พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 483 มีหลักฐาน
กระหม่อมขอให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบแม่นางเฉิงแห่งเจียงโจว
กลับกลอกไม่จงรักภักดีต่อชาติ และเป็นดังมอดกัดกินแผ่นดิน
สมควรประหาร
ประโยคนี้ไม่ได้ทำให้เหล่าขุนนางในราชสำ นักมีความรู้สึกใดๆ
ทั้ง
นั้น
ในยามที่ประโยคอันน่าตกใจนี้เอ่ยออกมาเป็นครั้งที่สอง ความ
น่าเกรงขามกลับน้อยลงนัก
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องประหารแม่นางเฉิงแห่งเจียงโจวถูกหยิบ
ยกขึ้นมาพูดถึงนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้
อีกทั้งเรื่องที่ฮ่องเต้เรียกหันชางเข้าเฝ้าเพื่อถามไถ่เกี่ยวกับ
เฝิงหลินเมื่อวานนี้ ไม่ทันข้ามคืนก็แพร่สะพัดออกไปนอกวังแล้ว
วันนี้สถานการณ์ในยามนี้ล้วนแต่เป็นไปตามคาดของทุกคน
อยู่แล้ว เฝิงหลินเดินออกจากแถวมาไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนรอคอย สิ่งที่ทุกคนกำลังรอคอยคือฮ่องเต้จะตัดสินใจอย่างไรต่างหาก
สีหน้าของฮ่องเต้ไร้อารมณ์ไม่ไหวติง
“แค่อาศัยจากข่าวลือว่ากันปากต่อปาก โทษไม่ถึงขั้นประหาร”
พระองค์เอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นขอให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เฝิงหลิน
พลันเอ่ยขึ้น
“ตรวจสอบไปก็ไม่ได้ความอยู่ดี” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ
ขุนนางชั้นสูงที่ยืนอยู่ด้านล่างล้วนกระจ่างแจ้ง อย่างน้อยยาม
นี้ฮ่องเต้ก็ยังยืนอยู่ฝั่งแม่นางเฉิง
ทว่าสีหน้าเฉินเซ่ากลับไร้ซึ่งแววยินดีเลยแม้แต่น้อย
แต่ไหนแต่ไรมาแนวทางการปกป้องของฮ่องเต้ไม่อาจเชื่อใจได้
สนิท เปลี่ยนแปลงได้ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามนี้ฮ่องเต้พระองค์
นี้เป็นคนที่มีปณิธานไม่หนักแน่นที่สุดด้วย หลายสิบปีมานี้เขารู้ดีเสีย
ยิ่งกว่าดี
ทุกคนต่างคิดว่าเขาอาศัยพระกรุณาของฮ่องเต้กัน หากพึ่งพิง
แค่พระกรุณาของฮ่องเต้เพียงอย่างเดียวเขาจะสามารถมาถึงวันนี้ได้หรือ หากไม่อาจมอบผลงานด้านการเมืองที่เป็นชิ้นเป็นอันแก่ฮ่องเต้
ได้ สาส์นกราบทูลยื่นมติไม่ไว้วางใจได้กองพะเนินสูงเท่าตัวคนไป
ทุกปีแล้ว
แม่นางเฉิงยามนี้ที่ถูกคนโจมตี ไม่ใช่เพราะว่ารากฐานไม่มั่นคง
สิ่งที่นางมอบให้ฮ่องเต้ได้มากกว่านี้ก็คือความหวังลมๆ แล้งๆ เพราะ
ความหวังนี้ฮ่องเต้จึงได้เอนเอียงไปทางนางชั่วคราว
แต่ไหนแต่ไรมาความหวังเป็นสิ่งที่ไม่อาจพึ่งพิงได้มากที่สุด
และเป็นดาบสองคมด้วย
ยิ่งหวังมาก ก็ยิ่งผิดหวังมาก
เฉินเซ่าขมวดคิ้วมองเฝิงหลิน เห็นเขาไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือ
ระย่อท้อถอยจากคำพูดของฮ่องเต้เลยสักนิด
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดกระหม่อม
จึงดึงดันขับจะไล่แม่นางเฉิงผู้นี้ให้ได้” เฝิงหลินทูลถาม
บทสนทนานี้ฮ่องเต้ไม่อาจตอบได้ เฝิงหลินก็ไม่ได้มุ่งหวังให้
พระองค์ตอบ เขาเงยหน้าเอ่ยต่อว่า“เพราะกระหม่อมยังต้องการฟ้องร้องบิดาของแม่นางสกุล
เฉิงอย่างเฉิงต้งด้วย”
ประโยคนี้จบลง คนในราชสำ นักต่างซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กัน
อย่างอดไม่อยู่ ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน
จะลากคนอื่นเข้ามาเอี่ยวด้วยอีกแล้วหรือ
มีเพียงเกาหลิงปอและคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางเท่านั้นที่เผย
รอยยิ้มออกมา
“เก็บงำ เอาไว้เสียนานกว่าจะปริปากออกมาได้เสียที” เกาหลิง
ปอกับขุนนางร่วมสำ นักข้างๆ กระซิบพูดคุยกัน “จนข้ากลัวว่าเขา
จะลืมมันไปเสียแล้ว”
“ความจำ ของรองราชเลขาเฝิงดีเยี่ยมมาโดยตลอด” ขุนนาง
ร่วมสำ นักอมยิ้มกระซิบบอก
ในขณะที่พวกเขาสองคนซุบซิบกัน เสียงเฝิงหลินก็ลอยขึ้น
มาข้างหูไม่ขาดสาย
พร้อมกับเสียงรายงานของเฝิงหลินนั้น ในราชสำ นักก็เงียบงัน
ขึ้นมา เฉินเซ่าที่เดิมทีสีหน้าไม่สู้ดีอยู่แล้วก็ยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้แล้ว
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
เฉินเซ่าเอ่ยขึ้นในใจ เขานึกว่าหลังจากเฝิงหลินเข้าเมืองหลวง
มา ได้เห็นได้ยินเรื่องราวของแม่นางเฉิงจึงได้เดือดดาลใหญ่โต
ที่ไหนได้คิดไม่ถึงว่าต้นสายปลายเหตุจะอยู่ตรงนี้
ยามนี้ได้แย่แน่แล้ว
“…เฉิงต้งหัวเราะออกมาอย่างลำพอใจ มิได้ปัดป้องบ่ายเบี่ยง
เรื่องชื่อเสียงของนางแม้แต่น้อย ชูคอต่อหน้าฝ่าบาท แต่กลับขดขี่
ชาวเมือง”
“…ตอนนั้นซู่จิ่งเหวินล้อมหน้าล้อมหลัง เรียกองครักษ์รักษา
พระองค์มารินสุรา…ชาวเมืองวุ่นวายโกลาหลมุงดูด้วย
ความประหลาดใจ…”
“…ชาวเมืองถูกขับไล่ แรกเริ่มกระหม่อมเดือดดาล พอได้ยินว่า
เป็นบิดาของแม่นางเฉิง ก็พลันกลายเป็นปรีดา กระทั่งรู้สึก
เป็นเกียรติ รีบรุดมาฟ้องร้อง…”ยิ่งได้ฟังมากขึ้นเท่าใด สีหน้าของทุกคน ณ ที่นั้นก็ยิ่งสนุก
มากขึ้น
เฝิงหลินผู้นี้ แต่ละถ้อยแต่ละคำล้วนแทงใจ!นี่กำลังฆ่ากันให้
ตายชัดๆ!
อย่าว่าแต่มีบุญคุณเลย ต่อให้เป็นคนไม่รู้จักก็ไม่ถึงขั้นต้อง
ลงมือโหดเหี้ยมกันขนาดนี้เลยก็ได้นี่นา
มิน่าเล่าจึงถูกขนานนามว่าผู้พิพากษาปีศาจ ฆ่าคนตา
ไม่กะพริบสมชื่อ
เฉินเซ่าใบหน้าเขียวคล้ำ เงยหน้ามองฮ่องเต้บนบัลลังก์ สีหน้า
ไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิมดังคาด
“ฟังดูแล้วนี่ล้วนเป็นความผิดของเฉิงต้งผู้นั้นทั้งหมด เหตุใด
เจ้าต้องลงโทษแม่นางเฉิงด้วยเล่า ยื่นมติไม่ไว้วางใจบิดานาง
คนเดียวก็พอมิใช่รึ” ฮ่องเต้โพล่งขึ้นมาทันใด
“ฝ่าบาท” เฝิงหลินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นใครที่แต่งตั้ง
เลื่อนขั้นให้บิดาของนางกันเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่าเรา ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นในใจ“นั่นเป็นแม่นางเฉิงที่บีบบังคับให้ฝ่าบาททำ” เฝิงหลินทูลต่อ
ใช่ ใช่ ฮ่องเต้ตรัสขึ้น ถูกต้อง ถูกต้อง
พระองค์ไม่อาจเลื่อนตำแหน่งให้ผู้ใดโดยไร้สาเหตุ และยอมรับ
ในจุดนี้ พระองค์เมินคำว่าบีบบังคับในประโยคของเฝิงหลินไป และ
ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างใด
“ใต้เท้ารองราชเลขา เหตุใดนั่นจึงเป็นการบีบบังคับไปได้เล่า”
เฉินเซ่าไม่อาจอยู่เฉยโดยไม่พูดอะไรออกมาได้อีก อาศัยแค่
ปากเปล่าดุจใบมีดฟาดฟันทีละคำของเฝิงหลินเพียงอย่างเดียว
ไม่ต้องให้ศาลต้าหลี่ไต่สวน ฮ่องเต้ก็อยากจะฆ่าแม่นางเฉิงแล้ว
“มีคุณูปการไม่ปูนบำเหน็จ ก็เหมือนมีโทษไม่ลงโทษ!หรือเจ้า
จะให้ฝ่าบาทได้ชื่อว่าเป็นผู้ปูนบำเหน็จและลงโทษอย่างอยุติธรรม
อย่างนั้นหรือ”
“เพราะแม่นางเฉิงจิตใจไม่ชอบธรรม คุณูปการของนาง
จึงกลายเป็นโทษทัณฑ์” เฝิงหลินหันหน้าไปขมวดคิ้วเอ่ยกับเขา
“ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมแก่พี่ชายบุญธรรม ด้วยจิตใจ
ไม่ชอบธรรม ถวายธนูเสินปี้ให้แก่ฝ่าบาท ด้วยจิตใจไม่ชอบธรรม อีกทั้ง
ดูยามนี้ บิดานางยังไม่ทันเข้าเมืองหลวงมาก็ทำท่าทำทางโอ้อวด
โดยไร้ความเกรงกลัวแล้ว เอาลูกสาวมาอวดอ้าง มองสิ่งที่ฝ่าบาท
ประทานให้ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับอยู่แล้ว”
ดี!
เกาหลิงปอตะโกนว่าดีอยู่ในใจ หากไม่ได้อยู่ในท้องพระโรง
เขาคงได้ปรบมือเอ่ยชมเชยให้เฝิงหลินแล้ว
เป็นไปดังคาด สมกับเป็นผู้พิพากษาปีศาจ แต่ละถ้อยแต่ละคำ
ช่างเจ็บแสบ
“เฝิงหลิน นี่เจ้ากำลังพูดเพ้อเจ้อจากการคาดเดา!” เฉินเซ่า
ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“เฉินเซ่า ต่อให้ข้าพูดจาเพ้อเจ้อจากการคาดเดากว่านี้
เจ้ากระตือรือร้นแก้ต่างให้ครอบครัวตระกูลเฉิงเช่นนี้ มองเป็นสหาย
จนเลยเถิด มองชาติบ้านเมืองเป็นบ้านตัวเอง!” เฝิงหลินก้าวเข้ามา
ตะหวาดใส่ก้าวหนึ่ง
ประโยคนี้จบลง สีหน้าเฉินเซ่าก็พลันเปลี่ยน
ดี!เกาหลิงปอตะโกนขึ้นมาในใจอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็เลิกคิ้ว
ขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อย เฝิงหลินผู้นี้ก็ไม่ใช่คนโง่นี่ เจ้านี่รู้ดีว่า
จุดอ่อนของฮ่องเต้อยู่ที่ใด แต่ละถ้อยแต่ละคำทิ่มแทงใจยิ่ง
พูดเรื่องที่หญิงนางนั้นบีบบังคับฝ่าบาทก่อน กระตุ้นความ
ไม่พอใจที่ฝ่าบาทสั่งสมเอาไว้ขึ้นมา
ต่อมาก็ทุบค้อนลงไปที่เฉินเซ่า มองเป็นสหายจนเลยเถิด ข้อหา
นี้จะว่าเบาก็เบา จะว่าหนักก็หนักได้
ขุนนางทั่วหล้าล้วนเป็นของฮ่องเต้ อนาคตอันมั่งคั่งรุ่งเรืองก็
มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะมอบให้ให้ได้ สิ่งที่ฮ่องเต้ไม่อาจทนได้มาก
ที่สุดก็คือข้าราชบริพารของพระองค์เอาราชสำ นักของพระองค์
มาเป็นบ้านส่วนตัวแอบรับส่งประโยชน์ให้แก่กัน
แม้ว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขุนนางไปมาหาสู่กัน
ไม่อาจเลี่ยงเรื่องสนับสนุนและแนะนำกันเป็นสหายได้ อาจารย์และ
ศิษย์ในสำ นักเดียวกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทว่าเรื่องนี้ล้วน
เป็นเรื่องที่รู้กันภายใน ไม่อาจนำออกมาพูดข้างนอกได้หากกล้านำออกมาพูดล่ะก็ ฮ่องเต้จะเป็นคนแรกที่ไม่ให้อภัย
เจ้า
ดี!เฝิงหลิน ดี!
กัดให้แรงเอาให้เหี้ยม!
หากครานี้เจ้าขับไล่แม่นางเฉิงกับเฉินเซ่าไปได้พร้อมกันใน
คราวเดียวล่ะก็ ข้าเกาหลิงปอจะปกป้องเจ้าในเมืองหลวงให้มากกว่า
เดิมสามปี
สุนัขดีเช่นนี้ จะให้ปล่อยออกไปก็น่าเสียดาย
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอฟ้องร้องเฝิงหลินข้อหาพูดจาใส่ร้ายปั้น
เรื่องขุนนางพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเซ่าเดือดดาลเหลืออด คำนับทูลต่อฮ่องเต้
เผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาว่ากล่าวโทษ เฉินเซ่าล้วนไม่อาจ
ใช้วิธีการถอยเพื่อโจมตีอย่างการขอลาออกมาใช้เป็นการต่อต้านได้
เขาต้องโต้กลับไป ณ ที่นั้น
ฮ่องเต้แย้มยิ้ม
“ใต้เท้ารองราชเลขาก็บอกไปแล้วว่าพูดเพ้อเจ้อคาดเดา ไม่ได้
เอามาเป็นจริงเป็นจัง” พระองค์เอ่ย“กระหม่อมต้องการทูลฟ้องร้องเฝิงหลินหมิ่นประมาทพ่ะย่ะค่ะ
” เฉินเซ่าไม่ยอมลดละ
“รองราชเลขา เจ้าเสียมารยาทแล้ว” ฮ่องเต้มองไปยังเฝิงหลิน
พลางตรัสขึ้น
“กระหม่อมทำตามหน้าที่ มิได้เสียมารยาทพ่ะย่ะค่ะ” เฝิงหลิน
ไม่ยอมก้มหัวให้เด็ดขาด
ขุนนางใหญ่ทั้งสองงัดข้อกันในท้องโรง ไม่มีใครไว้หน้าฮ่องเต้
กันสักคน ฮ่องเต้ก็ไม่ถือสา กลับกันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหล่าขุนนาง
ไม่ไว้หน้าพระองค์อยู่แล้ว
“เรื่องเฉิงต้ง ให้กรมขุนนางตรวจสอบ” ฮ่องเต้จำ ต้องตรัส
เปลี่ยนเรื่อง
“ให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบแม่นางเฉิงก่อน” เฝิงหลินรีบเอ่ยต่อ
ขึ้นทันที
“บุตรธิดาอกตัญญูเป็นความผิดของบิดา ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ว่าบิดาอกตัญญูเป็นความผิดของบุตร” เฉินเซ่าเอ่ยเสียงเย็นเยียบ“หากไม่มีแม่นางเฉิงกำเริบเสิบสานงมงายชาวเมืองเสียก่อน
เฉิงต้งจะอวดดีไม่เห็นเจ้าแผ่นดินอยู่ในสายตาเช่นนี้หรือ” เฝิงหลิน
เอ่ยตอบเสียงเย็นเยียบคืนเช่นกัน “ก็เหมือนหากเจ้าไม่ได้อยู่ในฝ่าย
เสมียนกลาง บิดาเจ้าจะมีคฤหาสน์ส่วนตัวในเมืองหลวงถึงสองแห่ง
ได้อย่างไร”
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ภายในท้องพระโรงก็มีเสียงอื้ออึงขึ้นมา
เกาหลิงปอลมแทบจับ มีความสุขอย่างมาก
ในใจนอกจากคำว่าดีแล้ว คำอื่นก็พูดออกมาไม่ออก
เฉินเซ่าที่ตัวตั้งหลังตรงมาโดยตลอดพอได้ยินประโยคนี้เข้าก็
เกรี้ยวกราดจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม ในขณะที่คนที่อยู่ข้างกายเขาสองด้าน
ต่างเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นลมไปนั้น เฉินเซ่าก็สงบลง เขาเดินไป
ตรงกลางของท้องพระโรง ถลกอาภรณ์ขึ้นคุกเข่าลง
“กระหม่อมไร้ประโยชน์ ไม่ได้ช่วยเหลือต่อเรื่องราชสำ นัก
ไม่อาจแบ่งเบาภาระจากฝ่าบาทได้ ไม่จงรักภักดี กระหม่อม
ออกเรือนร่ำเรียนตั้งแต่สิบสามปี ยี่สิบเจ็ดปีก็เข้ารับราชการ
เสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์ครึ่งค่อนชีวิต ยังไม่ได้แทนคุณต่อบุพการีอย่างถึงที่สุดเลย ยามนี้กลับทำร้ายให้ท่านพ่อได้รับ
ความอัปยศ อกตัญญูยิ่ง” เฉินเซ่าทูลพลางโขกหัวคำนับ “กระหม่อม
ไม่จงรักภักดี อกตัญญู ไม่มีหน้าอยู่ในราชสำ นักต่อ กระหม่อมขอลา
ออกจากตำแหน่ง สละให้ผู้ที่ดีและมีความสามารถ กระหม่อม
จะกลับบ้านไปดูแลบิดาพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเซ่าขอลาออกอีกแล้ว!
เฉินเซ่าขอลาออกอีกแล้ว!
ยามนี้ไม่เพียงแต่เกาหลิงปอที่ตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง ทุก
คนในราชสำ นักก็กำลังตะโกนอยู่ในใจเช่นกัน กระทั่งฮ่องเต้เองก็ยังนิ่
งงันไป
เวลาเพียงไม่กี่วัน ได้ยินเฉินเซ่าขอลาออกไปแล้วสองครั้ง
เป็นดังคาดว่าละครฉากนี้พอได้ลิ้มลองสักครั้งก็ติดใจแล้ว
เฉินเซ่าผู้ชอบโอ้อวดตนสุจริตเที่ยงธรรมก็ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าในใจของทุกคนต่างรู้ดี การลาออกนี้ไม่ใช่การ
ลาออก แต่เป็นการฟ้องร้อง บีบบังคับให้ฮ่องเต้แสดงท่าทีให้ชัดแจ้งเฝิงหลินเหยียดหยามตนเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วราชสำ นักก็จำ ต้อง
มีเลือกใครสักคน
เฝิงหลินไม่ไป เขาก็จะไปเอง หากเขาอยู่ เฝิงหลินก็ต้องไป
ก็แค่พูดเรื่องแม่นางเฉิงแห่งเจียงโจวแค่นั้นแท้ๆ เหตุใด
จึงกลายเป็นขุนนางใหญ่ต้องการจะลาออกไปได้เล่า
ฮ่องเต้หัวคิ้วกระตุกไม่หยุด ปวดหัวอยู่ลึกๆ
ดังนั้นแล้วสำ หรับเรื่องขุนนางทูลฟ้องร้องต้องรีบตัดสินใจให้
รวดเร็วและเฉียบขาด มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพัวพันยุ่งเหยิงบานปลายไป
อีกเท่าใด!
เฝิงหลินผู้นี้ก็ช่างเหลือเกินจริงๆ…ร้ายกาจไม่น้อย เพิ่งจะมาได้
สามสี่วัน นึกไม่ถึงว่ากระทั่งคฤหาสน์ส่วนตัวของบิดาเฉินเซ่าก็
ตรวจสอบเจอแล้ว
ฮ่องเต้กระแอมขึ้นมาในใจ คิดไปถึงไหนแล้ว
“ใต้เท้าเฉินกล่าวเกินไปแล้ว แผ่นดินกับครอบครัวล้วนหนีไป
จากเจ้ามิได้ การลาออกของเจ้า เราไม่อนุญาต” พระองค์เอ่ยแล้วหันไปมองเฝิงหลิน “รองราชเลขาเฝิงพูดเพ้อเจ้อเสียมารยาท หัก
เงินเดือนสามเดือน ส่วนโทษของเจ้าค่อยว่ากันอีกที”
โวยวายมาถึงขั้นนี้แล้ว การประชุมก็ดำเนินต่อไปไม่ได้แล้ว
เช่นกัน ฮ่องเต้จึงประกาศให้เลิกประชุม
“ฝ่าบาท ขอโปรดทรงตัดสินใจเรื่องแม่นางเฉิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฝิงหลินกลับขวางฮ่องเต้ที่จะกำลังจะกลับเอาไว้ ท่าทางไม่ลดละ
หากยังไม่ได้ดั่งที่หวังไว้
ดูท่าแล้วหากวันนี้พระองค์ไม่ทรงตัดสินใจก็อย่าได้หวังว่า
จะกลับวังได้เลย
ล้วนเป็นเพราะแม่นางเฉิงผู้นี้
แต่เช้าจรดเย็นไม่ได้สงบเลย
“พูดเพ้อเจ้อไร้หลักฐานไม่อาจเอามาเป็นโทษได้” ฮ่องเต้ตรัส
ขึ้น
เฝิงหลินเม้มปากแน่น คิ้วสองข้างกระตุก ไม่รอให้เอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสต่อว่า“ให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบความจริงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
พระองค์ตรัสขึ้น
สำ เร็จแล้ว!
เกาหลิงปอที่น้อมคำนับส่งเสด็จฮ่องเต้ภายในตำหนักลูบฝ่า
มือเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาเงยหน้ามองเฝิงหลินที่น้อมส่ง
ฮ่องเต้อยู่
ทำได้ดี!กลับไปข้าจะดื่มสุราคารวะเจ้า
แล้วก็หันไปมองเฉินเซ่า
เฉินเซ่าที่ฝีเท้าสงบนิ่งมาโดยตลอดยามนี้กลับร้อนรน ย่างได้
สองสามก้าวก็จ้ำ ออกไปจากตำหนักแล้ว ไม่สนใจคำทักทายของใคร
ทั้ง
นั้น น
่าเสียดายจริงๆ ยามนี้ฮ่องเต้ยังไม่มีความคิดจะทิ้งเฉินเซ่า
ต่อให้เขาเขียนฎีกาลาออกทูลขึ้นถวาย ฮ่องเต้ก็คงจะเรียกไปถามไถ่
เกลี้ยกล่อมฉบับแล้วฉบับเล่าแน่ หลังจากยืนหยัดครั้งแล้วครั้งเล่า
เฝิงหลินก็จะถูกส่งไปทำงานข้างนอก เฉินเซ่าก็จะยังคงยืนอยู่ใน
ราชสำ นักต่อไปอีกครั้งทว่ามีครั้งหนึ่ง สอง สาม สี่ ขอลาออกบ่อยครั้งเข้า ฮ่องเต้ก็
จะทรงชิน และจะรำคาญเหนื่อยหน่าย
บุญคุณก็จะค่อยๆ มลายหายลืมเลือนไป ความชอบธรรมก็
จะค่อยๆ ร่อยหรอเหลือเพียงเศษเสี้ยว ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เปราะบาง
ที่สุด และไม่แน่นอนที่สุด
เกาหลิงปอยืนตัวตรง สะบัดแขนเสื้อไปมา
การประชุมของราชสำ นักในวันนี้แรกเริ่มเป็นไปดังคาด แต่
ตอนจบกลับเหนือความคาดหมาย
เฝิงหลินผู้นี้ กัดแม่นางเฉิงแห่งเจียงโจวศิษย์เทพเซียนไม่ปล่อย
ล่วงเกินอำมาตย์เฉิน เป็นรองราชเลขาได้อย่างคุ้มค่ายิ่ง
“ดูท่าแล้ว ก็ยังคงเป็นปีศาจที่ยากจะถูกรังแก” เขายิ้มบางเอ่ย
ขึ้น