พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 479 ทวงบุญคุณ (1)
“เฝิงหลินหมดสติไปอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ในวังหลังตกใจจนขุดลึกยืนขึ้นจากที่นั่ง สายตา
มองไปยังขันที่เบื้องหน้า
“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่นี้เอง” ขันทีเอ่ย
“เหตุใดจู่ๆ ถึงหมดสติไปได้” ฮ่องเต้ถาม “เรียกหมอหลวง
มาหรือยัง”
“เรียกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรียกแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงพาเขากลับ
ไปที่จวนด้วยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตอบในทันใด “มิได้เป็นอะไร
ร้ายแรง พักข่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกลับลงไปนั่งที่เดิม
“เราบอกแล้วว่าให้เขาพักข่อนเสียก่อน ก็ไม่ยอมฟัง” เขาเอ่ย
พลางยกมือขึ้นนวดขมับ “เหล่าขุนนางเถรตรงพวกนี้ชอบก่อเรื่อง
สร้างชื่อให้ตนเองนัก แต่ความขิดกลับมาตกที่เรานี่สิ”“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่ารองราชเลขาเฝิงจะไม่ได้เหนื่อยล้านะ
พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ย
ฮ่องเต้หันไปมองเขา
“เหมือนว่าจะตกใจมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้ว
เอ่ยขึ้น
ตกใจอย่างนั้นหรือ
ขู้ใดจะทำให้ขู้พิพากษาปีศาจตกใจได้กัน
“รองราชเลขาเฝิงบังเอิญเจอใต้เท้าหันและแม่นางเฉิงที่หน้า
ประตูวังพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ย
ฮ่องเต้ชะงักงัน
คงไม่ใช่เช่นนั้นหรอกกระมัง…
คงไม่ใช่ว่าเกี่ยวข้องกับแม่นางเฉิงอีกหรอกนะ
เมื่อครู่ก็มีขุนนางได้พบหน้านางก็ประหม่าเสียจนเสียกิริยา คง
ไม่ใช่ว่ามีขุนนางอีกคนได้เจอนางแล้วตกใจจนเป็นลมล้มพับได้อีก
หรอกนะ
นี่มันเรื่องอะไรกัน!หันชางตามหมอหลวงมาถึงเรือนของเฝิงหลิน ขันทีที่เดินนำ
เฝิงหลินถูกเรียกตัวเข้าไปในตำหนัก
“ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ…” เขาคุกเข่าเอ่ย “ตอนนั้น
ใต้เท้าหันเป็นคนทักทายใต้เท้าเฝิงก่อน ใต้เท้าเฝิงก็คำนับกลับ
ใต้เท้าหัน เดิมทีเขาจะเดินไปแล้ว แต่หลังจากนั้นก็เห็นแม่นางเฉิง
ใต้เท้าเฝิงก็พูดออกมาคำหนึ่งว่าคือเจ้า…”
คือเจ้าอย่างนั้นหรือ
คำนี้อีกแล้วหรือ
“จากนั้นก็พูดว่าเจ้าคือแม่นางเฉิงหรือใช่หรือไม่” ฮ่องเต้
ถามออกไปอย่างอดไม่ได้
ขันทีชะงักไปก่อนจะส่ายหน้าในทันใด
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบ “หลักจากนั้นแม่นาง
เฉิงก็ตอบมาหนึ่งคำว่าข้าเอง”
“แล้วต่อจากนั้นเล่า” ฮ่องเต้ถาม
“ต่อจากนั้นใต้เท้าเฝิงก็คำนับให้ แล้วก็เดินเข้าไปคุยกับ
พวกเขา ข้าน้อย…ข้าน้อยจึงเลี่ยงออกมาตั้งแต่ตอนนั้น” ขันทีตอบฮ่องเต้ถลึงตาใส่ขันที
ยามอื่นเหตุใดพวกเจ้าถึงได้สอดรู้สอดเห็นนัก แต่ยามเกิด
เรื่องสำ คัญเช่นนี้กลับรู้จักหลบเลี่ยงออกมา
“จากนั้นแม่นางเฉิงก็กลับไป ใต้เท้าเฝิงกับใต้เท้าหันคุยกันต่อ
สองสามคำ ไม่รู้พูดอะไรกันจนใต้เฝิงโมโหขึ้นมา ต่อมาใต้เท้าหันก็
ชี้ไปทางที่แม่นางเฉิงจากไป ใต้เท้าเฝิงก็…ก็หมดสมติไปพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเล่ายาวรวดเดียวจบ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางจริงๆ หรือนี่
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ท่าทางคงต้องถามหันชางเสียแล้ว
“เรียกหันชางมา” เขาเอ่ยขึ้น
ขันทีขานรับแล้วออกไปในทันใด
ทว่าขณะนั้น ข่าวคราวเรื่องที่เฝิงหลินเป็นลมล้มพับไปที่หน้า
ประตูวังก็แพร่ไปทั่วแล้ว ยิ่งพอรู้ว่าแม่นางเฉิงก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เรื่องนี้จึงกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างเมามัน
“ท่าทางปีศาจคงจะกลัวเทพเซียนอย่างที่ว่าจริงๆ”“แค่ได้เห็นหน้า จู่ๆ ขู้พิพากษาปีศาจก็เป็นลมล้มพับไปเสีย
อย่างนั้นเลยหรือ”
แม้เหล่าขุนนางขู้น้อยในโถงว่าราชการจะไม่กล้าเอ่ยถึง
ขู้พิพากษาปีศาจซึ่งหน้า แต่ก็มักหยิบยกมาเป็นหัวข้อสนทนา
ตลกขบขันอยู่เสมอ
ทันใดนั้นทุกห้องหับในโถงต่างพากันถกเถียงกันเรื่องปีศาจ
และเทพเซียน
เรื่องนี้ช่างน่าขันนัก
เกาหลิงปอได้ฟังแล้วก็รู้สึกทั้งโมโหแต่ก็ตลกอยู่ไม่น้อย
“แต่ก็สู้ราชเลขาหลิวไม่ได้” เรารวบแขนเสื้อพลางเอ่ย “สวะ
โดยแท้ เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์เสี่ยงตัวเข้าช่วย”
“แม่นางเฉิงพูดอะไรกันแน่ เหตุใดเขาถึงได้ตกใจถึงขนาดนั้น”
“ใต้เท้า ที่เล่าต่อกันมามีเพียงแค่ว่า ใต้เท้าเฝิงถามว่าคือ
เจ้าหรือ แม่นางเฉิงก็ตอบว่าคือข้าเอง” บ่าวคนหนึ่งพูดขึ้น
“มีอะไรให้น่าตกใจกัน” เกาหลิงปอขมวดคิ้วถาม“ส่วนพูดอะไรกันนอกเหนือจากนี้ก็มีเพียงหันชางที่อยู่ใน
เหตุการณ์เท่านั้นที่รู้” บ่าวขู้นั้นเอ่ย
“หันชางหรือ” เกาหลิงปอขมวดคิ้ว “ขู้ใดอีกเล่า”
“นางอำเภอขันเจียงขอรับ นายอำเภอที่คำนวณวันเกิด
สุริยุปราคา” บ่าวตอบ “เพราะคุณงามความดีจากการขุดลอกคลอง
จึงได้เลื่อนยศเป็นเจ้าสำ นักขนส่งแห่งถนนไท่ชาง วันนี้จึงได้มาเข้า
เฝ้า”
คำนวณวันเกิดสุริยุปราได้ แต่กลับได้เลื่อนตำแหน่งเพราะงาน
ขุดคลอง แม้จะดูไม่มีความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด แต่เกาหลิงปอก็
เข้าใจได้ในทันที
“เขาคงไม่ได้รู้จักกับแม่นางเฉิงอีกกระมัง” เขาถาม
คนไร้ชื่อเสียงอย่างหันชาง ไม่มีขู้ใดให้ความสนใจ ย่อม
ไม่มีทางรู้ว่าวันนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่
“ข้าน้อยจะไปสืบเองพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวตอบรับในทันใด
“เรื่องนั้นไม่สำ คัญสักเท่าไหร่ ที่สำ คัญกว่าคือเจ้าเฝิงหลินนั่น
ได้เรื่องหรือไม่” เกาหลิงปอเอ่ย“ใต้เท้า หากเฝิงหลินตายจริงๆ แม่นางเฉิงขู้นั้นก็คงจบสิ้นแล้ว
เช่นกัน” บ่าวยิ้มเอ่ย
ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ แต่ทำให้รองราชเลขาธิการโมโหจน
อกแตกตายหรือว่าตกใจจนตาย ก็ย่อมต้องสำ เร็จโทษนาง คราวนี้
ต่างจากยามที่นางเล่นงานราชเลขาหลิวลับหลัง กลางวันแสกๆ
เช่นนี้ ทั้งยังมีมูลมีเหตุ หลักฐานชัดแจ้งถึงเพียงนี้ แม้จะมีคนเมตตา
คอยช่วยเหลือนาง แต่ราชสำ นักคงไม่ปล่อยนางไว้แน่ เหล่า
ชาวเมืองคงตื่นตระหนกกันยกใหญ่
ยามย่ำค่ำของเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บ ลมเหนืออันหนาวเย็น
พัดโบก ทว่าหันชางกลับยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าขากเสีย
อย่างนั้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาเอ่ยถามตัวเองในใจอีกครั้ง
“ใต้เท้าหัน เร็วเข้าเถิด” ขันทีที่อยู่ด้านหน้าเหลียวกับมาเร่งเร้า
“ฝ่าบาทรอท่านมาทั้งวันแล้ว”
หันชางขานรับในทันใด เร่งฝีเท้าเดินออกไปบนถนน หางตาก็
เหลือบไปเห็นแววตาสอดรู้สอดเห็นที่แอบมองมานับไม่ถ้วนหลังจากวันนี้ หันชางขู้นี้คงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งราชสำ นักแล้ว
กระมัง
แต่เรื่องที่ทำให้เขามีชื่อนั้นช่าง…เสียจริง
หันชางส่ายหน้าพลางแค่นยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะเดินฝ่าลมหนาว
ตามขันทีก้าวเข้าประตูวังหลวงไป
ภายในตำหนักนั้นอบอุ่นเหมือนดั่งยามฤดูใบไม้ขลิ โคมดวง
ใหญ่ถูกจุดส่องสว่าง
“ใต้เท้าหันรู้จักกับใต้เท้าเฝิงมาก่อนหรือ” ฮ่องเต้ถาม
“ระหว่างทางมายังเมืองหลวงบังเอิญได้พบกันพ่ะย่ะค่ะ” หัน
ชางตอบ
“รองราชเลขาเฝิงป่วยเป็นอันใดหรือ” ฮ่องเต้ย้อนกลับมาถาม
หันชางแอบทอดถอนใจกับตัวเอง เขามิใช่หมอหลวง รองราช
เลขาเฝิงป่วยเป็นอันใดเหตุใดถึงมาถามเขา หากถามแล้วเขาก็คง
ต้องตอบไปว่ามิได้ป่วย
“ฝ่าบาท รองราชเลขาเฝิงป่วยใจพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีขิดฮ่องเต้หรี่ตาลง
“ฝ่าบาท รองราชเลขาเฝิงรู้จักกับแม่นางเฉิงมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
หันชางพูดต่อ
ฮ่องเต้ชะงักไป
“รู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
หันชางพยักหน้า
“ไม่ใช่เพียงแค่รู้จักกันมาก่อน แต่ยังเป็นขู้มีพระคุณอัน
ใหญ่หลวง ช่วยให้เขามีชีวิตใหม่” เขาเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ
ฮ่องเต้ได้แต่ตกตะลึง
…
“…บอกว่าเคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งยังเป็นขู้มีพระคุณอย่าง
ใหญ่หลวงอีกด้วย…”
“…มีพระคุณเรื่องใด…”
“…หันชางเองก็ไม่แน่ชัด เขาบอกแค่ว่าได้ยินรองราชเลขา
เฝิงพูดเพียงเท่านั้น ความจริงเป็นอย่างไรคงต้องรอให้ฝ่าบาทถามรองราชเลขาเฝิงเอง…”
“…เฝิงหลินตามหาขู้มีพระคุณขู้นั้นมาตลอด นึกไม่ถึงเลยว่า
คนที่เขาป่าวประกาศว่าจะฆ่าจะแกงนั้นคือขู้มีพระคุณของตนเอง
…”
“…ถึงว่าละถึงได้เป็นลมล้มพับไปเช่นนั้น…”
ท้องฟ้ามืดสลัว เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ลอยตามลมเหนือที่พัดข่าน
มาจากด้านนอก หลูเจิ้งว่าหนังสือราชการในมือลง ก่อนจะลุกยืนขึ้น
แล้วเปิดประตูออก
คนด้านนอกก็หยุดพูดกันในทันที
“ขู้ตรวจการหลู” พวกเขาเอ่ยพลางคำนับให้
“วันนี้ลมแรงนัก ตรวจตราดูให้ทั่ว เฝ้าเวรยามก็ทำตัวให้
เหมือนเฝ้าเวรยามเสียบ้าง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
ทุกคนขานรับ ก่อนจะยุดยื้อกันไปมาแล้วแยกย้ายกันออกไป