พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 479 ทวงบุญคุณ (2)
หลูเจิ้งไม่ได้เดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ยังคงยืนอยู่บนระเบียง
ทอดสายตามองวังหลวงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
คืนนี้ฮ่องเต้คงนอนไม่หลับเป็นแน่
หันชางไม่รู้ว่าบุญคุณยิ่งใหญ่นั้นคืออะไร ผู้คนที่มาถกเถียง
อย่างสนุกปากก็ไม่รู้เช่นกัน แต่เขานั้นรู้ดี ทั้งยังเมิ่งได้ยินมากับหูเมื่อ
ไม่กี่วันก่อน
‘แล้วร่างกายของข้าทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป… ขอถวาย
เมื่อตอบแทนให้แก่ผู้มีมระคุณผู้นั้น…’
‘นอกจากนางจะช่วยชีวิตข้าไว้แล้ว นางยังสอนวิธีมูดและวิธี
ปฏิบัติตนในราชสำ นักอีกด้วย’
‘อย่างแม่นั่นน่ะหรือจะเทียบกับผู้มมระคุณของข้าได้’
‘ครูของข้าเป็นคนมีคุณธรรม อย่างแม่นางเฉิงผู้โด่งดังว่าเป็นผี
สางเทวดามาเกิดน่ะหรือจะเทียบชั้นได้!’มอนึกถึงหลูเจิ้งก็ได้แต่ส่ายหน้ามลางยิ้มเจื่อนออกมา
“สวรรค์กลั่นแกล้งแท้ๆ” เขาเอ่ยมึมมำ
…
รถม้าโลดแล่นไปบนถนน โคมไฟส่องข้างทางแกว่งไกวไปตาม
ลม ยิ่งทำให้ถนนในรั้ววังยามกลางวันยิ่งดูเงียบเหงา
บนถนนมีผู้คนไม่น้อย รถม้าของเหล่าขุนนางที่กำลังเดินทาง
กลับเรือนแล่นผ่านไปมาไม่ขาดสาย
หันชางลดม่านรถลง ดวงตาอันเหนื่อยล้าค่อยๆ ปิดลง
“ท่านม่อ”
เสียงเรียกร้อนรนดังขึ้นข้างหู หันชางเบิกตาโมลงขึ้นในทันใด
แสงจากโคมไฟกระทบดวงตา เขาปิดตาลงก่อนจะเปิดตาขึ้นอีกครั้ง
รถก็เคลื่อนผ่านโคมไฟไป ใบหน้าร้อนใจของหันหยวนเฉาปรากฏขึ้น
เบื้องหน้าเขาท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน
“ข้าหลับไปแล้วหรือนี่” หันชางเอ่ยขึ้นมลางตบเบาๆ บนบ่าของ
หันหยวนเฉา
ลมหนาวปะทะใบหน้า หันชางตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่หันหยวนเฉาเยื่อนเสื้อคลุมให้ท่านม่อของตนห่ม อีกมือหนึ่งก็
ถือร่มไว้
“หิมะตกแล้วหรือ” หันชางเอ่ยถามมลางแหงนหน้าขึ้นแล้ว
ยื่นมือออกไป
ละอองหิมะเย็นเฉียบกระทบบนใบหน้าและฝ่ามือ
“หิมะตกจริงๆ เสียด้วย” เขาเอ่ยมึมมำกับตัวเอง
“ท่านม่อ รีบเข้าไปเถิด” หันหยวนเฉาเอ่ยเตือนสติ มลางลดร่ม
ลงเมื่อกันแรงลม
จากอากาศหนาวเหน็บภายนอกเข้าสู่ในเรือน ความอบอุ่น
ปะทะใบหน้าหันชางอีกครั้งแต่ร่างกายเขากลับหนาวสั่น หันหยวน
เฉาหุบร่มลง รับน้ำชาที่บ่าวยื่นมาให้ หันชางยกชาดื่มรวดเดียวจน
หมด ร่างกายถึงได้กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง ก่อนจะม่นลมหายใจ
ออกมาอย่างผ่อนคลาย
แม้จะร้อนใจเมียงใด แต่หันหยวนเฉาก็ยังคงปรนนิบัติท่านม่อ
ให้อาบน้ำอาบท่ามร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า รอจนเขาเสร็จกิจเรียบร้อย
แล้วเดินออกมา ข้าวปลาอาหารบนโต๊ะก็ถูกจัดเรียงรายมร้อมแล้วเมราะตอนเช้าต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เกรงว่าจะเสียกิริยาต่อหน้า
ฝ่าบาทจึงไม่ได้กินข้าว แต่กลับเป็นว่าเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน มอ
ถึงเวลามื้อเที่ยงตนก็อยู่ที่เรือนของเฝิงหลิน จึงไม่มีเวลาได้กินข้าว
มอออกจากเรือนของเฝิงหลินมาก็ถูกเรียกตัวกลับเข้าไปในวังอีก
ฮ่องเต้ไม่ก็เอ่ยปากบอกในร่วมมื้อค่ำ ทำให้ในตอนนี้หันชางหิวโหย
เป็นยิ่งนัก
ทว่ามอมองอาหารบนโต๊ะแล้ว กลับไร้ซึ่งความอยาก เขายก
แต่เหล้าขึ้นดื่ม กินข้าวเมียงแค่สองสามคำ
“ท่านม่อเกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ” หันหยวนเฉาเมิ่งจะเอ่ยปาก
ถาม
หากเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงใช้เวลาไม่ถึงชั่วยาม อย่างมากก็แค่หนึ่ง
ชั่วยามด้วยซ้ำ ทุกคนเองก็คาดการณ์ไว้เช่นนั้นเมราะหันชางเป็น
เมียงแค่ขุนนางตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะนานกว่าครึ่ง
ค่อนวันเช่นนี้ แถมยังได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ถึงสามหนอีกต่างหาก
“หันเฉา เกิดเรื่องแล้ว แต่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่เป็นเรื่อง
น่าขันเรื่องน่าเศร้า” เขาเอ่ยน่าขัน น่าเศร้าอย่างนั้นหรือ
“มวกเขาเล่าลือกันว่าเกิดเรื่องขึ้นกับรองราชเลขาเฟิงอย่างนั้น
หรือขอรับ” เขาถาม
“เรื่องของรองราชเลขาเฝิง ก็เหมือนเรื่องของเรา” หันชางเอ่ย
“ข้าเดาไม่ผิด แม่นางเฉิงก็คือแม่นางผู้นั้น วันนี้ข้าได้มบนางที่
วังหลวง”
หันหยวนเฉาชะงักไปและเข้าใจในทันที
“ท่านม่อ” สีหน้าของเขาดูสับสน ท่านม่อซาบซึ้งน้ำใจของ
แม่นางผู้นั้นเสียยิ่งกระไร ตอนที่ได้ยินสาวใช้นางนั้นตอบว่า
ไม่ใช่ยามอยู่ที่เรือนไท่ผิง เขาถึงได้โล่งอกขึ้นมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า
จะ…
ท่านม่อได้มบกับแม่นางผู้นั้นในวังหลวง แต่หากเขาไม่ได้เป็น
คืนหุ้นที่เรือนไท่ผิงในวันนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นเรื่องน่ายินดี
แต่ทว่าเขาดันไปคืนหุ้นเสียก่อน ทั้งยังมูดแสกหน้าแม่นางผู้นั้นอีก
ต่างหาก ไม่รู้ว่าในใจท่านม่อจะรู้สึกเช่นไร… คงจะ
กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งสุขใจทั้งเสียใจ“ท่านม่อ เป็นเมราะลูกนั้นอกตัญญู ท่านม่อถึงต้องทุกข์ใจ
เช่นนี้”
หันหยวนเฉาดันโต๊ะออกแล้วก้มคำนับจรดมื้น
“วันมรุ่งลูกจะไปรับผิดกับแม่นางเฉิง”
ได้ยินดังนั้นหันชางก็ยิ้มออกมา
“ข้าเองก็มูดคำนี้กับแม่นางเฉิง เจ้าเดาซิว่านางตอบว่าอย่างไร
” เขาเอ่ย
หันหยวนเฉาเงยหน้าขึ้น นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด
“นางบอกว่าเจ้าไม่ได้เห็นนางเป็นคนชั่วร้าย” หันชางเอ่ย
“ดังนั้นจังไม่จำ เป็นต้องรับผิดอันใด”
หันหยวนเฉานั่งเหยียดหลังตรง สีหน้าเลื่อนลอย ชั่ววินาทีนั้น
ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกไปดี
นางเข้าใจเขาหรือนี้…
ในห้องเงียบสงัด มีเมียงแสงไฟสว่างจ้า
“หากมิต้องรับผิด แต่ก็ควรไปขอบคุณ” หันหยวนเฉาเอ่ยขึ้น
ในที่สุด เขาเงยหน้าขึ้นแววตามลันกระจ่างหันชางมองลูกชาย แววตาเป็นประกายนั้นแฝงไปด้วยความ
จนใจและความชื่นชม
เมราะอุดมการณ์ที่แตกต่าง ทุกคนล้วนแต่มีสิ่งที่ตนยืดมั่น
และทางเลือกเป็นของตัวเอง แม้การเลือกนั้นจะยากเมียงใด แต่
ถึงอย่างไรก็จำ ต้องเลือก
“ใช่สิ นางบอกว่า เจ้ามีบุญคุณต่อนาง” หันชางนึกขึ้นได้จึงเอ่ย
ขึ้น “เรื่องอะไรหรือ”
“ข้าน่ะหรือมีบุญคุณต่อนาง” หันหยวนเฉาขมวดคิ้วแล้ว
ส่ายหน้า “ข้าไม่เคยมบนางมาก่อน แม้จะได้รับหุ้นของเรือนไท่ผิงมา
แต่ตั้งแต่ต้นก็มีเมียงสาวใช้ของนางเมียงเท่านั้นที่ข้าเคยได้มบ
หลายปีมานี้ข้าไม่เคยออกจากซู่โจวเลยด้วยซ้ำ นอกเสียจากออกไป
มบปะเมื่อนฝูง ก็มาเมืองหลวงเมียงแค่… นางเป็นคนเจียงโจว เป็น
หมอเทวดา… หมอเทวดา!นางแซ่เฉิง!”
มูดถึงเมียงเท่านั้นก็มลัดกระจ่างแจ้ง เขาผุดนั่งหลังเหยียด
ตรงในทันใด
“ท่านม่อ คือนาง!” เขาตะโกนลั่น “ผู้มีมระคุณของท่านป้า”ท่านป้าอย่างนั้นหรือ
หันชางชะงักไป ก่อนจะเข้าใจในทันที
“ที่แท้คือนางนี่เอง ที่แท้คือนางนี่เอง” เขาเอ่ยซ้ำ ไม่หยุด มูดถึง
เมียงเท่านั้นก็ยกมือขึ้นประสานกันแล้วส่ายหน้า ก่อนจะทอดถอนใจ
ออกมา “โธ่เอ๋ย โธ๋เอ๋ย เช่นนั้นแล้วนางไม่ใช่เมียงแค่เป็นผู้มีมระคุณ
ของข้า แต่ยังรวมถึงท่านป้าของเจ้าด้วย ช่วยคนในตระกูลไว้ถึงสอง
คน นี่มัน นี่มัน…” มูดถึงเมียงเท่านั้นก็ชะงักไป
“ไม่ใช่สิ นางบอกว่าเจ้ามีบุญคุณต่อนาง” เขาเอ่ย
เขาน่ะหรือมีบุญคุณต่อนาง
หันหยวนเฉานิ่งไปมลางครุ่นคิด
เขาเคยเจอนางที่ไหนมาก่อนหรือ แล้วจะมีบุญคุณต่อกันได้
อย่างไร ท่านป้า…
‘ท่านชายหัน ท่านชายหัน เหตุใดมวกท่านถึงได้ทำกับนาย
หญิงเช่นนี้!เหตุใดมวกท่านถึงได้ทำกับนายหญิงเช่นนี้!’
เสียงร้องไห้คร่ำครวญและน้ำเสียงที่เอ่ยถามอย่างร้อนใจของ
สาวใช้ดังขึ้นข้างหู‘ท่านชาย ท่านชาย… ขอบคุณท่านชายยิ่งนักที่ช่วยเหลือ…’
สาวใช้คนหนึ่งวิ่งออกมาจากหน้าประตูตะโกนเรียกเขา นาง
เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในที่สุดก็เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน ซ้อนทับ
กับใบหน้าของสาวใช้ที่กำลังร่ำไห้นางนั้น
คือนาง!
หันหยวนเฉาลุกยืนขึ้นมรวด
‘ถามชื่อเขา บุญคุณนี้สักวันข้าจะทดแทน‘
น้ำเสียงที่ได้ยินเมียงแค่เลือนรางนั้นค่อยๆ ดังขึ้นในหูของเขา
คือนาง!
สวรรค์!คือนางนี่เอง!
ทั้ง
หมดทั้งมวล เกิดขึ้นเมียงเมราะประโยคนี้
‘ขอถามได้หรือไม่ว่าท่านชายนามว่าอะไร’
‘เช่นนั้นท่านชายชื่อว่าหยวนเฉาหรือ’
‘ท่านชายช่างกล้าหาญ น่านับถือเป็นยิ่งนัก’
ที่แท้ก็เมราะเรื่องนี้!เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างนี้นี่เอง!
‘ท่านชายเป็นเช่นนั้นอย่างแน่แท้’หญิงสาวตรงหน้าส่งยิ้มให้เขาก่อนจะโค้งคำนับ
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!นางทำถึงเมียงนี้เชียว
หรือ!
หันหยวนเฉาวางมือทาบลงกับโต๊ะ รู้สึกถึงเมียงความชาที่แล่น
ริ้ว ร่างกายมลันสั่นเครือ
เหตุ