็จะเห็น
หลุมศพของพี่น้องเขาเม่าหยวนซาน ตรงนั้นจะมีป้ายศิลหน้า
หลุมศพ พอถึงเวลานั้นฟ้าอาจมืดแล้ว จากตรงนั้นเดินกลับเข้าไปใน
เมือง บนถนนที่คึกคัก จะมีร้านที่ชื่อเรือนนางฟ้า อยากให้ท่านลอง
ลิ้มรสอาหารจานเด็ด นามว่านางฟ้าผ่านทาง เท่านี้วันของท่านก็
จะยาวนานขึ้น ข้ารับรองว่ากิจกรรมเหล่านี้จะทำให้ท่านบัณฑิตรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้ เพื่อท่านจะได้สอบเข้าขุนนาง
อย่างเต็มที่ขอรับ”
สิ้นคำแนะนำอันยาวเหยียดของบ่าวในร้าน ชายหนุ่มก็อดไม่ได้
ที่จะหัวเราะชอบใจ
“เอาละ เอาละ” เขาเอ่ยหัวเราะ “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมร้านเจ้า
ถึงได้ทำมาค้าขายรุ่งเรืองขนาดนี้ เป็นเพราะฝีปากของเจ้านี่เอง”
บ่าวในร้านโค้งคำนับอย่างออกท่าออกทางหลังจากที่ได้รับ
คำชมจากบัณฑิต
“ท่านอยากจะนั่งตรงไหนดีขอรับ โถงใหญ่ หรือว่า ห้องส่วนตัว
ถ้านั่งโถงใหญ่ก็จะราคาย่อมเยาหน่อย แต่ถ้านั่งห้องส่วนตัวก็
จะราคาสูงขึ้นมาอีกนิด” เขาเอ่ยอย่างร่าเริง พลางหันข้างหลีกทาง
ให้เพื่อเป็นการเชิญแขกเข้าร้าน
บัณฑิตหนุ่มยิ้ม
“ข้าอยากขอพบเถ้าแก่ของพวกเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น
เด็กในร้านทำท่าตกตะลึง“ข้าสกุลหัน” บัณฑิตหนุ่มแนะนำตนเอง ยิ้มเล็กน้อย “นามว่า
หันจวิน มาจากซู่โจว”
ทางเดินในร้านมีเสียงเร่งฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นประตูก็ถูกเปิด
ออก
หันหยวนเฉาเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง ก็ได้เห็นชาย
วัยกลางคนกำลังเดินมาตรงนี้ ใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก
“ใช่เถ้าแก่จริงๆ ด้วย!” ชายผู้นั้นตะโกนร้องขึ้นด้วยความตกใจ
พลางโค้งคำนับคนตรงหน้า “เถ้าแก่กลับมาแล้ว”
หันหยวนเฉาหัวเราะ
“มิบังอาจ มิบังอาจ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางหันไปพูดคุย
หัวเราะกับผู้ดูแลหลิน “ที่แท้พ่อบ้านหลินก็มาเป็นเถ้าแก่ให้กับร้านนี้
แล้ว ยินดีด้วย ยินดีด้วย”
เถ้าแก่ร้านคนปัจจุบันเดิมเคยเป็นผู้รับส่งเงินกำนัลให้กับ
ตระกูลหัน
“ขอบคุณเถ้าแก่ที่ให้เกียรติข้า” ผู้ดูแลหลินหัวเราะแล้วโค้ง
คำนับให้ชายหนุ่ม “ข้าทราบเรื่องแล้วว่าท่านจะเข้ามายังเมืองหลวงเลยจัดแจงที่พำนักให้แล้วขอรับ”
หันหยวนเฉาเมื่อได้ยินเข้าก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“ไม่ต้องหรอก ข้าเตรียมไว้แล้ว” เขาเอ่ยกล่าว
“เถ้าแก่ อย่าเห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลสิ” ผู้ดูแลหลินหัวเราะ
พลางยื่นสมุดบัญชีที่อยู่ในมือให้เขา “นายท่าน ข้ารู้ว่าท่านกำลังตั้ง
ใจเรียนหนังสืออยู่ หากท่านไม่รังเกียจ จะดูสมุดบัญชีสักหน่อย
หรือไม่”
หันหยวนเฉายิ้มพลางส่ายหน้า
“อย่าเรียกว่าคนอื่นคนไกลเลย” เขาเอ่ยขึ้น พลางหยิบตั๋วเงิน
ออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งใบแล้ววางลงบนสมุดบัญชี จากนั้นจึงส่งคืน
กลับไป “นี่เป็นเงินปันผลในช่วงสามปีที่ผ่านมา รวมสามหมื่นสองพัน
ยังไม่รวมดอกเบี้ยจำ นวนห้าพันอีกนะ ถ้าแก่ลองตรวจสอบดูสิ”
ผู้ดูแลหลินยืนตะลึง
หมายความอย่างไรกัน
“ข้าจะมาขอยื่นลาออกจาการเป็นเถ้าแก่ร้านไท่ผิง” หันหยวน
เฉาเอ่ยขึ้นขณะนั้นเอง ปั้นฉินกับสาวใช้ที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่
ในขณะที่กำลังเดินเข้ามา เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าก็เป็นอันต้อง
ชะงัก
“ท่านชายหัน กำลังเล่นอะไรกันอยู่งั้นรึ” สาวใช้ยิ้มแล้วเอ่ย
ถาม
หันหยวนเฉาหันไปทางสาวใช้ที่กำลังเดินเข้ามาทางเขาด้วย
ท่าทางอันอ่อนโยน ความทรงจำ เก่าๆ ของเขาเมื่อสามปีก่อนก็เริ่ม
จะประกอบคืนขึ้นอีกครั้ง
“แม่นาง” เขายืนตัวตรงพลางเอ่ยทักทาย “ไม่ได้เจอกันนาน
เลยนะ”
“ท่านชายหัน ท่านกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม” สาวใช้หัวเราะแล้ว
เอ่ยกับเขา “คนมีคุณธรรมไม่ผิดที่จะรักเงินทอง แต่เงินทองนั้นควร
ได้มาอย่างมีคุณธรรมเช่นกัน”
หันหยวนเฉาหัวเราะพลางเอ่ยตอบ
“แม่นางพูดถูกแล้ว คนมีคุณธรรมไม่ได้ผิดที่รักเงินทอง แต่
ควรได้มาอย่างมีคุณธรรม” เขาเอ่ยย้ำ “ดังนั้นในวันนี้ ข้า สกุลหัน ก็ขอสละเงินทองนั้นแล้วกัน”
สาวใช้รู้สึกตกใจ คำพูดเมื่อครู่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ท่านชายหัน หรือว่าท่านไปได้ยินอะไรมา จึงคิดที่จะหนีหรือ
เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามทีเล่นที่จริง
“ท่านชายไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”
หันหยวนเฉายังไม่ทันจะเอ่ยอะไร ก็ได้ยินเสียงที่มาจากหญิง
อีกคน สายตาของเขามองไปยังด้านหลังสาวใช้ผู้นั้น ดูเหมือนว่าเป็น
เด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปี
เมื่อเห็นหันหยวนเฉามองมาทางนี้ เด็กสาวก็ยิ้มให้เขา พลาง
มองเขาด้วยสายตาหนักแน่นและคาดหวังในตัวเขา
“ท่านชายไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หันหยวนเฉาก้มหน้าลง สักพักก็เงยหน้าขึ้น
“ข้าไม่ได้จะหนีจากสิ่งใด เพียงแต่ว่า” เขาเอ่ยขึ้น เดิมทีเขาตั้ง
ใจจะพูดความจริงออกไปอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย แต่ไม่รู้
ทำไม เมื่อได้เห็นแววตาของหญิงสาวผู้นั้น เขากลับพูดไม่ออก แต่
สุดท้าย ขาก็ต้องพูดออกมาอยู่ดี“ข้า สกุลหัน ก็แค่ไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนไร้คุณธรรมน่ะ”