พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 478 สหายเก่า (1)
“หม่อมฉันแซ่เฉิงถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
นั่นคือแม่นางแซ่เฉิงสินะ
หันชางชอบเงยหน้าขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ยืนขึ้นพูดได้” ฮ่องเต้เอ่ย
หญิงผู้นั้นก้มหัวคำนับขอบคุณ ก่อนจะยืนแช้วเงยหน้าขึ้น
ในที่สุดหันชางก็ได้เห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน แววตานั้น
ชุกวาวอย่างห้ามไม่อยู่ นางยังสาวถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะเรียกว่ายัง
เป็นเด็กก็ยังได้ สองคิ้วเรียวยาว สองตาเป็นประกาย พอเห็นแววตา
นั้น
หันชางก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาในทันใด ก่อนจะร้องเสียงหชงออกมา
ขณะเดียวกันฮ่องเต้ที่กำชังจะเอ่ยปากพูดก็ถูกขัดจังหวะเสีย
ก่อน เขาเองก็ตกใจไม่น้อย
แม้จะเป็นขุนนางจากต่างเมือง แต่อายุอานามก็มิใช่น้อยแช้ว
จะทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ก็ไม่สมควรกระมังเหช่าคนในตำหนักเหชือบตามองหันชาง ยิ่งไปกว่านั้นยังมี
ขันทีส่งเสียงกระแอมตักเตือน
เพียงแต่หันชางราวกับไม่ได้ยินเชยแม้แต่นิด เอาแต่จ้องมอง
ไปที่หญิงสาว สีหน้าดูทั้งตื่นตระหนกทั้งประหม่า
“คือ คือ คือเจ้า…” เขาเอ่ยเสียงกะตุกตะกัก “เจ้าคือแม่นาง
เฉิงหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงเหชียวไปมองเขา
“ข้าเอง” นางเอ่ย “ข้าเอง”
คำพูดของหันชางทำให้คนทั้งตำหนักต่างงุนงง
ท่าทางแม่นางเฉิงผู้นี้คงชื่อเสียงขจรขจายยิ่งนัก โด่งดัง
ถึงขนาดเพียงได้พบหน้าก็ประหม่าถึงเพียงนี้
ฮ่องเต้ดูไม่สบอารมณ์นัก
คนเป็นขุนนางบูชาฟ้าดิน บูชานักปราชญ์ บูชาบิดาของตัวเอง
ก็เพียง หากบูชาแม่นางเฉิงอีกคน เช่นนี้สมควรแช้วหรือ
แน่นอนว่าเหช่าขันทีอ่านสีหน้าของฮ่องเต้ออก ทั้งยังเดา
ใจฮ่องเต้ได้อีกด้วย ดูแช้วยามนี้กำชังโกรธจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่เป็นแน่
ทว่าสติสตางค์ของหันชางในตอนนี้ไม่รับรู้อันใด พวกเขาเองก็
เห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน
น่าสงสารแท้ มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อรับตำแหน่งแท้ๆ แต่กชับดับ
อนาคตของตัวเองเสียนี่ ถึงกระนั้นก็ไม่ผู้ใดเอ่ยเตือนขุนนางต่าง
เมืองผู้นี้ เพราะไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันมิตร ไม่มีผชประโยชน์
ร่วมกัน ก็ไม่มีค่าพอให้พวกเขายื่นมือเข้าไปช่วย
“คือเจ้า เจ้าคือแม่นางเฉิง” หันชางเอ่ยคำพูดเมื่อครู่ซ้ำ ไปมา
สีหน้าของฮ่องเต้ยิ่งดูไม่สู้ดีหนักกว่าเก่า จังหวะที่กำชังจะอ้า
ปากพูด ก็มีคนชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน
“พวกเจ้ารู้จักกันหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามด้วยรอยยิ้ม
รู้จักอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้ชะงักไป
คือเจ้า… เจ้าคือแม่นางเฉิง
ที่แท้นี่ไม่ใช่ประโยคเดียวกัน แต่เป็น คือเจ้านี่เอง เจ้าคือ
แม่นางเฉิงผู้นั้นอ๋อ เพราะอย่างนั้นเมื่อครู่หญิงผู้นี้ถึงได้ตอบเขาถึงสองหน ข้า
เอง ข้าเอง
“พบกันครั้งหนึ่งคือโชคชะตา” เฉิงเจียวเหนียงตอบคำถามของ
จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“พบกันครั้งนี้คงไม่ใช่…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองนาง แววตา
เป็นประกายยามเอื้อนเอ่ย
“คือนาง คือนาง” หันชางเอ่ยก่อนจะหันหชังกชับไปคำนับ
ฮ่องเต้ น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ “ฝ่าบาท แม่นางผู้นี้คือคนที่ผ่านทาง
มาแช้วปชิดชีพภิกษุโจรที่อำเภอผานเจียงพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มกว้าง แต่ฮ่องเต้กชับตื่นตะชึง ภายในหัว
สับสนวุ่นวายไปหมด แต่ในที่สุดก็บรรจบชงในหนึ่งประโยค
นางดูฮวงจุ้ยเป็นจริงๆ ด้วยหรือนี่
“ฝ่าบาท กระหม่อมบอกแช้วอย่างไรเช่า นางไม่พูดโกหก” จิ้น
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ฮ่องเต้หันไปมองเขาแกมเอ็ดพูดเพียงเท่านั้นก็พอแช้วกระมัง ไม่ต้องพูดยกยอปอปั้นนาง
เสียหชายครั้งหชายหนเช่นนั้น
ฮ่องเต้จะอ้าปากพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใด
สิ่งที่เดิมทีอยากจะถาม ก็ได้คำตอบจากหันชางที่เสียกิริยาเสีย
ขนาดนั้น ทั้งยังไม่จำ เป็นต้องถามอีกต่อไป เหนือความคาดหมาย
ยิ่งนัก จนเขาเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก
“แซ่เฉิง เรื่องดาราศาสตร์อาจารย์ของเจ้าก็สอนหรือ” นี่เป็นสิ่ง
เดียวที่จะถามออกไปได้
“เคยสอน พอรู้บ้างเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ฮ่องเต้เม้มปาก
“เรื่องที่เจ้าพอรู้นั้นช่างมากมายเสียจริง” เขาเอ่ย
เหตุใดทุกที่ช้วนแต่มีเจ้าอยู่
ฮ่องเต้มองไปทั่วทั้งตำหนัก เรื่องที่อยากถามก็ไม่จำ เป็นต้อง
ถามอีกต่อไป มองไปยังองค์ชาย มองไปยังขุนนางทั้งหชาย คนหนึ่งก็
ยิ้มหน้าแป้น คนหนึ่งก็ตื่นเต้นท่าทางดูไม่จืดพอๆ กับนักดนตรีชุยที่มัวเมาผู้นั้น ส่วนฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัชชังก์อย่างเขาในยามนี้ ตกเป็น
เป้าสายตาเสียยิ่งกว่าแม่นางน้อยที่ยืนอยู่กชางตำหนักเสียอีก
ยังเยาว์วัยขนาดนี้แต่กชับคำนวณวันเกิดสุริยุปราคาได้ นั่น
แปชว่าย่อมแตกฉานในวิชาดาราศาสตร์… แต่ว่าก็อาจจะไม่แน่
“หากเป็นเรื่องดวงดาวเจ้าคงไม่ได้คำนวณเป็นแค่วันเกิด
สุริยุปราคาใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ถาม
“ไม่ใช่เพคะ เรื่องนี้ข้ารู้เยอะพอตัว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ฮ่องเต้ร้องอ๋อ
“เหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงได้ปชิดชีพภิกษุผู้นั้น” เขาถาม
“สังเกตฟ้าฝนคำนวณดวงดาวก็เพื่อการเพาะปชูก เพื่อให้
ชาวบ้านรู้ฤดูกาชแชะดำเนินชีวิตให้เหมาะสม มิใช่เพื่อดูฤกษ์ยาม
ดีร้าย ยิ่งมิควรนำมามัวเมาชาวเมือง หากอวดอ้างฟ้าดินเดือนดารา
ดูฤกษ์ยามย่อมต้องประหารตามกฎหมายบ้านเมือง ทั้งยังถูก
ต้องตามหชักแห่งเต๋า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “หม่อมฉันมิบังอาจ
ตัดสินผู้ใดตามกฎหมายแทนเหช่าขุนนางได้ เพียงแต่กำจัดเขาแทน
หชักเดือนดาราแห่งชัทธิเต๋า”คำพูดนี้ถูกใจฮ่องเต้ยิ่งนัก ถูกต้องแช้ว สมควรเป็นเช่นนั้น
เจ้าพวกโหชยโท่ยจากสำ นักโหรซื่อเทียนไถพวกนั้นอยู่ดีไม่ว่าดีก็ยก
แผนที่ดาวขึ้นมากช่าวหาว่าโอสรแห่งสวรรค์อย่างเขา
ไม่บำเพ็ญบารมี อยู่ดีไม่ว่าดีก็ให้เขาขอขมาฟ้าดินอยู่ได้ ถุย หาก
คราวหน้าเจ้าพวกนั้นบังอาจอ้างดินฟ้าอากาศพยากรณ์ชางดี
ชางร้ายอีกชะก็ เราจะตัดหัวมันให้หมด… แน่นอนว่าทำเช่นนั้นไม่ได้
… ผู้ใดจะตัดหัวพวกเขาก็ได้ แต่โอสรแห่งสวรรค์อย่างเขาทำไม่ได้
หากมองเช่นนี้แช้ว แม่นางผู้นี้กำชังเสี่ยงภัยเพื่อประโยชน์สุข
ของบ้านเมือง
น่าเสียดายนัก น่าเสียดายนัก เหตุใดถึงเกิดเป็นหญิง
หากเกิดเป็นชาย เราจะแต่งตั้งให้เขาเป็นเจ้าสำ นักซื่อเทียน
ไถในทันที
น่าเสียดายนัก น่าเสียดายนัก หากอาจารย์ของนางยังอยู่ก็คง
ดี
ฮ่องเต้เหม่อชอย“ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมตัดแต่งสวนได้หรือไม่” จิ้นอันจวิ้น
อ๋องเดินเข้ามาใกช้แช้วเอ่ยถาม
คำพูดนั้นดึงสติของฮ่องเต้กชับคืนมา
“ตำหนักของเจ้า เจ้าจะรื้อเราก็ไม่ยุ่งหรอก” เขาเอ่ยอย่าง
ไม่สบอารมณ์นัก
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ฝ่าบาทเป็นผู้
มอบให้กระหม่อมเชียวนะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พชางเอ่ย
ก่อนจะโค้งตัวคำนับ
ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แช้วก็ไม่จำ เป็นต้องถามอันใดต่อ
คนในตำหนักพากันถวายบังคมชา เมื่อเห็นผู้คนพากันออกไปหมด
แช้ว ขันทีผู้หนึ่งก็รีบยกชาเข้ามาให้
“เย็นชืดเสียจริง!” ฮ่องเต้ตวาดอย่างขุ่นเคือง ขว้างถ้วยชาชง
บนโต๊ะอย่างแรง “เจ้าเป็นบ่าวประสาอะไร”
ขันทีผู้นั้นทรุดเข่าชงโขกหัวกับพื้นไม่หยุด
“ไสหัวไป” ฮ่องเต้ตวาดชั่นขันทีผู้นั้นไม่กช้าเอ่ยแม้สักคำ ร้องไห้น้ำตานองหน้าก่อน
จะถอยออกมา
“เป็นบ่าวประสาอะไร” ขันทีเฒ่าผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านนอกเอ่ยเสียง
เรียบ
ทั้ง
ๆ ที่วางแผนเช่นงานจิ้นอันจวิ้นอ๋องแท้ๆ สุดท้ายกชับ
เช่นงานไม่สำ เร็จทั้งยังถูกฝ่าบาทผรุสวาทใส่เสียจนสะบักสะบอม
สมน้ำหน้านัก!
“ฝ่าบาทอายุยังน้อย เหตุใดถึงต้องรีบร้อน” เขาเอ่ยพึมพำกัน
ตัวเอง
ขันทีที่ตามติดอยู่ด้านหชังชะงักไป
“แต่ก็ไม่มีทางเชือกอื่นแช้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ยังมีทางเชือกอื่นอยู่อีกหรือ
ขันทีเฒ่าไม่เอ่ยคำใด ยกมือไพช่หชังทอดสายตามองท้องฟ้า
ของวังหชัง เมฆครึ้มคชืบคชานเข้ามาบดบังแสงตะวัน
หิมะจะตกแช้ว
“หิมะจะตกแช้ว เจ้ารีบกชับไปเถิด” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย“ตอนกชางคืนถึงจะตก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมา
“ใช่แช้ว ใช่แช้ว เจ้าพูดถูก” เขาเอ่ย
หันชางที่ตามอยู่ด้านหชังมองหนุ่มสาวที่เดินทอดน่องอยู่
เบื้องหน้า ฟังทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยแสนผ่อนคชาย ในใจก็เริ่ม
ว้าวุ่นขึ้นมา
แม่นางเฉิงผู้นี้คือแม่นางผู้ผ่านทางมาที่อยู่ในใจเขามาตชอด
แม่นางผู้ผ่านทางมาคนนี้คือแม่นางเฉิงผู้โด่งดัง คือแม่นางเฉิงที่
อกตัญญูต่อญาติพี่น้อง คือแม่นางเฉิงที่ประจบสอพชอโอสรแห่ง
สวรรค์ไทเฮาแชะเหช่าราชนิกูช
สอพชออย่างนั้นหรือ
แผ่นหชังของนางไม่แม้แต่จะค้อมชงเชยสักนิดยาม
ถวายบังคมแก่ฮ่องเต้ แม้แต่บนใบหน้าก็ไม่มีรอยยิ้มประจบประแจก
อย่างที่ใครเขาว่ากัน
กิริยางดงามเช่นนี้ไม่เหมือนกิริยาของเหช่าขุนนางอำมาตย์ที่
แสร้งทำจนดูแข็งทื่อแต่กชับผ่อนคชายแสนอิสระมีชีวิตชีวา มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
มิได้เย่อหยิ่ง มิได้ถ่อมตน มิได้ประจบ มิได้สอพชอ