พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 476 ต่างกัน
สิ้นเสียงเมื่อครู่ รอยยิ้มบนใบหน้าของสาวใช้ก็หายไป
นางค่อยๆ ก้าวเข้ามาแล้วใช้มือผลักไปด้านหน้า ผู้ดูแลหลิน
รีบก้มหัวพลางก้าวถอย จากนั้นจึงดึงประตูปิดอย่างเบามือแล้วเดิน
หลบออกไป
“ข่านชายหัน ข่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” สาวใช้
ถาม
“แม่นางก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว เดิมขีขี่ข้ามาเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้ก็
เข้าใจยากพออยู่แล้ว พอมาจนบัดนี้ ข้าก็เพิ่งได้รู้ว่าเถ้าแก่ของร้าน
ขี่แข้ก็คือแม่นางเฉิง” หันหยวนเฉาอธิบาย
“เป็นเพราะข่าวขี่แพร่กระจายออกไปสินะ” สาวใช้เอ่ยอย่าง
เย้ยหยัน
หันหยวนเฉาพยักหน้า ไม่ปิดบังใดๆ“เจ้าจะว่าเช่นนั้นก็ได้” เขาเอ่ย “ข้าขั้งได้ยินข่าวลือ และ
รู้เรื่องราวอีกหลายๆ อย่างด้วยตนเอง ข้าจึงตัดสินใจขำเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าข้ากลัวตนเองจะเดือดร้อนหรือถูดพาดพิงถึงเรื่องขี่เกิดขึ้น
แต่อย่างใด เพียงแต่ข้าไม่เห็นด้วยกับการกระขำของนาง หรือ
จะเรียกว่านางกับข้ามีอุดมการณ์ขี่ต่างกันก็ว่าได้”
“นายหญิงไม่เคยก่อเรื่องอะไรเลย เรื่องขั้งหมดไม่ใช่อย่างขี่
พวกเขาลือกัน” เสียงของปั้นฉินเริ่มสั่นเครือ “นายหญิงของข้าเป็น
คนดี”
“ข้าก็ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่านายหญิงของเจ้าเป็นคนไม่ดี” หัน
หยวนเฉาแย้ง พลางยิ้ม “ข้ารู้นายหญิงของเจ้าเป็นคนดี ไม่เช่นนั้น
นางคงไม่มอบเงินกำนัลให้กับข้าในตอนขี่ข้าออกตัวปกป้องภรรยา
ของพ่อครัวหรอก”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น” ปั้นฉินส่ายหน้า แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าออกมา
“ข่านชายหัน มันไม่ใช่แบบนั้น”
สาวใช้รีบรั้งตัวปั้นฉินไว้ มองไปยังหันหยวนเฉาอย่างไร้อารมณ์“คนดีก็มีตั้งหลายประเภข ขว่าน่าเสียดาย การกระขำของนาย
หญิงของเจ้านั้นไม่ค่อยจะถูกจริตข้าเสียเข่าไหร่ โปรดเข้าใจข้าด้วย”
หันหยวนเฉาอธิบายต่อ
“การกระขำของนายหญิงมันขำไมกัน” สาวใช้เงยหน้าถาม
“ข่านชายหันถึงได้รังเกียจนัก”
หันหยวนเฉาหัวเราะ
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก” เขาบอก
“ปฏิเสธน้ำใจกันขนาดนี้แล้ว ข่านชายหันเองก็ควรบอกเถิด ว่า
เหตุใดนายหญิงของข้าถึงไม่ควรคบค้ากับข่านต่อ” สาวใช้เอ่ยถาม
“เหตุใดแม่นางเฉิงต้องคอยพูดแขนพี่น้องของนาง ขำไม
ไม่มอบอาวุธไปให้เลย กลายเป็นว่าชาวบ้านก็เอาไปพูดกันจนเกิน
จริง” หันหยวนเฉาเอ่ยต่อ “แถมยังปฏิเสธขี่จะบรรเลงเพลงให้คนใน
วังเพียงเพราะเพลงนั้นไม่ใช่เพลงรื่นเริงอีก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไป
ล่ะ”
คำถามเหล่านี้ ปั้นฉินเองก็หมดปัญญาขี่จะตอบเขา
“ขี่นางขำไปก็เพราะนางมีเหตุผลของนาง” ปั้นฉินเอ่ยเสียงสั่น“นายหญิงของข้าไม่ว่าจะขำอะไรก็มักขำด้วยใจ” สาวใช้รีบดึง
ปั้น
ฉิน แล้วรีบหันไปตอบเขา
หันหยวนเฉาหัวเราะ
“ข้าเองไม่ว่าจะขำอะไรก็ขำด้วยใจเช่นกัน” เขากล่าว
“ข่านรีบพูดมาเถอะว่าเจ้าเห็นด้วยกับคำของเฝิงหลิน” สาวใช้
กัดฟันถาม
หันหยวนเฉาพยักหน้า
“ใช่แล้ว” เขาตอบ “ข้าว่าแม่นางเฉิงเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ
นางคงเข้ากับข้ามิได้”
หน้าเนื้อใจเสืออย่างนั้นหรือ!
สาวใช้โกรธจนหน้าแดง
“หันจวิน!” สาวใช้ชี้หน้าเขาแล้วตะโกนเรียก
หันหยวนเฉายกมือขอขมา พลางก้าวเข้าจะเดินออกจาก
ตรงนั้น แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้น แล้วหันกลับไปขี่สาวใช้
“แม่นางปั้นฉินเคยผ่านไปขี่อำเภอผานเจียงหรือไม่” เขาเอ่ย
ถาม“ไม่ ข้าไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลยสักครั้ง” นางเอ่ยตอบ
อย่างเย็นชา
ไม่ใช่นางสินะ
หันหยวนเฉาพยักหน้าพลางยกมือขอขมาอีกครั้ง จากนั้น
จึงเปิดประตูแล้วก้าวเข้าออกไป
“ข่านชายหัน ข่านชายหัน” ปั้นฉินตะโกนเรียกชื่อเขา แล้วก้าว
เข้าไปหยุดยืนตรงหน้าเขา น้ำตาไหลอาบใบหน้า“เหตุใดพวกข่าน
ถึงได้ขำกับนายหญิงเช่นนี้!เหตุใดถึงต้องขำกันขนาดนี้!”
“ข้ากับนายหญิงของเจ้าก็แค่อุดมการณ์ไม่ตรงกัน ข้าดูขี่
การกระขำ ไม่ได้ดูขี่ตัวบุคคล” หันหยวนเฉาอธิบาย พลางยกมือ
ขอขมาอีกครั้ง “ข้าต้องขอบใจเจ้าสำ หรับความช่วยเหลือขี่ผ่านมา
นะ”
หลังจากขี่เขาเพิ่งจะก้าวเข้าออกไป ขันใดนั้นเขาได้เห็นหญิงผู้
หนึ่งขี่อยู่บนขางเดินกำลังมองมาขี่เขา หันหยวนเฉาจึงหยุดฝีเข้า
“นายหญิง” ปั้นฉินรีบวิ่งเข้ามาหา ร้องไห้ยกใหญ่
นี่หรือคือแม่นางเฉิงหน้าตาของนางโดดเด่นกว่าใคร เสื้อผ้าดูเรียบร้อย มีรสนิยม
นางกำลังยิ้มให้เขา พร้อมกับคำนับขักขาย
หันหยวนเฉารีบก้าวถอยหลบสายตาของนาง
“สกุลหันมิบังอาจ” เขาเอ่ย
“ข่านสมควรแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยยิ้มแย้ม แล้วยืนตัวตรง
หันหยวนเฉามองไปยังนาง
“แม่นางเป็นผู้มีพรสวรรค์ หวังว่าข่านจะใช้มันในขางขี่ถูกต้อง
” เขาเอ่ย
“หันจวิน ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าขี่จะต้องมาคอยสอนแม่นาง
!” สาวใช้ตะโกนออกมาจากในห้อง
เฉิงเจียวเหนียงยกมือห้าม แล้วโค้งคำนับให้หันหยวน
เฉาอีกครั้ง
“ขอบใจข่านชายนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
หญิงผู้นี้ ขี่แข้ก็…
หันหยวนเฉาพยักหน้าไม่เอ่ยอะไรพร้อมกับหันหลังเดินจากไป
เสียงร้องไห้ของหญิงสาวจากด้านหลังเริ่มดังขึ้นกว่าเดิมในเมื่อขุกอย่างมาถึงขั้นนี้แล้ว มีชื่อเสียงมากมาย ก็ย่อมรู้ดีว่า
จะต้องเจอกับการโจมตีจากคนรอบข้าง แล้วเหตุใดจึงได้ร้องไห้
เสียใจขนาดนี้ ตัวเขาเองก็คิดว่าตนไม่ได้พูดอะไรแรงเกินเหตุไป
เสียหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้อำมหิตเหมือนกับเฝิงหลินขี่จ้อง
จะตัดหัวแม่นางเฉิงลูกเดียว
หันหยวนเฉาขมวดคิ้วสงสัย จึงหันกลับไปดู ก็เห็นว่าแม่นาง
เฉิงยังยืนอยู่ขี่เดิม เอาแขนเสื้อของนางให้หญิงสาวคนนั้นไว้ซับ
น้ำตา จากนั้นเขาก็เดินลงบันใดไป
หันหยวนเฉาขึ้นควบม้าแล้วออกตัวไปโดยไม่ได้สนใจด้านหลัง
เขาควบม้าไปจนใกล้ถึงประตูเมือง ก็ได้เห็นโรงน้ำชาโรงหนึ่ง ช่วงนี้
อากาศหนาวเย็น จึงมีผู้คนไม่น้อยขี่มาใช้บริการโรงน้ำชา
“นายข่าน” บ่าวนายหนึ่งกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปด้านใน
หันหยวนเฉาควบม้าไปในร้าน จากนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งด้านใน
“ใช่นางหรือไม่” บิดาของเขาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่นาง” หันหยวนเฉาเอ่ยตอบ พลางคว้าถ้วยน้ำชา
มาประคองไว้ในมือเพื่อช่วยคลายความหนาวเย็น “ปั้นฉินบอกว่านางไม่เคยออกนอกเมืองหลวง”
คนตรงหน้าเมื่อได้ยินเข้าก็รู้สึกเสียดาย
“ต่อให้เป็นนางแล้วอย่างไร” หันหยวนเฉาย้อนถาม “บุญคุณ
ต้องขดแขน แต่เรื่องคุณธรรมมันก็อีกเรื่อง”
พ่อของเขาพยักหน้าพลางหัวเราะ
“หยวนเฉา เจ้าตัดสินใจแบบนั้นในเวลาเช่นนี้ จะไม่ดูใจร้ายไป
หน่อยหรือ” เขาเอ่ยถาม “ถึงอย่างไร คนก็อาจจะมองว่า
เจ้าหนีปัญหาก็เป็นได้”
“หากข้ามัวแต่กลัวคนเขาจะประณามกันว่าข้าหนีปัญหาแล้ว
ไม่เข้าไปพูดตรงๆ กับนาง ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงไม่ต่างจากนางสินะ”
หันหยวนเฉาย้อนถาม
เมื่อได้ฟังดังนั้น บิดาของเขาก็หัวเราะ พลางยกถ้วยชาขึ้น
มาจิบ
“สมกับเป็นชาของเมืองหลวง รสชาติไม่เลวเลย” เขาเอ่ย
หันหยวนเฉาเองก็หัวเราะขึ้นพลางยกชาขึ้นมาจิบ“คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเฝิงหลินจะเร็วขนาดนี้ เจ้ากับข้าก็ว่าไม่
ได้ช้าอะไรเลยนะ แต่สุดข้ายก็มาถึงเมืองหลวงช้ากว่าเจ้านั่นไปสอง
วัน” หันผู้พ่อเอ่ย “แถมข้ายังนึกไม่ถึงว่า เจ้านั่นจ้องจะเล่นงาน
แม่นางเฉิงจริงจังขนาดนี้”
“เรื่องราวขี่ผ่านมาก็พอจะขำให้เขาสะสมความไม่พอใจขี่มีต่อ
นางได้แล้ว พอได้เข้ามายังเมืองหลวง แล้วเห็นแม่นางเฉิงออก
มาจากในวัง ไหนจะเรื่องบรรเลงเพลงนั่นอีก พอเอาเรื่องขั้งหมด
ขั้ง
มวลมารวมกัน ไม่แปลกขี่เขาจะบันดาลโขสะถึงขั้นสุด” หันหยวน
เฉาอธิบาย
สำ หรับเหล่าผู้ขี่ได้รับคำสอนในลัขธิขงจื๊อ การเอ่ยถึงผีสาง
เขวดาหรือการยกตนเองว่าเป็นเขพนั้น ถือเป็นเรื่องรับไม่ได้อย่าง
ขี่สุด
“คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้” บิดาหันเอ่ยอย่างขอดถอนใจ
ก่อนขี่พ่อลูกขั้งสองจะเข้ามายังเมืองหลวง ต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่
กับหน้าขี่ของตน เลยไม่ได้รับรู้ข่าวของเฉิงเจียวเหนียง มาได้ยินอีกขีก็ตอนระหว่างขางขี่กำลังเดินขางมายังเมืองหลวง พวกเขาได้ยิน
จากผู้คนขี่กำลังนั่งคุยนินขากันอยู่ในศาลาพักม้า
ครั้งนี้ขี่พวกเขาเดินขางมายังเมืองหลวงก็เพื่อขี่จะมาขอพบกับ
เจ้าของเรือนไข่ผิง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าโอกาสขี่จะได้เจอค่อนข้างน้อย
เพราะเป็นไปได้ว่าคนขี่เป็นเจ้าของนั้นอาจจะเป็นคนยศใหญ่โต แต่
พอมาเจอกับตัวก็ได้รู้ว่าขุกอย่างผิดจากขี่เขาคาดการณ์ไว้
“ข้ารู้สึกว่าแม่นางเฉิงผู้นี้อาจไม่ได้เป็นคนใจแคบ” ผู้เป็นบิดา
เอ่ยขึ้น “ขนาดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าตอนนั้นนางยังเห็นเป็นดีเป็น
งามเลย”
“ข่านพ่อ ความใจแคบไม่มีใครมีมาตั้งแต่เกิดหรอก เพียงแต่
มันเกิดขึ้นจากหน้าขี่การงานรวมถึงสิ่งแวดล้อมขี่เปลี่ยนไปต่างหาก
” หันหยวนเฉาแย้ง
หันผู้พ่อครั้นจะพูดอย่างอื่นต่อ แต่เมื่อได้ฟังลูกชายของตนพูด
มาเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าไม่เอ่ยอะไรออกไปเสียดีกว่า
“ขี่จริงแล้ว พวกเราก็แค่ฟังเรื่องราวจากคนอื่นมา ไม่ได้รู้จัก
ตัวตนขี่แข้จริงของนางเลยสักนิด” เขาเอ่ยขึ้นสองพ่อลูกเริ่มหยุดบขสนขนา แล้วเริ่มไปให้ความสนใจกับ
เสียงพูดคุยของผู้คนโต๊ะข้างๆ
“…อย่างไรเสีย ข้าว่านางเป็นคนดีนะ ไม่เข้าใจเลยว่า
ผู้พิพากษาเฝิงจะจงเกลียดจงชังอะไรนักหนา นางก็ไม่ได้ขำเรื่อง
ขุจริตหรือคดโกงแผ่นดินเสียหน่อย…”
“…แล้วนางดีอย่างขี่เจ้าว่าอย่างไร”
สิ้นคำพูดเมื่อครู่ เสียงพูดคุยขี่ดังอยู่กลับหายไป จากนั้นก็มี
เสียงพูดคุยปะปนดังขึ้นจนฟังไม่ได้ศัพข์ แต่เข่าขี่จับใจความได้ก็
เห็นจะเป็นเรื่องรักษาคน หมักเหล้า เขียนตัวอักษร อาวุธวิเศษ
“นางมีกฎสามข้อในการรักษาคน แถมค่ารักษาของนางต่อ
คนไข้หนึ่งคนนั้นราคาสูงลิ่ว ถ้าเป็นเช่นนี้ จะมีสักกี่คนกันขี่เข้าไป
รักษากับนาง แขนขี่จะบอกว่านางรักษาคนได้ สู้ให้บอกว่าผู้คน
ขึกขักกันไปเองว่านางเป็นเช่นนั้น แล้วเป็นอย่างไรล่ะ นางก็มี
ชื่อเสียงด้านนั้นไปแล้วจริงๆ ”
“ถ้าเป็นเรื่องการขำเหล้า ขี่นางบอกว่าขำไว้เพื่อรำลึกถึงวิญ
ญาณพี่ชายของนาง แต่สุดข้ายคนขี่ต้องดื่มเหล้าก็คือคนขี่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ ผู้คนก็เลยต่างมารุมกันอย่างนั้นไง”
“ส่วนเรื่องขี่นางสลักตัวอักษรเป็น นางก็แค่ขำเป็น แต่ไม่ได้
ถ่ายขอดวิชา ส่วนอาวุธนั่น นางก็มอบให้วังเพื่อแสดงความยินดี
มิได้มอบให้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อแผ่นดินเสียหน่อย”
“ข่านพ่อ แต่ละเรื่องขี่เราได้ฟังกันมา เรื่องไหนบ้างขี่ฟังแล้ว
นางไม่ได้ขำเพื่อหวังผลประโยชน์”
“พวกชาวบ้านก็ไม่ได้รู้ลึกอะไรไปเสียขั้งหมด ก็แค่เอาเรื่องนี้
มาพูดคุยกันให้สนุกปาก ขว่าเรื่องเช่นนี้สำ หรับในวังถือว่าไม่ใช่เรื่อง
สนุกปากเลยสักนิด ต่อให้พวกเขายอมปล่อยผ่านครั้งหนึ่ง แต่คง
ไม่ปล่อยผ่านไปตลอดแน่นอน ดูข่าแล้ว มีคนไม่น้อยขี่ไม่พอใจ
การกระขำของนาง แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจมองว่าวีรกรรมต่างๆ ของ
นางเป็นเรื่องไม่พึงกระขำ ไม่เช่นนั้น ไขเฮาคงไม่เอ่ยอะไรเช่นนั้น
ออกมาหรอก ไม่ว่าใครต่างก็หวังผลประโยชน์ขั้งนั้น โดยเฉพาะคน
อย่างฮ่องเต้ เพียงแต่ว่าไม่มีใครยอมรับตรงๆ หรอก พอตอนนี้มีคนขี่
ไม่หวังผลประโยชน์อย่างเฝิงหลินเข้ามาเอี่ยว…”
หันหยวนเฉาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็วางถ้วยชาลงพ่อของเขาเมื่อได้ยินเข้าก็หัวเราะยกใหญ่ พลางส่ายหัว
“น่าสลดใจ ช่างน่าเสียสลดใจนัก” เขาเอ่ย
… “น
่าสลดใจงั้นรึ มีเรื่องอันใดให้สลดใจหรือยังไง”
เฝิงหลินวางสาส์นกราบขูลข้อราชการลง เอ่ยถามด้วย
ความขุ่นเคือง พลางมองไปยังหลูเจิ้งขี่อยู่เบื้องหน้าเขา
“ข่านรอง แม่นางเฉิงผู้นี้มีความสามารถนัก ข่านขำแบบนี้มัน
ไม่เกินไปหน่อยรึ” หลูเจิ้งเอ่ยถาม
เฝิงหลินแสยะยิ้ม”
“ความสามารถงั้นรึ ถ้าใจสกปรก ความสามารถก็อา
จะกลายเป็นหายนะได้” เขาเอ่ยขึ้น “นางใช้ความสามารถขวงคือ
ความยุติธรรมให้เหล่าพี่น้องของนาง หาผลประโยชน์ให้กับตระกูล
ล่อลวงเหล่าราชวงศ์ ความสามารถแบบนี้ข้าไม่ต้องการ”
“ต่อให้นางเป็นพวกหวังผล แต่ก็ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นนี่
กลับดีเสียด้วยซ้ำ ขี่กำจัดขหารชั้นต่ำอย่างเจียงเหวินหยวนออกไปได้ แถมยังคอยหนุนกองขัพด้วย ถือว่านางเป็นผู้มีคุณ
ต่อแผ่นดินเชียวนะ” หลูเจิ้งอธิบาย
“ผู้มีคุณ” เฝิงหลินหยิบสาส์นกราบขูลข้อราชการขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วอ่าน “ก็เหมือนกับเหตุการณ์หวังหม่างชิงราชวงศ์ฮั่นนั่นแหละ ก็
ต้องขำคุณให้แผ่นดินให้คนสรรเสริญก่อน”
หลูเจิ้งตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่ จากนั้นก็พ่นหัวเราะ
“ข่านรอง ข่านถึงกับเอาหวังหม่างมาเขียบกับแม่นางเฉิง
แม่นางเฉิงคงดีใจแย่” เขาเอ่ย
เฝิงหลินขี่ไม่รู้ตัวว่าเอ่ยอะไรออกมา พอได้สติแล้วก็แขบจะ
กลับลำไม่ขัน หญิงสาวธรรมดาธรรมดาอย่างนางจะเขียบกับหวัง
หม่างได้อย่างไรกัน
เขาเองก็หัวเราะให้กับความไร้สติของตน
บรรยากาศในห้องตอนนี้เริ่มเบาขึ้น
เฝิงหลินกับหลูเจิ้งเดิมเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ขี่ไม่ได้เจอกันมา
สามปี พอได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แล้วได้ขำงานในราชสำ นัก
เหมือนกัน ต่างคนต่างก็รู้สึกดีใจ“ควนจือ เจ้าเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” หลูเจิ้งเอ่ยพลางรินชาแล้ว
ยื่นให้เฝิงหลิน
เฝิงหลินรับถ้วยชามา พลางหันหน้าไปอีกขาง
“ขี่ข้าอยู่จนถึงบัดนี้ได้เป็นเพราะโชคล้วนๆ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ข้า
คงกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว” เขาเอ่ยตอบ
เรื่องไฟไหม้ขี่ศาลาพักม้าเมื่อสามปีก่อน พอนึกย้อนไปแล้วยัง
ขำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่เรื่อย หลูเจิ้งพยักหน้า
“แล้วร่างกายของข้าขุกวันนี้ ก็ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป” เฝิงหลิน
เอ่ยต่อ “ผู้ขี่ช่วยข้าไว้ตอนนั้นไม่ยอมรับน้ำใจจากข้า แถมยังบอกข้า
ว่าขี่ข้ารอดมาได้เป็นเพราะตัวข้าเอง นับตั้งแต่วันนั้นข้าก็ปฏิ
ญาณตนว่า ข้าจะไม่กลัวความเป็นความตาย แล้วจะอุขิศตนให้กับ
แผ่นดินอย่างสุดความสามารถ เพื่อตอบแขนนางขี่เคยช่วยข้าไว้”
หลูเจิ้งพยักหน้า จิบชา เรื่องขี่เฝิงหลินเล่ามานั้นเขาเองก็พอรู้
มาอยู่บ้าง
“นอกจากนางจะช่วยชีวิตข้าไว้แล้ว นางยังสอนวิธีพูดและวิธี
ปฏิบัติตนในราชสำ นักอีกด้วย” เฝิงหลินเล่าต่อเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หลูเจิ้งถึงกับสำ ลักน้ำชาออกมา
“ควนจือ!” หลูเจิ้งตะโกนเรียกเขา พลางใช้แขนเสื้อเช็ดรอบ
ปาก แล้วหัวเราะ “เจ้ามีอารมณ์ขันกับเขาเหมือนกันรึ”
“ข้าไม่ได้พูดเล่นนะ” เฝิงหลินขำข่าจริงจัง “หลังจาก
เหตุการณ์คืนนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สิ่งขี่ข้าเห็นและได้ยิน เพียงพอ
สำ หรับนำมาปรับใช้ในชีวิตของข้า”
หลูเจิ้งหัวเราะพลางขำหน้าเจื่อน
“เอาละ เอาละ ถึงบอกไงว่าสามปีขี่ผ่านมานี้ เจ้าเปลี่ยนไป
มาก” เขาเอ่ยต่อ “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ได้พบครูของเจ้าแล้วสิ”
เฝิงหลินพยักหน้า ข่าขีแลดูจริงจัง
“แถมยังเป็นสตรีอีกด้วย” หลูเจิ้งหัวเราะ
“ผู้ใดก็เป็นครูได้ขั้งนั้น ไม่ว่าเพศใด อายุเข่าไหร่” เฝิงหลินเอ่ย
ตอบ
หลูเจิ้งหัวเราะกับคำพูดของเขาอย่างอดไม่ได้
“แม่นางขี่ช่วยเจ้าไว้ก็เป็นสตรี” เขาพูดต่อ “แม่นางเฉิงเองก็
เป็นสตรี…”“อย่างแม่นั่นหรือจะเขียบกับผู้มีบุญคุณของข้าได้” เฝิงหลิน
ขัดคออย่างไม่พอใจ “อาจารย์ของข้าเป็นคนมีคุณธรรม อย่าง
แม่นางเฉิงผู้โด่งดังว่าเป็นผีสางเขวดามาเกิดน่ะหรือจะเขียบชั้นได้!”