พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 481 ถามใจ
เฝิงหลินยืนอยู่ด้านนอกไม่นาน ครู่เดียวเขาก็เข้ามาข้างในแล้ว
ประตูที่ติดถนนถูกปิดไว้ทั้งสี่ด้านบดบังสายตาของผู้คน ทว่าฝูงชน
กลับมากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องเมื่อวานที่เฝิงหลินเจอแม่นางเฉิงเป็นลมอยู่หน้าประตูวัง
ได้ถูกเหล่าขุนนางนินทากันจนไปถึงหูหมู่ชาวเมืองแล้ว อีกทั้งเรื่อง
เช่นนี้แพร่สะพัดได้ไวเสียยิ่งกว่าภายในหมู่ขุนนางเสียอีก
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าผีมันกลัวเทพ”
“ปีนั้นพวกอันธพาลไปก่อเรื่องก่อราวที่เรือนไท่ผิง
พระโพธิสัตว์กระทืบเข้าให้ ตายคาที่ทั้งห้าคน”
“ผู้พิพากษาเฝิงมาเพื่อยอมรับผิดและขอโทษกระมัง”
ฝูงชนรอบด้านได้ฟังก็หัวเราะพูดคุยกัน บัณฑิตหลายคนที่
คลุมเสื้อกันลมหอบพู่กัน หมึก กระดาษมารอเรียนเขียนอักษรต่าง
มีสีหน้าดูไม่สบอารมณ์นัก“ต่อให้ขุนน้ำขุนนางมีความผิดก็เป็นฮ่องเต้ที่ทรงตัดสิน
มีอย่างที่ไหนมายอมรับผิดและขอโทษต่อเจ้าของเรื่องที่แจ้งเบาะแส
ตามข่าวลือกัน” มีคนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เช่นนี้ถูกต้องแล้วหรือ”
“ความจริงแล้วมิใช่หรอก” ด้านข้างมีคนได้ยินก็ทนไม่ไหวตั้ง
ใจอวดภูมิให้แก่บัณฑิตผู้มีความสามารถเหล่านี้เสียหน่อย จึงเอ่ย
อย่างลำพองใจไม่น้อย
เหล่าบัณฑิคจึงพากันหันมามอง
“ข้าได้ยินคนว่ากันว่าแม่นางเฉิงคนนี้เป็นผู้มีพระคุณต่อ
เฝิงหลิน” คนนั้นรีบเอ่ยขึ้น
เหล่าบัณฑิตสบตากันด้วยความตกใจ
“เช่นนั้นเฝิงหลินผู้นี้ที่แท้ก็เป็นคนที่ยึดมั่นคุณธรรมจนสะบั้น
มิตรนี่เอง” มีคนเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้า
“นั่นมันก็ไม่แน่” อีกคนเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “อาจจะเป็นคนที่
ใช้วิธีการไม่ชอบธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศก็ได้”
“ไม่ว่าจะเป็นคนที่ยึดมั่นคุณธรรมจนสะบั้นมิตร หรือคนที่
ใช้วิธีการไม่ชอบธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ รอดูเดี๋ยวก็ได้รู้แล้ว” มีคนเอ่ยขึ้น “แต่ข้าอยากรู้ว่าวันนี้แม่นางเฉิงผู้นี้
จะออกมาเขียนอักษรหรือไม่มากกว่า”
หลายวันมานี้ตอนที่ได้รู้ว่าถูกเฝิงหลินเล่นงาน แม่นางผู้นี้กลับ
ยังคงมาเขียนอักษรดังเดิมเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นมาก่อน ยาม
นี้เรื่องราวเปลี่ยนไปซับซ้อนยากที่จะแยกแยะได้ชัดเจน ไม่รู้ว่านาง
จะคงเจตนรมณ์เดิมไว้ได้หรือไม่
ฝูงชนมองไปยังหน้าประตูเรือนสกุลเฉิง เห็นว่าประตูใหญ่เปิด
ออกแล้ว ทว่าคนที่เดินออกมากลับไม่ใช่แม่นางเฉิง แต่เป็นบ่าวรับใช้
คนหนึ่ง ซ้ำ ยังไม่พูดอันใด นำกระดาษแผ่นหนึ่งมาติดไว้ข้างประตู
ทันใดนั้นผู้คนพลันกรูกันเข้าไป
เหล่าบัณฑิตย่อมไม่อาจลดตัวไปดูด้วยตัวเอง จึงให้บ่าวรับใช้
เข้าไปดู เพียงไม่นานก็กลับมา
“วันนี้แม่นางเฉิงมีแขก ไม่มาเขียนอักษรแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้
เอ่ยบอก
เหล่าบัณฑิตสบตากันพากันหัวเราะออกมายกใหญ่“ดูท่าแล้วผู้มีพระคุณกับคนมีความแค้นบาดหมางคงพูดคุย
กันอีกนาน” มีคนเอ่ยขึ้น
“ความจริงแล้วมิใช่หรอก” คนก่อนหน้านี้เบียดไปดู
ความคึกคักกลับมาได้ยินเข้าก็รีบเอ่ยขึ้น
เหล่าบัณฑิตมองไปยังเขาอีกครั้งพลางขมวดคิ้ว
“วันนี้ที่เรือนแม่นางเฉิงมีแขกมาสองคนต่างหาก” คนผู้นั้นชูนิ้ว
ขึ้นสองนิ้วโบกไปมาด้วยหน้าตาเบิกบาน “เมื่อครู่ข้าถามบ่าวคนนั้น
มาแล้ว”
แขกสองคนรึ
พอเฝิงหลินก้าวเข้าห้องรับแขกก็ตกตะลึงไป
หันชางกับหันหยวนเฉาที่อยู่ในห้องรับแขกก็ตกใจอย่าง
เห็นได้ชัดเช่นกัน
บรรยากาศภายในห้องชะงักค้างไป
“ใต้เท้าเฝิงโปรดรอสักครู่ นายหญิงข้ากำลังอาบน้ำแต่งตัว อีก
เดี๋ยวก็มาแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยขึ้นเฝิงหลินพยักหน้าก้าวเข้ามาด้านใน มีสาวใช้เข้ามายกชาให้
แล้วออกไปพลางงับประตู ภายในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสามคน
“ท่านรองราชเลขา ท่านดีขึ้นหรือยัง” หันชางเอ่ยขึ้นก่อน
เฝิงหลินมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นับว่าโชคดี ดีขึ้นมากแล้ว” เขาตอบเสียงเย็นชา
หันชางได้ยินประโยคนี้เข้าสีหน้าก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา
เรื่องเมื่อวานว่าไปแล้วก็เหมือนจะโทษเขาอยู่หน่อยๆ หากเขา
ไม่จงใจทำให้เฝิงหลินกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา สุดท้ายการยั่วยุ
นั่นก็คงไม่ถึงขึ้นทำให้เฝิงหลินโมโหจนเลือดขึ้นหน้าเป็นลมไปหรอก
วิธีการเช่นนี้เหมือนคนต่ำทรามไปหน่อยจริงๆ
เฝิงหลินก็มิใช่คนโง่ หลังจากได้สติในใจต้องกระจ่างแจ้ง
แน่นอน
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอันใดขึ้นกับตัวเองในตอนนั้น จึงได้ทำ
เรื่องต่ำทรามเช่นนี้ได้
บางทีอาจเพราะตัวเขาเองมีความเคียดแค้นละอายใจต่อ
ตัวเองสะสมเอาไว้ในใจไร้ซึ่งทางระบายออก พอเฝิงหลินผู้นี้มาแตะโดนเข้า จึงเหมือนกับเขาที่ไม่เพียงไม่อาจตอบแทนต่อผู้มีพระคุณได้
กลับกันยังทำให้อับอายขายหน้าอีก ไฟแค้นในใจเขาจึงระงับเอาไว้
ไม่อยู่อีกต่อไป อาศัยการยั่วยุเฝิงหลินแทนแม่นางผู้นั้นเพื่อระบาย
อารมณ์ คงปลอบประโลมจิตใจตนได้บ้างกระมัง
ในตอนที่เห็นเฝิงหลินสีหน้าแปรเปลี่ยนไป เขาก็สะใจอยู่
ครู่หนึ่ง ทว่าประเดี๋ยวเดียวก็ตกใจจนเหงื่อเย็นผุดซึมทั่วร่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เห็นเฝิงหลินเป็นลมล้มไปกับพื้น เขา
ตกใจจนมึนงงไปหมด
อย่าว่าแต่การปั่นหัวเล่นจะโมโหจนอกแตกตายเลย ทำให้
ขุนนางคนสำ คัญคนหนึ่งเดือดดาลจนล้มป่วย ไม่เพียงแต่เขา
จะจบสิ้นเท่านั้น ยังทำให้แม่นางเฉิงต้องลำบากไปด้วยอีก เรื่องนี้
สำ หรับแม่นางเฉิงแล้ว เป็นเรื่องตนเสียหายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่จริงๆ
โชคดียิ่งที่เฝิงหลินผู้นี้วิ่งเต้นบากบั่นอยู่ข้างนอก ไม่เหมือน
เหล่าขุนนางที่มีชีวิตอยู่ดีกินดีในราชสำ นัก ร่างกายกำยำ ระงับโทสะ
ไปให้หมอหลวงฝังเข็มสองสามเข็มก็คลายลง
คิดมาถึงเรื่องนี้ หันชางก็หยิบชาเบื้องหน้าขึ้นมา นั่งหลังตั้งตรง“ใต้เท้า หันชางขออภัยด้วย” เขาเอ่ยขึ้น ค้อมกายคำนับ
หันหยวนเฉารีบคำนับตามทันที
เฝิงหลินมองเขาแวบหนึ่ง
“มิบังอาจ” เขาเอ่ย “เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า ต้องโทษตัวข้าเอง
เท่านั้น”
หันชางลุกขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วน
“เป็นหันชางที่ปากพล่อย” เขาเอ่ยขึ้น
“ความจริงแล้วหากว่ากันตามตรง คนที่ปากพล่อยไม่ใช่เจ้า
คนที่ควรกล่าวโทษก็ไม่ใช่เจ้า” เฝิงหลินเอ่ยสียงเนิบช้า
ว่าอย่างไรนะ
หันชางกับหันหยวนเฉาเงยหน้าขึ้นมาเขา
“เช่นนั้นเป็นใครเล่า” หันชางโพล่งถามขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
“เป็นตัวข้าเอง” เฝิงหลินเอ่ยบอก
หมายความว่าอย่างไรกัน
เฝิงหลินเห็นสีหน้าของหันชางที่เหมือนอยากจะเอ่ยถาม ก็
ราวกับเห็นตัวเขาเองในตอนนั้นทว่าเขาในยามนี้ได้กระจ่างแจ้งแล้ว
หนทางที่เขาเลือกยามลงจากหลังม้าที่หน้าศาลาพักม้าได้
วันนั้นในกำหนดโชคชะตาในวันหน้าของเขาไว้หมดแล้ว
หากตอนนั้นที่หญิงผู้นั้นไม่ถามยอกย้อน หากตนไม่ตำหนิ
ขุนนางชั้นผู้น้อยไป เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์ทั้งหมด
หลังจากนั้น
โอกาสเป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้ โชคชะตากลับเป็นตัวเรา
กำหนดเอง
ดังนั้นแล้วแม่นางผู้นั้นจึงได้บอกว่าอย่าขอบคุณนาง ให้
ขอบคุณตัวเองเถิด ดังนั้นยามนี้จึงเป็นเช่นนี้ หันชางจงใจโมโหตน ก็
อย่าได้โทษหันชาง ผู้ใดใช้ให้ตนก่อเรื่องจนเป็นขี้ปากชาวบ้านเช่นนี้
เล่า
เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอกประตู ขจัดความเงียบงันของทั้งสาม
ภายในห้องขึ้น ประตูถูกเปิดออก ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา
ทั้ง
สามรีบลุกขึ้น ก็เห็นหญิงผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า สีหน้า
นางเรียบเฉย เมื่อเทียบกันแล้ว กลับเป็นสาวใช้ด้านข้างที่สีหน้าแววตาเดือดดาลจนสังเกตได้
“แม่นางเฉิง” ทั้งสามคำนับพลางเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงคำนับคืน แล้วนั่งลงที่หัวโต๊ะ สาวใช้สองคน
ด้านนอกายกชาเข้ามให้พวกเขาใหม่
“ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามมาหาข้ามีธุระใดหรือ” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ยถามขึ้น
หันชางสบตากันกับเฝิงหลิน ดูท่าแล้วแม่นางผู้นี้ไม่คิด
จะพูดคุยกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวแล้วกระมัง
“ข้ามาขอบคุณแม่นาง แล้วก็รับผิด”
สองคนภายในห้องต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกันแล้วคำนับอีกหน
เฉิงเจียวเหนียงคำนับคืนไม่ได้เอ่ยอันใด
ภายในห้องเงียบงันขึ้นอีกครั้ง หันชางกับเฝิงหลิน แต่ละคนสบ
สายตากันเป็นนัยว่า เชิญเจ้าก่อน
“แม่นางเฉิง”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังใช้สายตาคุยกัน หันหยวนเฉาก็เอ่ยขึ้น
มาก่อนแล้ว“ที่เจ้าบอกว่าข้ามีบุญคุณนั้นข้ารับไว้ไม่ได้”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“ตอนนั้นที่อำเภอถงเจียงเป็นเจ้าที่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อ
ท่านอาข้าก่อน ดังนั้นการกระทำง่ายๆ โดยที่ข้าแทบจะไม่ต้อง
ออกแรงเพื่อช่วยแม่นางขับไล่คนเลวที่ก่อเรื่องก่อราวพวกนั้นไป เป็น
สิ่งที่แม่นางสมควรจะได้รับอยู่แล้ว ข้าไม่กล้าเอามาเป็นบุญคุณ
หรอก” หันหยวนเฉาเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้มพลางส่ายหน้า “เรื่องท่าน
อาของท่านเป็นข้าที่รักษาให้ ข้าเก็บค่ารักษา ดังนั้นจึงหายกันแล้ว”
“เรื่องบุญคุณไหนเลยจะใช้เงินทองมาจบสิ้นกันได้” หันหยวน
เฉาส่ายหน้าเอ่ย
“แน่นอนว่าได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น “ดังนั้นท่านชายหันอย่า
ได้กังวล บุญคุณระหว่างเรา ใช้เงินจบสิ้นมันได้”
คิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ หันหยวนเฉาตกตะลึง
หันชางมองลูกชายแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมาเรื่องที่เกิดขึ้น ณ เรือนไท่ผิงในวันนั้นคงทำให้นางเจ็บปวด
ไม่น้อย มิน่าเล่ายามนี้แม่นางน้อยผู้นี้จึงได้โกรธเคืองนัก
“แม่นาง ล้วนเป็นหันชางสอนลูกไม่ดี” เขาเอ่ยแล้วคำนับอีก
หน
เฉิงเจียวเหนียงมองครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองเฝิงหลิน
“เช่นนั้นท่านเล่า” นางเอ่ยขึ้น “ข้ากับท่านไม่มีบุญคุณต่อกัน
ดังนั้นจึงไม่มีอันใดต้องทดแทน ท่านมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
เฝิงหลินเห็นสองพ่อลูกตระกูลหันที่ถูกเพิกเฉยอยู่อีกฝั่ง ก็
กระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
ดังนั้นแล้วแม่นางน้อยคนนี้กำลังโกรธอยู่ มิฉะนั้นแล้วก็น่าจะ
แยกพบกันกับพวกเขา
“แม่นาง บุญคุณมิใช่เงินทองจะสามารถจบสิ้นกันได้ และไม่ใช่
สิ่งที่ใครจะมาพูดว่ามีก็มี บอกว่าไม่มีก็ไม่มีได้หรอกนะ” เขาเอ่ยบอก
เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้มอีกครั้ง
“เช่นนั้นแล้ว จะพูดหรือไม่พูดก็ไม่เห็นเป็นไร” นางพยักหน้า
เอ่ยขึ้น “คนพูดไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังกลับจดจำ ไว้”“เช่นนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ที่แม่นางทำลงไปนั้นตั้งใจหรือไม่ได้ตั้ง
ใจกัน” เฝิงหลินเอ่ยถาม
“นายหญิงข้าทำการใด ต้องให้ท่านมายุ่งด้วยหรือไร” ปั้นฉิน
ลุกขึ้นมาพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว
เฝิงหลินสีหน้าเศร้าสลด ค้อมกายคำนับ
“เฝิงหลินมีตำแหน่งหน้าที่ปฏิบัติ เรื่องที่แม่นางทำมิใช่
เรื่องส่วนตัวของแม่นางอีกต่อไปแล้ว แต่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของ
แผ่นดิน เฝิงหลินจำ ต้องถาม” เขาเอ่ยอย่างเนิบช้า
หันชางมองเฝิงหลิน หลากหลายความรู้สึกในใจตีกันวุ่น เหล่า
ผู้ตรวจการฟ้องร้องจากข่าวลือโดยไร้หลักฐานทำเสียมีเหตุมีผล
โหดเหี้ยมดั่งหมาป่าดั่งเสือ เอ่ยคำพูดดุจคมมีดทำเป็นแต่ว่าร้าย
คนอื่น รู้จักเอามีดนั้นทิ่มแทงใส่ตัวเองทีละเล่มๆ เช่นนี้เป็นตั้งแต่
เมื่อใดกัน
พูดก็ปวดร้าว ไม่พูดก็ปวดร้าว
เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้ม ยกมือส่งสัญญาณให้ปั้นฉินนั่งลง“ท่านอยากรู้เรื่องนี้เองหรือ” นางเอ่ย แล้วพยักหน้า “ข้าทำ
เรื่องใดล้วนตั้งใจเสมอ”
“จัดงานเซ่นไหว้บนท้องถนนเพื่อะระดมฝูงชนเล่า”
“ตั้งใจ”
“ถวายธนูเสินปี้เพื่อตอบแทนเล่า”
“ตั้งใจ”
“เพลงฉินชำ ระล้างตำหนัก มิได้มีไว้ให้คนฟังเล่า”
“ตั้งใจ”
ถามอย่างยากลำบาก แต่ตอบอย่างเรียบง่าย เพียงไม่กี่คำสั้นๆ
สองพ่อลูกตระกูลหันก็รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องยิ่งหยุดนิ่ง
ราวกับจะขาดอากาศหายใจ
“แม่นางทำเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนตั้งใจและต้องการหรือ”
“มนุษย์ไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนตั้งใจและต้องการกันทั้งสิ้น”
พร้อมกันประโยคคำถามนี้ ภายในห้องก็เงียบงันลง
พริบตาการถามตอบก็จบลง เฝิงหลินกลับรู้สึกเหมือนกำลังถก
ฝีปากในราชสำ นัก เหมือนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของร่างกายไปอย่างไรอย่างนั้น
“แม่นางเฉิง มีความต้องการนั้นมิใช่เรื่องผิด เพียงแต่วิธีการทำ
เกินสมควรไปหน่อย” เขาถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายใจต่อผู้ใด” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ยบอก
เฝิงหลินร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย
“ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายใจอีกหรือ” เขา
ตะเบ็งเสียงพลางนั่งหลังตรง
เสียงนั้นพาลให้สองพ่อลูกตระกูลหันตกใจตามไปด้วย
“เจ้าบีบบังคับเจตจำ นงของปวงชน ล่อลวงพระทัยฮ่องเต้
วางแผนเพื่อผลประโยน์ส่วนตน ผีรู้เทวดาเห็นพูดกันไปทั่ว
ไม่เพียงแต่ไม่เลี่ยง กลับกันยังจะเติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟอีก
มอมเมาปวงชน มอมเมาขุนนาง เข้าไปยุ่งกับเรื่องใหญ่ในราชสำ นัก
การบ้านการเมืองและการทหาร เจ้าถามใจเจ้าดูสิว่ายังไม่ละอายใจ
อีกหรือ” เฝิงหลินตวาด“ใต้เท้าเฝิง…” หันชางทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่าย
ก็เป็นแค่เด็กสาวตำหนิอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ซ้ำ วาจาที่ตำหนิก็น่า
ตกอกตกใจ ช่างเป็น…
“ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา”
ผู้ตรวจการเสนอยื่นมติไม่ไว้วางใจ แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังไม่กล้า
ขวาง นับประสาอะไรกับนายอำเภอตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คำพูดของเขา
เหมือนก้อนหินตกลงทะเลใหญ่เงียบงันไร้เสียง
เฝิงหลินทำเพียงมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างเคร่งขรึม รอคอย
คำตอบจากนาง
เฉิงเจียวเหนียงสีหน้ายังคงเรียบเฉย นางพยักหน้า
“ข้าไม่ละอายใจ” นางบอกอีกครั้ง
“ชายอกสามศอกทำเรื่องใด ล้วนทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง” เฝิงหลิน
ทอดถอนใจพลางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้มบาง
“ข้าแซ่เฉิงผู้นี้เป็นแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น” นางบอกพูดถึงเพียงทั้น ก็ไม่มีอะไรให้พูดอีกแล้ว เฝิงหลินเงยหน้าสูด
หายใจลึกเฮือกหนึ่ง
“แม่นางเฉิง เฝิงหลินหวังว่าท่านจะทูลขอออกจากเมืองหลวง
ด้วยตัวเอง” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วส่ายหน้า
“เกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้ใต้เท้าผิดหวังแล้ว” นางเอ่ย “ยามนี้ข้า
ยังไม่อยากจากเมืองหลวงไป”
เฝิงหลินมองนาง สองมือที่วางอยู่บนหัวเข่านไม่เคยสั่นเช่นนี้
มาก่อน แม้ยามชี้เป็นชี้ตายคนมาหลายสิบชีวิต ทว่ายามนี้กลับ
สั่นเครือ
“เช่นนั้นเฝิงหลินก็จำ ต้องขอเชิญให้แม่นางออกจากเมือง
เสียแล้ว” เขาเอ่ยอย่างเนิบช้า