พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 477 ไม่ต้อง
ขณะที่สาวใช้ปิดประตูห้องลง ปั้นฉินก็ยังคงร้องไห้อยู่
“เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย นี่ก็ร้องมาตลอดทางแล้วนะ” สาวใช้
เอ่ยพลางคุกเข่านั่งลง “นายหญิงเองก็ไม่ได้โกรธเคืองอันใด เจ้าอย่า
ได้เป็นเช่นนี้เลย”
“นายหญิงไม่ได้โกรธเคือง แต่ข้าโกรธเคืองแทนนาง ข้าร้องไห้
แทนนาง” ปั้นฉินเอ่ยสะอื้น “นายหญิงทำอันใดหรือ เหตุใดพวกเขา
ถึงได้ทำกับนายหญิงเช่นนี้”
“เพราะนายหญิงคุกคามพวกเขาอย่างไรเล่า” สาวใช้เอ่ย
“คุกคามพวกเขาอย่างไรกัน” ปั้นฉินร้องไห้เอ่ย “นายหญิง
ไม่ได้แย่งชิงสมบัติพวกเขาเสียหน่อย”
“นั่นไม่เกี่ยวกับเงิน แต่คุกคามความเชื่อของพวกเขาต่างหาก”
สาวใช้เอ่ย“ความเชื่ออย่างนั้นหรือ” ปั้นฉินมองนางน้ำตานอง “ก็แค่
ความเชื่อมีค่าอันใดกัน”
สาวใช้ยิ้ม
“แม้ความเชื่อจะไม่มีค่าราคาอันใด แต่ก็ทำให้คนบ้าคลั่งได้
ยิ่งกว่าเงินทอง” นางเอ่ยก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อ “ความจริงแล้วก็
เหมือนคราวก่อนนั่นแหละหนา ก็เหมือนโต้วชี เหมือนราชเลขาหลิว
เหมือนกับนายใหญ่เฉิง เหมือนกันทั้งนั้น”
เหมือนกันอย่างนั้นหรือ
ปั้น
ฉินมองนางทั้งน้ำตา
สาวใช้พยักหน้าให้นาง
“เหมือนกันทั้งนั้น” นางเอ่ย
เพียงแต่หนักหนากว่าคนที่แก่งแย่งผลประโยชน์กันซึ่งหน้าอยู่
หน่อย น่าเศร้าใจกว่าเล็กน้อย
ปั้น
ฉินเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง ก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงนั่ง
ตัวตรงอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ“นายหญิง นายหญิงเสียใจหรือไม่เจ้าคะ” นางคุกเข่านั่งลง
ก่อนจะเอ่ยกระซิบ
“มีอันใดให้เสียใจกัน ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ คนอื่นไม่ชอบ
เจ้านั้นเป็นเรื่องธรรมดา หากชอบเจ้านั้นก็เป็นโชคชะตา” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย สายตายังไม่ละไปจากหนังสือ
“แต่นายหญิงไม่ผิดนี่เจ้าคะ” ปั้นฉินปาดน้ำตาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือลงแล้วมองไปที่นาง
“นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของเจ้า” นางเอ่ย “ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น”
ปั้น
ฉินมองนาง
“ถูกผิดมิได้ตัดสินกันเช่นนั้น” เฉิงเจียงเหนียงนิ่งไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะพูดต่อ “ไม่ใช่ที่เจ้าคิดจะถูกไปเสียหมด แน่นอนว่าที่คนอื่น
คิดก็ใช่ว่าจะถูก เช่นนั้นแล้ว อย่าได้คิดเรื่องพวกนั้นเลย ทำไปเถิด
บรรลุเป้าหมายของตนเท่านั้นก็พอ อย่าได้ร้องขอให้ผู้ใดเห็นด้วย
หรือซาบซึ้งน้ำใจ เป็นคน ต้องรู้จักพอ”
“เพียงแต่ครั้งนี้เป็นเฝิงหลินกับท่านชายหัน” ปั้นฉินก้มหน้า
พึมพำ“เป็นพวกเขาแล้วอย่างไรเล่า ก็เหมือนกันทั้งนั้น” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย
“ไม่เหมือนเจ้าค่ะ พวกเขาเคยช่วยนายหญิง นายหญิงก็เคย
ช่วยพวกเขา แม้พวกเขาจะไม่รู้ แต่นายหญิงรู้ พวกเขาทำเช่นนี้ ก็
เหมือนแทงนายหญิงด้วยมีดจากข้างหลัง นายหญิงจะต้องเจ็บปวด
เป็นแน่ใช่ไหมเจ้าคะ”
ปั้น
ฉินเอ่ยเสียงสะอื้น
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะยกใหญ่
น้อยนักที่นางจะหัวเราะเช่นนี้ แถมยังหัวเราะเสียงดังอีก
ต่างหาก ปั้นฉินตกใจในจนลืมตัวว่าร้องไห้อยู่เสียด้วยซ้ำ
“เจ้านี่ซื่อบื้อจริงเชียว” นางเอ่ย “พวกเขามีค่าอันใด เหตุ
ถึงต้องเจ็บปวด เช่นนี้เรียกเจ็บปวดได้หรือ”
ปั้น
ฉินมองนางด้วยสายตาพร่ามัวเพราะน้ำตา
“หากเทียบกับเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในโลกแล้ว เรื่องนี้นับว่า
ไม่ระคายเลยแม้แต่น้อย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยก่อนจะหยุดหัวเราะลง
มุมปากยกยิ้มบางแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในโลกนี้อย่างนั้นหรือ
ปั้น
ฉินมองนางพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะชะงักพลาง
ครุ่นคิดว่าคือเรื่องใดกันนะ
ฮ่องเต้วางสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลง แล้วมองไปทาง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่นั่งคุกเข่าดื่มชาอยู่ข้างกัน
“เจ้าเข้าวังมาเพื่อดื่มชาของเราอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
“ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ วันนี้มีประชุมราชสำ นักไม่ใช่หรือ
พ่ะย่ะค่ะ วันที่กระหม่อมจะพบหน้าฝ่าบาทได้อย่างสง่าผ่าเผย
ท่าทางวันนี้คงมากันเยอะเป็นแน่แท้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฮ่องเต้ส่งเสียงเย้ยหยัน
“อย่าได้คลุกคลีเลียนแบบขุนนางที่ดีแต่ปากพวกนั้น หากเจ้า
จิตใจซื่อตรง ยามใดก็มาพบได้อย่างสง่าผ่าเผยทั้งนั้น” เขาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางขานตอบแล้วดื่มชาต่อ
ฮ่องเต้จ้องมองเขา
“เจ้าจะไม่ช่วยพูดอะไรให้แม่นางเฉิงหน่อยหรือ” เขาถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมองเขา ราวกับตกใจไม่น้อย“ฝ่าบาท หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาถาม
“พูดแก้ต่างให้นางอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
“นางไม่ได้ทำอันใดผิด เหตุใดต้องพูดแก้ต่างให้นางด้วยเล่า
พ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางยิ้ม “หากระหม่อมพูดแก้ต่างให้
นาง ก็คงเหมือนกับเฝิงหลินผู้นั้น”
ฮ่องเต้มองเขาสีหน้าตกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมายกใหญ่ใน
ทันใด
“เช่นนั้นเราก็วางใจแล้ว” เขาเอ่ย “เราวางใจให้เจ้าออกไปอยู่
ตำหนักข้างนอกได้แล้ว”
“ฝ่าบาทหยั่งเชิงกระหม่อมอีกแล้วหรือ” เขาเอ่ย “กระหม่อม
ไม่มีอันใดจะพูดแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้มไม่เอ่ยคำใด มองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋องถวายบังคมลา
ทันใดนั้นขันทีผู้หนึ่งก็ก้าวฉับเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ฝ่าบาท หันชางจากอำเภอผันเจียงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเอ่ยเรื่องนี้สำ นักราชเลขาได้เตรียมการไว้ก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว
สำ หรับฮ่องเต้แล้วเรื่องนี้เป็นเพียงราชกิจพิธีการเท่านั้น เขา
พยักหน้ารับ
“หันชางจากอำเภอผันเจียงอย่างนั้นหรือ”
ขันทีผู้หนึ่งได้ยินเข้า ฝีเท้าก็ชะงักไป ก่อนจะรั้งขันทีอีกคนไว้
“ใต้เท้าหันที่คำนวณวันเกิดสุริยุปราคาผู้นั้นน่ะหรือ”
ขันทีพยักหน้า
“เขาผู้นั้นแหละ” เขาเอ่ย
ขันทีผู้นั้นยิ้มร่าขึ้นมาในทันใด
“องค์ชาย องค์ชาย” เขารีบตามจิ้นอันจวิ้นอ๋องไป “ใต้เท้าหันผู้
นั้น
มาพอดี ถือโอกาสนี้ถามเขาเลยว่าที่สวนดอกไม้ของตำหนัก
จะตัดแต่งเป็นรูปหยินหยางได้หรือไม่”
“จะถามเขาไปทำไมเล่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ถามผู้ใดก็ไม่สู้
ถามนางหรอก”
นางผู้นั้นก็คือแม่นางเฉิงสินะ ขันทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขานรับใน
ทันใด ทว่าพอจิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินออกไป แต่ตนก็ยังคงรออยู่ในวังหลวง รอได้ไม่ได้นาน ก็เห็นใต้เท้าหันผู้นั้นเดินออกมา
“มีเรื่องอันใดจะถามข้าหรือ” ท่านพ่อของหันหยวนเฉา หัน
ชางเดินออกมาก็ถูกขันทีรั้งเอาไว้ สีหน้าเขาดูตกใจไม่น้อย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ คราวก่อนตอนพิธีรับ
ตำแหน่งก็ได้เข้าฝ่าบาทแล้วหนหนึ่ง แม้จะมีผู้คนมากมายอยู่ด้วย
แต่ก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว พอได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทอีกครั้ง หัน
ชางเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย ทั้งยังหวาดหวั่น เกรงว่าพูดจาหรือทำ
ท่าทางใดที่เสียกิริยาไป
เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่ได้เจอเขามานานแล้ว แน่นอนว่าคงจำ ไม่ได้
เอ่ยถามพอเป็นพิธีเพียงไม่กี่คำก็เชิญเขาให้ออกมา
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกรั้งไว้เช่นนี้
“ใต้เท้าหัน ที่ตำหนักขององค์ชายข้าจะจัดแต่งสวนดอกไม้ใหม่
ท่านสะดวกไปดูสักหน่อยหรือไม่” ขันทีเอ่ยเสียงกระซิบ
“ข้าอย่างนั้นหรือ” หันชางตกใจไม่น้อย สงสัยว่าตนเองหูฝาด
ไปหรือเปล่าขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น แน่นอนว่าอยู่ในสายตาของ
ขันทีอื่นเช่นกัน หนึ่งในนั้นหรี่ตาเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลัง
ก้าวฉับเดินออกไป
ภายในตำหนักว่าราชการ ฮ่องเต้วางสาส์นในมือลง มองดูขันที่
ค้อมตัวถวายบังคับอยู่แล้วหรี่ตามอง
“คุยกับลับหลังอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
“ข้าน้อยมิบังอาจพูดเท็จพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาท ให้สำ นักราชกิจส่วนพระองค์ไปตรวจสอบไม่ดีหรือ
…” ขันทีกดเสียงต่ำ ในใจก็ตื่นเต้นขึ้นมา
หากสำ นักราชกิจส่วนพระองค์เข้าไปตรวจสอบแล้ว ย่อมไม่ใช่
เพียงแค่สาวไปถึงขุนนางอำมาตย์ใหญ่โต ไม่แน่ว่าอาจจะตรวจพบ
บางสิ่งก็เป็นได้ และแม้จะตรวจไม่พบสิ่งใด หรือเจอเพียงแค่เรื่อง
เล็กน้อยเสียจนไม่จำ ต้องกราบทูลอันใดก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน เพราะ
ขึ้นชื่อว่าตรวจสอบ
หากได้ตรวจครั้งแรก ก็ย่อมมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…สิ่งที่เหล่าขุนนางและราชนิกูลหวาดกลัวมากที่สุดคืออะไรน่ะ
หรือ ก็คือเสียความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮ่องเต้อย่างไรเล่า หากฮ่องเต้
ไม่ไว้ใจเขาแล้ว ชีวิตในราชสำ นักของเขาคงเป็นอันต้องจบลง
“ตรวจสอบอันใดเล่า ตัวคนก็อยู่ที่นี่ เรียกมาถามเสียก็สิ้นเรื่อง
”
เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นเหนือหัว ทำเอาขันทีเหงื่อเย็นผุดซึมไป
ทั้ง
หัว
ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าความไว้เนื้อเชื่อใจของฮ่องเต้นั้น
สำ คัญที่สุด
เขาก้มหน้าขานรับ
หันชางที่เดินพ้นประตูวังออกไปก็ถูกเรียกให้กลับมา พร้อม
ดัวยขันทีผู้นั้นที่ยังไม่ได้กลับออกไป
“องค์ชายอยากจะจัดแต่งสวนดอกไม้ใหม่ เกรงว่าสำ นักโหรซื่อ
เทียนไถจะไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีก้มหน้าเอ่ย
ฮวงจุ้ยของตำหนักชิ่งอ๋องล้วนแต่มีซื่อเทียนไถเป็นผู้วาง
แบบแผนให้ เรื่องตกแต่งเล็กน้อยนั้นไม่เท่าไหร่ แต่หากจะก่อสร้างใหญ่ย่อมต้องได้รับความเห็นชอบจากพวกเขาเสียก่อน
ฮ่องเต้พยักหน้า
“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับใต้เท้าหันหรือ” เขาถาม
“ฝ่าบาท เป็นเรื่องเข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ” หันชางรีบเอ่ยขึ้นใน
ทันใด ภายในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด
รู้อยู่แล้วว่าอยู่ในเมืองหลวงนั้นไม่ง่าย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอ
ตนเพิ่งเข้ามาก็จะพบเจอเรื่องเช่นนี้
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าใต้เท้าหันเป็นผู้คำนวณวันเกิดสุริยุปราคา
จึงคิดว่าช่ำ ชองในเรื่องฮวงจุ้ยเช่นกัน จึงได้ขอให้เขาไปดูสักเล็กน้อย
พ่ะย่ะค่ะ จากนั้นค่อยไปปรึกษาซื่อเทียนไถ คิดว่าเช่นนี้คงจะง่ายขึ้น”
ขันทีก้มหน้าเอ่ย
“บังอาจนัก” ฮ่องเต้ตวาดลั่น “กล้าดีอย่างไรถึงได้ให้ใต้เท้าหัน
ผู้บริสุทธิ์มาเป็นกำบังให้พวกเจ้า!”
ขันทีก้มหัวโขกพื้นรับผิดไม่หยุด
“เรียกจวิ้นอ๋องมา” ฮ่องเต้ยังคงไม่คลายความโกรธ “ออกไป
แล้วไม่มีผู้ใดคอยจับตามองก็ชักเหลวไหล”“ฝ่าบาท มีธุระอันใดกับกระหม่อมอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ถูกเรียกตัวกลับมาดังขึ้นจาก
ข้างนอก ก่อนตัวคนจะก้าวตามเข้ามา
“เจ้าจะต่อเติมอันใดตามอำเภอใจอีก ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าทำ
เช่นนั้นกัน” ฮ่องเต้ตะโกนลั่นหน้าบึ้งตึง “วันนี้ต่อเติมตำหนัก
วันหน้าคงชนไก่ ปล่อยสุนัขวิ่งพล่านแล้วกระมัง”
หันชางที่ยืนอยู่อีกฝั่ง เงยหน้าขึ้นลอบมองจวิ้นอ๋องผู้โด่งดังว่า
เป็นผู้เรียกเด็กมาเกิด ก่อนจะก้มหน้าลงในทันใด
น้ำเสียงแสนผ่อนคลายของเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างหู
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตรงนั้นเป็นทะเลสาบ กระหม่อม
จึงได้ถมเป็นที่เรียบร้อย เพียงแต่ปล่อยให้โล่งเตียนเช่นนั้นไม่งามตา
สักเท่าไหร่ ปลูกดอกไม้สักหน่อยก็คงจะดี แต่ดอกไม้ใบหญ้าก็
ไม่ค่อยงามนัก กระหม่อมจึงตั้งใจว่าจะตัดแต่งเป็นให้รูปร่าง” เขา
เอ่ย
สีหน้าของฮ่องเต้ดูอ่อนลงไปไม่น้อย“แล้วจะตัดแต่งเช่นไร เหตุใดต้องไปถามผู้นั้นผู้นั้นที ท่าทาง
ลับๆ ล่อๆ” เขาถาม
“แม่นางเฉิงบอกว่าตัดแต่งเป็นรูปหยินหยางนั้นดีที่สุด” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องเอ่ย
แม่นางเฉิงอย่างนั้นหรือ!
ฮ่องเต้ตกตะลึงไป หันชางเองก็ตกตะลึงเช่นกันก่อนจะเงยหน้า
ขึ้นมององค์ชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว
สนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์จริงๆ หรือนี่
“นางบอกให้เจ้าทำอย่างไร เจ้าก็จะทำอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้
สีหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อนาง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบอย่าง
ไม่ลังเล “นางไม่พูดเหลวไหลอย่างแน่นอน พูดจามีหลักมีการ“
“มีหลักมีการอันใด!แม้กระทั่งฮวงจุ้ยนางก็ดูเป็นหรือ” ฮ่องเต้
เอ่ย
พอคำนั้นเอ่ยออกไป ก็นึกถึงทำพูดแสนคุ้นหูขึ้นมา‘ยังมีหน้ามาบอกว่ามิใช่ศิษย์ลัทธิเต๋าอีกหรือ แม้แต่ชำ ระ
ตำหนักยังทำเป็น เช่นนี้ก็คงดูฮวงจุ้ยเป็นด้วยแล้วกระมัง…’
ฮ่องเต้นึกถึงคำพูดของไทเฮาในวันนั้น
“ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ยังไม่พอหรืออย่างไร…” เขาเอ่ย
พึมกำกับตัวเอง
หันชางยืนนิ่งอยู่กับที่ เรื่องภายในครอบครัวของฮ่องเต้ เขา
ไม่ควรได้รับรู้มิใช่หรือ แต่ฮ่องเต้ดูเหมือนจะลืม เขาเองก็
กระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“เรียกแม่นางเฉิงมา เราจะถามนาง ว่านางต้องการสิ่งใดกันแน่
!”
พอสิ้นเสียงฮ่องเต้ ในใจของหันชางกระตุกวูบขึ้นมา จะได้พบ
เจอกับแม่นางเฉิงผู้นั้นแล้วหรือ ว่าแต่เขาควรถวายบังคมลาแล้ว
ใช่หรือไม่
ขณะที่กำลังคิดเหม่อลอยอยู่นั้น ฮ่องเต้จึงนึกขึ้นได้ว่าหัน
ชางคือผู้ใดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น“วันที่เกิดสุริยุปราคา เจ้าเป็นผู้คำนวณเองหรือ” เขาไม่สนใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องอีกต่อไป ก่อนจะเหลียวไปพูดกับหันชาง
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้เรื่องดวงดาวเพียงแค่น้อยนิด จะให้
คำนวณดวงดาวโคจรเช่นไรนั้นกระหม่อมทำไม่ได้” หันชางรีบคำนับ
เอ่ย หางตาเหลือบมองจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
ราวกับไม่ใส่ใจที่ฮ่องเต้เพิกเฉยเขาอย่างนั้น
“แล้วเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้ถามอย่างประหลาดใจ
“จะบอกว่ามีแม่นางผู้หนึ่งที่ผ่านทางมาเป็นผู้บอกเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” หันชางเอ่ย ก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องราวหลังจากนั้น
พอได้ยินว่าหญิงผู้นั้นย่างเข้ามาเพียงผู้เดียว พูดจายิ้มแย้ม
ก่อนจะง้างมีดตัดหัวภิกษุโจร จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ร้องเสียงหลงขึ้น
มาอย่างห้ามไม่ได้ ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เขา จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงหัวเราะ
คิกคักก่อนจะถดถอยหลังกลับไปยืนที่เดิมไม่เอ่ยคำใด
“เพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ฆ่าเขาได้อย่างง่ายดายเพียงนั้น
เชียวหรือ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอ่ย“ฝ่าบาท ตอนนั้นจำ เป็นต้องฆ่าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ตัดไฟเสียง
ตั้ง
แต่ต้มลม หากปล่อยไว้รังแต่จะสร้างความวุ่นวาย” หันชางเอ่ย
“ท่าทางพวกเจ้าทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ต่างซาบซึ้งน้ำใจแม่นางผู้นี้นัก
” ฮ่องเต้เอ่ย
หันชางไม่ได้หลบเลี่ยงเพียงแต่ขานรับเท่านั้น
“กระหม่อมยกย่องนางว่าเป็นผู้เสียสละพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ผู้เสียสละคือผู้ภักดี
ฮ่องเต้หรี่ตามอง
ถึงภิกษุรูปนั้นจะสมควรตายก็จริง แต่ใครเป็นคนฆ่า
ฆ่าอย่างไร ฆ่าแล้วจะมีผลอย่างไร ล้วนแต่นำมาซึ่งความวุ่นวาย
ทั้ง
นั้น
ด้วยเหตุนั้นขุนนางน้อยใหญ่ของอำเภอผันเจียงจึงทำได้เพียง
มองตาปริบๆ ปล่อยให้ภิกษุรูปนั้นวางอำนาจบาตรใหญ่
เรื่องบางเรื่องนั้นจำ เป็นต้องทำ แต่หากทำแล้วนำภัยมาสู่ตน
หรืออาจจะต้องเจ็บตัว หรืออาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่หากช่วยให้
ราชสำ นักและชาวเมืองพ้นภัยได้ ก็เรียกว่าจงรักภักดี
“ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากตระกูลใด” ฮ่องเต้ถาม“น่าเสียดาย กระหม่อมเองก็ไม่รู้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หันชางเอ่ย
“นางบอกเพียงวันเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคา ให้กระหม่อมนำไปใช้
ขจัดหายนะที่ภิกษุโจรนั้นสร้างทิ้งไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กำลังจะเอ่ยปาก ขันทีก็เดินเข้าประตูมา
“ฝ่าบาท แม่นางเฉิงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เรียกให้นางเข้ามา
หันชางหันกลับไปมองในทันใด หางตาเหลือบมององค์
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่อีกฝั่งกำลังหันไปมองทางประตูอย่างดีอกดีใจ
เช่นกัน
ประตูถูกผลักให้เปิดออก ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา แต่เป็นเพราะ
ย้อนแสงจึงมาไม่เห็นใบหน้าค่าตาชัดเจน มองเห็นเพียงเงาร่าง
สูงโปร่ง แต่กลับไม่เหมือนร่างอรชรของหญิงสาว ร่างนั้นเยื้องย่าง
เข้ามา ฝีเท้ามั่นคง
คนผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะยืนถวายบังคมอยู่ห่าง
ออกไปประมาณสิบก้าว
“หม่อมฉันแซ่เฉิงถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”