พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 480 กลั่นแกล้ง
เรือนของรองราชเลขาธิการเฝิงหลินที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่
นั้น
อยู่ในตรอกเหรินหมิง ลัดเลาะออกไปเพียงสองตรอกก็จะพบกับ
ความคึกคักบริเวณหัวสะพาน แต่ก็เป็นย่านที่เงียบสงบที่สุดแห่งหนึ่ง
ในเมืองหลวง ยามนี้ละอองหิมะที่ลมเหนือเคยพัดพามากลายเป็น
กลุ่มก้อนลอยละล่อง
เฝิงหลินเข้ามาเมืองหลวงมาพร้อมกับบ่าวอีกสองและ
เสื่อผืนหมอนใบ ในค่ำคืนยามฤดูหนาวเช่นนี้ เรือนหลังใหญ่มีเพียง
ตะเกียงหนึ่งดวงส่องสว่าง บรรยากาศช่างดูเงียบเหงานัก
ประตูถูกเปิดออก ลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้เปลวไฟไหววูบจน
อ่อนแสงลง ประตูที่เปิดจึงถูกปิดลงในทันใด
“นายท่าน กินยาเถิดขอรับ” บ่าวเอ่ยเสียงแผ่วเบา มองดู
เฝิงหลินที่นอนหันหน้าเข้ากำแพงบนเตียง
“ไม่ต้องกินหรอก” เสียงของเฝิงหลินดังขึ้นบ่าวหนุ่มขมวดคิ้วทำท่าจะร้องไห้
“นายท่าน” เขาเอ่ยเรียกอย่างหวั่นใจ
“ข้าไม่เป็นอะไร อย่าได้กังวล” เฝิงหลินเอ่ย
บ่าวหนุ่มรู้ดีว่านายของตนนั้นอารมณ์ฉุนเฉียว ได้ยินเช่นนั้น
แล้วจึงไม่กล้าเอ่ยมากความ ทำได้เพียงนั่งเช็ดน้ำตา
เขาหันหน้าเข้ากำแพง มองดูเงาสะท้อนจางเปลวไฟ สติของ
เฝิงหลินเลื่อนลอยขึ้นมาอีกครั้ง
คือนางหรอกหรือ คือนางหรอกหรือ
กลายเป็นนางได้อย่างไร
เสียงประกายไฟของเทียนดังขึ้น ร่างของเฝิงหลินกระตุกสั่น
รู้สึกเพียงความร้อนวูบวาบบนใบหน้า ราวกับถูกคนตบเข้าที่บ้องหู
อย่างแรง
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
หญิงที่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า ว่ากันตามตรงแล้ว หากคนที่
ช่วยเหลือใต้เท้าไม่ใช่ข้า คนที่ใต้เท้าควรขอบคุณก็ไม่ใช่ข้า เหตุใดถึงเป็นคนเดียวกันกับหญิงที่อ้างผีสางเทวดา ปลุกปั่นชาวเมือง
บีบบังคับฮ่องเต้และราชสำ นักผู้นั้น
คนสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหตุใดถึงกลับ
กลายเป็นคนเดียวกันไปได้
เหตุใดนางถึงเปลี่ยนไป เหตุใดนางถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
เปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ
เขาไม่ได้รู้จักนางตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับที่เขารู้จัก
หันชาง เคยพบหน้ากันเพียงแค่หนหนึ่งเท่านั้น
เฝิงหลินลุกขึ้นนั่งในทันใด บ่าวหนุ่มที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ด้านข้าง
สะดุ้งตกใจ
“นายท่าน” เขาเอ่ยเรียกในทันใด
เฝิงหลินก้าวลงจากเตียงแล้วเดินเท้าเปล่าออกไป
“เตรียมรถ เตรียมรถ” เขาพูดซ้ำ ไม่หยุด
บ่าวหนุ่มตกใจจนหน้าซีดเผือด ก่อนจะเข้าไปรั้งเขาไว้
“นายท่าน นายท่านจะทำอันใดขอรับ”
“ข้าจะไปหานาง ข้าจะไปถามนาง” เฝิงหลินเอ่ย“นายท่าน นายท่าน ยามนี้ดึกแล้วนะขอรับ ดึกดื่นปานนี้ ทั้งยัง
หิมะตก…” บ่าวหนุ่มร้องตะโกน
เฝิงหลินเดินไปถึงประตูทั้งยังเปิดมันออก ลมหนาวและละออง
หิมะปะทะเข้ากับใบหน้า เฝิงหลินหยุดฝีเท้าลง บ่าวอีกคนที่ได้ยิน
เสียงก็รีบวิ่งตาม สองคนขนาบซ้ายขวารั้งตัวเขาไว้
“นายท่าน ดึกแล้วนะขอรับ จะไปหาคนอื่นดึกดื่นเช่นนี้ได้
อย่างไร” พวกเขาเอ่ยโน้มน้าว
นั่นสิ ดึกป่านนี้ไปพบหญิงสาวคงไม่เหมาะสมอย่างที่ว่าจริงๆ
เฝิงหลินยืนนิ่งไม่ขยับไหว ปล่อยให้สายลมและหิมะกระทบกับ
ใบหน้า
“นายท่าน ท่านพักผ่อนก่อนเถิดขอรับ รอพรุ่งนี้เช้าพวกเรา
ค่อยไปกัน” เหล่าบ่าวพยามยามรั้งเขาไว้
เฝิงหลินพยักหน้า
“ได้” เขาเอ่ย
บ่าวทั้งสองพยุงร่างของเขาเข้ามาอย่างระมัดระวัง ก่อน
จะปิดประตูลงเรือนตระกูลเฝิงในคืนหิมะตกกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ทว่า
เรือนของใครคนหนึ่งกลับจุดไฟสว่างไสว มีแขกมาเยือน
ไม่หยุดหย่อน
ประตูห้องถูกเปิดออกดังออกดังปัง ชายคนหนึ่งฝ่าลมหนาว
เดินเข้ามาในห้อง
สี่ห้าคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ภายในห้องหันไปมองเขาขณะนั่ง
หลังเหยียดตรง
“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“สืบได้ความมาแล้วขอรับ เหตุไฟไหม้ศาลาพักม้าเมื่อ
สามปีก่อน แม่นางเฉิงที่กำลังเดินทางจากเมืองหลวงกลับเจียงโจวก็
พักอยู่ที่นั่น คนร้ายวางเพลิง พวกเขาฆ่าคนร้ายตายคาที่ ทั้งยังช่วย
ดับเพลิง ดังนั้นจึงได้เป็นผู้มีพระคุณของเฝิงหลิน” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น
คนทั้งห้องเข้าใจทันในทันใดก่อนจะพากันเหลียวไปมองเกาห
ลิงปอ
“เช่นนั้นคงเป็นเพราะสวรรค์ช่วยไว้แท้ๆ” เกาหลิงปอในชุดอยู่
บ้านเอ่ยเสียงเนิบ สีหน้าราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “เหตุใดถึงได้บังเอิญเช่นนี้”
เหล่าข้าหลวงหันมาสบตาด้วยความเหลือเชื่อ
“นั่นสินะ เหตุใดถึงได้บังเอิญเช่นนี้” พวกเขาเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าไปจุดธูปที่วัดผู่ซิวแล้วหรือ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นน้ำเสียง
จริงจัง
“ข้าไม่ได้ไปจุดธูปขอพรหรอก เพียงแต่ตอนข้ามสะพานจี้หมิน
ข้าโยนหัวเป็ดผัดพริกที่กินไม่หมดให้ขอทานคนหนึ่ง” อีกคนหนึ่งก็
ตอบน้ำเสียงจริงจัง “คงได้บุญอยู่บ้างกระมัง”
คนในห้องหันมาสบตากันอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะขึ้น
มาพร้อมกัน ราวกับเสียงหัวเราะนั้นสั่นสะเทือนไปถึงหลังคาเรือน
จนหิมะที่โปรยปรายลงมาบนระเบียงเปลี่ยนทิศทาง
เกาหลิงปอตบโต๊ะหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะในห้องดังก้องไปทั้ง
หู
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เดิมทีคิดว่าคราวนี้จะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว
กลับกลายเป็นว่าสำ เร็จเสียอย่างนั้น คิดไม่ถึงเลยจริงๆ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ สวรรค์ช่วยไว้แท้ๆ พริบตาเดียวสองคนนั่นก็จะต้องไสหัวออก
ไปแล้ว”
“คนลิขิตหรือจะสู้ฟ้าลิขิต”
อีกฟากหนึ่ง ใบหน้าของเฉินเซ่าและนายใหญ่เฉินดูสับสนเป็น
ยิ่งนัก สองพ่อลูกสบตากัน ก่อนจะโบกมือให้ผู้ติดตามออกจากห้อง
ไป
“เหตุการณ์ครั้งนั้น คือนางจริงๆ หรือนี่” นายใหญ่เฉินเอ่ย
พลางมองไปยังฉากกั้นลมด้านหลังตน
บนนั้นมีหมึกแต้มเป็นจุดกลมประปราย
“บอกว่ามีคนผ่านทางมาพบเห็นความอยุติธรรมจึงได้ชักดาบ
ออกมาช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ”
“ตอนนั้นแม่นางเฉิงจากไปได้กี่วันแล้ว”
“…นางน่าจะไปถึงที่นั่นสิบวันก่อนที่คาดการณ์ระยะทางไว้…”
สาส์นที่เฝิงหลินเขียนรายงานมาอย่างละเอียดบอกไว้เช่นนั้น ผู้
ที่ผ่านทางมาแล้วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมีกันประมาณยี่สิบคน
มาจากเมืองหลวง เดินทางไปส่งหญิงสาวผู้หนึ่งหญิงสาว!
คนที่ฆ่าคนตายคาที่ถึงสองคน…
คงไม่ใช่เด็กบ้าแห่งเจียงโจวอีกกระมัง
“ถึงเจ้าจะไม่เชื่อ แต่ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นนาง” นายใหญ่เฉิน
เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉินเซ่าส่ายหน้า
“สวรรค์กลั่นแกล้ง…แท้ๆ” เขาเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นมองฉาก
กั้น
ลม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงวุ่นวายไม่น้อย”
นายใหญ่เฉินจ้องมองเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เตาผิงในห้องแผ่ความอบอุ่น ทว่าบรรยากาศกลับหนาวเหน็บ
ราวกับนอกห้องที่มีโปรยปรายอยู่เต็มพื้น
“คราวนี้ เฝิงหลินบีบตัวเองให้จนตรอกเองแท้ๆ ”
“หากยามนี้ เขาไม่ยอมฟ้องร้องต่อ ก็จะถูกครหาว่าไม่
จงรักภักดี ละทิ้งคุณธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนตน เหล่าขุนนาง
ผู้ตรวจการคนอื่นคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่”“หากเขาฟ้องร้องต่อ จนแม่นางเฉิงถูกนรเทศออกไปอย่างที่
เขาปรารถนา วันหน้าเขาก็ต้องแบกรับคำตราหน้าว่าเป็นคนเนรคุณ
”
“คนเรานั้นยากจะจงรักภักดีและแทนคุณไปพร้อมกัน หาก
ภักดีแล้ว ย่อมไม่อาจแทนคุณ แต่เพื่อแทนคุณแล้ว ย่อมไม่อาจภักดี
ได้ แต่คราวนี้เฝิงหลินไม่อาจทั้งภักดีทั้งยังไม่อาจแทนคุณได้ ไม่ว่า
เลือกทางใด สุดท้ายก็ผิดทั้งนั้น”
“ฮ่องเต้สติปัญญาเฉียบแหลม หนามที่ยอกอกอยู่ยามนี้ คง
ได้เวลาบ่งออกมาแล้ว”
เฉินเซ่าพยักหน้า สีหน้าหม่นหมอง
“แต่เขาจะไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้” เขาเอ่ย “หากเฝิงหลินยัง
ยืนหยัดว่าจะฟ้องร้องนางต่อไป ทั้งสองก็คนต้องถูกขับไล่ออกไป
จากเมืองหลวงพร้อมชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่หากเฝิงหลินไม่ฟ้อง รับผิด
เองแล้วออกจากเมืองหลวงไป แต่สุดท้ายเรื่องราวก็ไม่ได้บทสรุป
ชื่อเสียงของแม่นางเฉิงก็ย่อมด่างพร้อยเพราะเหตุนี้ สุดท้ายแล้วก็คง
ถูกผู้อื่นหยิบขึ้นมาเล่นงานอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”พูดถึงเพียงเท่านั้นเขาก็กระแทกถ้วยชาในลงมือวางลง
“คนลิขิตหรือจะสู้ฟ้าลิขิต”
แสงไฟในห้องยังไม่ดับลง เงาสะท้อนวูบไหวพร้อมกับหิมะที่
เต้นระบำอยู่ด้านนอก
หิมะที่ตกทั้งคืนหยุดลง กองพะเนินอยู่ทั่วทั้งลานบ้าน ยิ่งทำให้
แสงย่ำรุ่งสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
นายใหญ่จางเปิดประตูออกพลางสูดลมหนาวเย็นเข้าไป บ่าว
เฒ่าผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนตรงหน้า นายใหญ่จางแทบะจะสำ ลักไอเย็น
ออกมา
“ว่านผิง ทำอะไรของเจ้า” เขาเท้าสะเอวเอ่ย
“นายท่าน รู้เรื่องของเฝิงแล้วหรือยังขอรับ” บ่าวชราถาม
“เมื่อคืนก็บอกแล้วมิใช่หรือ” นายใหญ่จางเอ่ยอย่างไม่แยแส
“มีเรื่องอีกเล่า”
พูดจบก็ไม่รอให้บ่าวเฒ่าพูดต่อ ก่อนจะนึกอะไรออกยางอย่าง
“ใช่ ใช่ ใช่” เขาเอ่ยพลางหันหลังกลับไป “ลืมแต้มไปอีกจุด
นางเคยช่วยเฝิงหลินไว้อีกคน”บ่าวเฒ่าทอดถอนใจก่อนจะเดินตามเข้าไป
“นายท่าน แต่เฝิงหลินที่นางเคยช่วยเหลือกำลังจะทำร้าย
พวกเขาทั้งสองคนนะขอรับ” เขาเอ่ยขึ้นในทันใด
“จะเป็นไปได้อย่างไร” นางใหญ่จางเอ่ยพลางหัวเราะ สีหน้า
เรียบเฉยพลางหยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา
“เป็นไปได้อย่างไรน่ะหรือ ตอนนี้เฝิงหลินผู้นั่นกำลังไล่ต้อนทั้ง
ตัวเองและนางจนไร้หนทาง ยังไม่พูดถึงเรื่องทดแทนบุญคุณ ตัวเอง
จะมีชีวิตรอดได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้” บ่าวเฒ่าเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้า
เฝิงหลินนั่นก็กระจอกนัก พอเห็นหน้าแม่นางเฉิงก็หมดสติไปเสีย
อย่างนั้น จะปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่”
“ไม่ได้ว่าร้ายผู้ใดเสียหน่อยเหตุใดจะพูดไม่ได้ เหตุใดต้อง
ปิดบังด้วย” นายใหญ่จางเอ่ยพลางยกพู่กันขึ้นจรดหมึกบนฉากกั้น
ลม ก่อนจะพินิจมองแล้วถอยออกมา
“นายท่าน” บ่าวชราเอ่ย “เรื่องนี้มีแต่เจ็บตัวทั้งสองฝ่าย
แม่นางปั้นฉินของเราร้องไห้จนตาปูดโปนไปหมดแล้ว”“เด็กโง่เอ๋ย” นายใหญ่จางหัวเราะชอบใจ “ถูกนายของตนขาย
มาแล้วตั้งหนหนึ่ง ยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
“นายท่าน” บ่าวเฒ่าเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“เจ็บตัวทั้งสองฝ่ายหรือ” นายใหญ่จางเอ่ยขึ้นพลางวางพู่
กันลงแล้วรวบแขนเสื้อขึ้น “ตั้งแต่แม่นางน้อยเล่นงานข้าคราวนั้น ข้า
ก็ไม่เชื่ออีกต่อไปว่านางจะยอมให้เจ็บตัวทั้งสองฝ่าย”
“นายท่าน ท่านนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง ยังจำ เรื่องนั้นได้อยู่
หรือขอรับ” บ่าวเฒ่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ไม่ใช่เจ้าคิดเจ้าแค้น เช่นนี้เรียกว่าไม่ลืมอดีต ยกให้เป็นครู
ในวันหน้า” นายใหญ่จางเอ่ยพลางโบกมือ
“นายท่าน เรื่องนั้นเล็กน้อยนัก เทียบกับเรื่องตอนนี้ได้หรือ”
บ่าวเฒ่าเอ่ยอย่างร้อนรน
“ย่อมได้อยู่แล้ว” นายใหญ่จางยิ้มเอ่ยพลางมองไปที่เข้า
“เหมือนกันทั้งนั้น”
เหมือนกันทั้งนั้นอย่างนั้นหรือพ่อของเด็กบ้าคนหนึ่งจะขายคนใช้ของเด็กบ้าให้คนอื่น
จะเหมือนกับรองราชเลขาที่กล่าวโทษหญิงผู้โด่งดังได้อย่างไร
เหมือนกันตรงไหน
“ล้วนแต่เป็นคนไร้หัวใจ จึงทำเรื่องไร้ความปราณีเช่นนี้ได้
ไม่เหมือนกันตรงไหน” นายใหญ่จางเอ่ย
เสียงฝีเท้าวิ่งตึงตังของบ่าวหนุ่มดังขึ้นมาจากนอกประตู
“ท่านลุงว่านผิง รองราชเลขาเฝิงมาถึงหน้าประตูเรือนแม่นาง
เฉิงแล้ว” เขาชะโงกหน้าเข้ามาแล้วร้องตะโกน
ไปหานางอย่างที่คิดไว้จริงๆ!
เขาจะเลือกหนทางใดกันนะ แม้ไม่ว่าจะเลือกทางใดผลสุดท้าย
ก็เลวร้ายทั้งนั้น เพียงแค่คนที่ต้องรับเคราะห์ก่อนหลังสลับกัน
ยามนี้เหล่าคนที่รู้ข่าวก็เริ่มคาดเดาอยู่ในใจ ทั้งยังใจจดใจจ่อ
รอคำตอบ
เฝิงหลินลงจากม้า แหงนหน้ามองเรือนตรงหน้า
หิมะหน้าประตูถูกปัดกวาดจนสะอาดเอี่ยม ทั้งยังมีคน
มากมายทยอยเดินกันเข้ามาคนเหล่านี้มิใช่พวกสอดรู้สอดรู้เห็นที่จ้องมองเขาอยู่ตลอดทาง
เฝิงหลินรู้ดีว่าคนเหล่านี้คงเป็นคนที่มาฝึกคัดอักษรกับแม่นางกระมัง
เขาสูดหายใจลึก ยกมือส่งสัญญาณ
“นายท่าน…” บ่าวหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “อย่าไปเลย
ขอรับ ท่านยังป่วยอยู่ พักฟื้นก่อนสักหน่อยเถิด”
พักฟื้นคือข้ออ้างชั้นดี เพราะกว่าจะหายป่วยคงอีกนาน พอ
เวลาผ่านไป เรื่องใหญ่ก็จะได้กลายเป็นเรื่องเล็ก อย่างมากก็คงถูก
คนหัวเราะเยาะ แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าอ้าแขนรอให้มีดเข้ามาแทงตัว
ไม่ใช่หรือ
เวลานั้นเป็นคือของล้ำค่า สามารถบรรเทาได้ทุกสิ่ง
เฝิงหลินถลึงตาใส่เขา
“เพื่อแผ่นดินแล้วข้าไม่เคยกลัวตาย เฝิงหลินผู้นี้ไม่เคยหัวหด”
เขาเอ่ย
บ่าวหนุ่มก้มหน้าลงอย่างจนใจก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วเคาะ
ประตูเสียงขานรับดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก คนผู้หนึ่งเดินออกมา
ห้องพลางจ้องมองเขาหัวจรดเท้า
เฝิงหลินก้าวเข้าไปใกล้ สองมือยื่นจดหมายเยือน[1]ให้
“เฝิงหลินคารวะแม่นางเฉิง”
[1]จดหมายเยือน หรือไป้เทีย (拜帖) เป็นจดหมายที่ผู้มาเยือน
มอบให้แก่เจ้าบ้านเพื่อแสดงความเคารพ