พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 484 ไม่ยอมรับ (1)
ยามแม่นางเฉินสิบแปดได้ยินข่าวนี้ ก็เป็นตอนที่กำลังกินมื้อ
เช้าอยู่พอดี นางทิ้งตะเกียบวางชามลง ลุกขึ้นวิ่งไปยังเรือนท่านปู่
“นายท่านอยู่เจ้าค่ะ” แม่นมในเรือนรีบขวางนางไว้พลางเอ่ย
ถามเสียงเบา
แม่นางเฉินสิบแปดผลักนางออกแล้วสาวเท้าเข้าไป ประตูห้อง
เปิดค้างไว้ ทำให้เห็นนายใหญ่เฉินกำลังพูดคุยกับเฉินเซ่าอยู่ภายใน
อีกด้านยังมีพ่อบ้านนั่งอยู่ด้วย
“…พวกนี้ แล้วก็พวกนี้…เอาไปขายเสีย…” นายใหญ่เฉินเอ่ยขึ้น
หยิบหนังสือสัญญาหลายแผ่นตรงหน้าดันไปให้
“ท่านพ่อ นี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของท่าน เหตุใดจึงเอาไปขาย
เพราะความลำบากของลูกด้วยเล่า” เฉินเซ่าเอ่ยขึ้น
“แม้จะบอกว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของข้า แต่อย่างไรเสียก็
เป็นของที่ซื้อมาในราคาที่ต่ำกว่าตลาดอยู่ดี ล้วนเป็นเพราะเจ้า คิดจะให้พวกเจ้าเหล่าพี่น้องย้ายเข้ามาในเมืองหลวง รีบร้อนจัดการไป
ได้” นายใหญ่เฉินเอ่ย
“แต่ตอนนั้นข้ายังไม่ได้เข้าเมืองหลวงมานะท่านพ่อ เรื่องนี้
ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อเลยด้วยซ้ำ ข้าผิดเองที่ให้ท่านพ่อต้องได้รับความ
อับอาย” เฉินเซ่าค้อมกายโขกหัวกับพื้น
“จะไปโทษเจ้าได้อย่างไร เป็นข้าที่ผิดเอง ละเลย เลินล่อ”
นายใหญ่เฉินเอ่ยบอก “เดิมทีผู้ตรวจการก็ฟ้องร้องจากข่าวลือ ไม่ว่า
จะจริงหรือเท็จก็ล้วนเพียงเพื่อนำมาโต้แย้ง ใครจะมาสนใจว่า
เรื่องจริงเป็นเช่นไร”
ภายในห้องเสียงสะอึกสะอื้นโทษตัวเองของเฉินเซ่าดังขึ้น
ไม่หยุด แม่นางเฉินสิบแปดฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว นางยกมือขึ้นเช็ด
น้ำตา หันหลังสาวเท้า วิ่งออกไป
เหตุใดจึงโทษท่านปู่ นี่เป็นเงินของท่าน ไม่ใช่เงินที่ท่านพ่อ
ละโมบได้มันมาเสียหน่อย
เหตุใดจจึงโทษท่านพ่อ นี่เป็นเรือนที่ท่านปู่ซื้อก่อนที่ท่านพ่อ
จะเข้าเมืองหลวงมาเสียอีกจะโทษใครได้เล่า ก็ต้องโทษท่านพ่อที่ไปแก้ต่างให้หยิงนางนั้น
สุดท้ายจึงโดนผู้ตรวจการกัดไว้ไม่ปล่อย
ต้องโทษนาง โทษนางทั้งหมด เป็นนางที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้
ขึ้น
เคยบอกไว้มิใช่หรือ ขอเพียงนางออกจากเมืองหลวงไป เรื่องนี้
ก็จะจบลงเท่านี้
เหตุใดนางจึงยืนกรานไม่ไปอีก เหตุใดนางจึงไม่ยอมไป
“หญิงสิบแปด เจ้าจะไปไหนรึ”
เสียงเรียกของเฉินตันเหนียงดังขึ้นจากด้านหลัง มองดูแม่นาง
เฉินสิบแปดสาวเท้าเดินออกไป
แม่นางเฉินสิบแปดออกไปอย่างรวดเร็วดั่งวายุแล้ว
ขณะเดียวกันเลขาธิการศาลาต้าหลี่ก็กำลังขมวดคิ้วมอง
รายงานที่ส่งมาจากกรมขุนนาง
“ดีร้ายอย่างไรก็เป็นผู้มีพระคุณ แต่กลับขู่เข็ญจะเอาชีวิตคน
เขาเสียแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่“มัจจุราชบอกให้เจ้าตายตอนยามสาม[1] ใครจะกล้ายืดเยื้อ
ไปให้นานถึงยามห้า[2]ได้เล่า” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยขึ้น “ใต้เท้า
ขอรับ ออกใบแจ้งจับเถิด”
ผู้พิพากษาปีศาจคนนี้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมได้แม้กระทั่งกับผู้
มีพระคุณ พวกเขาไม่คุ้มค่าพอที่จะไปหาเรื่องใส่ตัว
ไม่เห็นแก่หน้าฮ่องเต้ แม้กระทั่งท่านอำมาตย์เฉินก็ยังโดน
เล่นงานเสียหมดท่าจนจำ ต้องไปขอลาออกเลยมิใช่หรือไร
เลขาธิการศาลต้าหลี่พยักหน้า
“เอาตัวคนมาเถิด” เขาบอก
ผู้ใต้บังคับบัญชาขานรับหันหลังจะออกไป
“อย่าได้รีบร้อนนัก” เลขาธิการเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ดีร้ายอย่างไรก็
ให้กินข้าวให้เสร็จอย่างสงบเสียก่อน”
ผู้ใต้บังคับบัญชาหัวเราะ
“เทียบกับผู้พิพากษาปีศาจแล้ว ท่านเลขาธิการกลับเป็น
พระโพธิสัตว์กว่านัก” เขายิ้มเอ่ยพลางค้อมกายเดินออกมา“อย่างไรเสียก็เป็นลูกหลานเทพเซียนมิใช่หรือ ทุกเรื่องย่อม
ต้องเหลือทางให้กันบ้าง ภายหน้าอาจได้พบกันใหม่ อย่าตัดบัว
ไม่เหลือใยเช่นนั้น” เลขาธิการพึมพำ
แม้ว่าศาลต้าหลี่จะจิตใจกว้างขวาง แต่เฉิงเจียวเหนียงก็ยัง
โดนรบกวนตอนกินข้าวอยู่ดี
ประตูถูกเคาะดังปึงปัง บ่าวหน้าเรือนเปิดประตูออก ยังไม่ทัน
ได้ถามว่าเป็นใคร หญิงสวมชุดคลุมกันลมและหมวกที่เย็บติดกับเสื้อ
นางหนึ่งก็บุกเข้ามา
“เจ้าทำอะไร เจ้าจะทำอะไร” บ่าวหน้าประตูตะโกนถาม
เพราะเป็นหญิงจึงไม่กล้าเข้าไปขวาง ทำให้แม่นางเฉินสิบแปด
บุกเข้ามาได้โดยไม่ทันตั้งตัว ทว่าครู่ต่อมาก็มีเสียงตะโกนเรียกของ
เขาดังขึ้นพร้อมกัน องครักษ์สองนายที่นั่งอยู่ภายในห้องของบ่าว
เฝ้าประตูก็ต่างพากันวิ่งออกมา
แต่พวกเขาไม่สนใจว่าจะเป็นชายหรือหญิง ยื่นมือไปคว้าตัวไว้
โดยไม่เกรงใจ
เสียงกรีดร้องของแม่นางเฉินสิบแปดดังขึ้นภายในลานบ้านเสียงนี้ทำให้คนในบ้านลุกเดินกันออกมา แม่นางหวงอุ้มลูกไว้
กระทั่งเฉิงเจียวเหนียงยังเดินออกมาดู
“แม่นางเฉิน นี่เจ้า…” ปั้นฉินรีบเอ่ยถาม
องครักษ์สองนายมองเฉิงเจียวเหนียงแวบหนึ่ง จึงได้ปล่อยมือ
แล้วถอยออกไปยืนอยู่อีกฝั่ง ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังร่างของ
แม่นางเฉินสิบแปดเขม็ง
แม่นางเฉินสิบแปดยกมือขึ้นมาเลิกหมวกขึ้นด้วยความ
เดือดดาล พลางมองเฉิงเจียวเหนียง
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไป” นางเอ่ยถาม “มีของดีก็เก็บไว้กับตัวเถิด
เจ้าไม่รู้จักคำนี้หรือ”
เป็นคนที่มาตำหนินายหญิงอีกแล้ว…
สาวใช้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขายของทั้งสามร้าน มักจะ
ไม่ค่อยได้อยู่เรือน ปั้นฉินขอบตาแดงขึ้นมา ในใจเคียดแค้น
เหลือประมาณที่ตนเองไม่อาจพูดออกไปได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้เจ้าทำให้คนอื่นลำบากและทำร้ายคนอื่น
ไปตั้งกี่คนแล้ว” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยทั้งน้ำตาเช่นกัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อข้าโดนฟ้องร้องก็เพื่อเจ้า ท่านปู่ข้าก็ยังมาโดนทำให้
อับอายอีก…”
นางยังพูดไม่ทันจบ เฉิงเจียวเหนียงก็ส่ายหน้าขัดขึ้นมา
“นั่นมิใช่เพราะข้า ไม่เกี่ยวกับข้า” นางบอก
แม่นางเฉินสิบแปดกัดริมฝีปาก ทั้งโมโหทั้งอยากจะร้องให้
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้ามันไร้หัวใจจริงๆ” นางเอ่ย
“แม่นาง”
แม่นางหวงมองซ้ายมองขวา ส่งลูกให้กับสาวใช้ ก้าวเข้าไปหา
อย่างใจกล้า เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“หากเจ้ามาเป็นแขก เช่นนั้นก็เชิญนั่งคุยกันด้านใน หากเจ้า
มาเพื่อทะเลาะ เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถิด”
“ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย สายตาไม่ละห่าง
จากเฉิงเจียวเหนียงเลยสักนิด
“แต่เจ้ากำลังพูดอยู่ในบ้านข้า” แม่นางหวงก็เริ่มจะมีอารมณ์
ขึ้นมาเหมือนกัน เสียงจึงดังขึ้นยามเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดมองไปยังนาง ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา“ทะเลาะ” นางแย้มยิ้มอีกครั้ง “ข้าไม่กล้าไปทะเลาะกับนาง
หรอก ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าเจ้าจะทำอะไรกันแน่”
“เจ้าไม่ต้องเข้าใจหรอก” เฉิงเจียวเหนียงบอก สายตามอง
ไปนอกประตู “ข้ารู้ตัวเองก็พอแล้ว”
ปั้น
ฉินมองไปด้านนอกด้วยเช่นกัน สีหน้านางพลันเปลี่ยน
แม่นางเฉินสิบแปดหันกลับไปตามสัญชาตญาณ เห็นพวก
ข้าหลวงชั้นผู้น้อยยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“แม่นางเฉิงใช่หรือไม่” ข้าหลวงชั้นผู้น้อยยืนอยู่หน้าประตู ท่าที
มีอัชฌาศัยเอ่ยถามขึ้นด้วยความเคารพ “พวกเรามาจากศาลต้าหลี่”
แม่นางเฉินสิบแปดหันไปถลึงตามองเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง
“นายหญิง” ปั้นฉินยื่นมือไปดึงแขนเฉิงเจียวเหนียงไว้
น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ
“เป็นการไต่สวนหรือว่าต้องเข้าคุกรึ” แม่นางเฉินสิบแปดเดิน
เข้าไปถาม“เรื่องนี้ ต้องดูก่อนว่าไต่สวนเป็นอย่างไร” ข้าหลวงชั้นผู้น้อย
เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“คนในครอบครัวไปด้วยได้หรือไม่” แม่นางหวงถามขึ้น
เสียงสั่น
“ย่อมได้อยู่แล้ว แต่ว่าไม่เข้าไปในศาลก็พอ” ข้าหลวงชั้นผู้น้อย
อมยิ้มบอก แล้วหุบรอยยิ้มลงในทันใด
แม้ว่ารอยยิ้มจะแสดงถึงความเป็นมิตรของตนได้ แต่พวกเขา
เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยของศาลต้าหลี่ รอยยิ้มกลับทำให้คนยิ่งไม่พอใจ
กว่าเดิม
“ไม่ต้องหรอกพี่สะใภ้ใหญ่” เฉิงเจียวเหนียงบอก “ปั้นฉินไปกับ
ข้าก็พอแล้ว”
แม่นางหวงมองนาง มือที่ลูบอยู่ด้านหน้าสั่นเล็กน้อย
“พี่ไปบอกพี่ชายให้ทราบก็พอ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
แม่นางหวงขานรับ
“น้องสาว จะ…เจ้าอย่าได้กลัวไป” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ
ท่าทางเช่นนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกลัวกันแน่…ข้าหลวงชั้นผู้น้อยด้านข้างพึมพำในใจ มองแม่นางเฉิงด้วย
ความเคารพเลื่อมใสอีกครั้ง
เป็นดังคาด สมกับเป็นศิษย์ของเทพเซียน ยอดศิษย์ย่อม
แตกต่าง สีหน้าท่าทางดูแจ่มใส…
“ข้าไม่กลัว” เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้มบางพลางเอ่ยบอก แล้ว
หันหลังเดินออกไปก่อน
“เฉิงเจียวเหนียง!”
แม่นางเฉินสิบแปดเดินตามไปแล้วเรียกเอาไว้
เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ากลับมามองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอัน
ใดแล้วหันหลังเดินออกจากประตูไป
รถม้าคันหนึ่งคลื่อนไปบนถนนท่ามกลางข้าหลวงชั้นผู้น้อยที่
ล้อมหน้าล้อมหลัง
ถนนหนทางหลังหิมะตกเหน็บหนาวและหม่นหมองหาอันใด
เปรียบ แม้ว่าจะห่มคลุมเสื้อกันลมหนาเพียงใด แต่หันหยวนเฉาที่ยืน
อยู่หน้าประตูตั้งแต่ฟ้าสางก็หนาวยะเยือกจนมือเท้าแข็งชาไปหมดเขามองรถม้าเคลื่อนผ่านไป เดินเข้าไปด้วยฝีเท้าซวนเซอย่าง
ห้ามไม่อยู่
“ท่านชายขอรับ” บ่าวรับใช้คนหนึ่งมือไวเข้ามาพยุงไว้
หันหยวนเฉาค้ำยันตัวไว้กับเขาเพื่อยืนให้มั่น มองรถม้าผ่านไป
ไกล ชายหนุ่มท่ามกลางลมหนาวคิ้วเข้มขมวดแน่นกว่าเดิม มือที่ซุก
อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น
“ข้าไม่อาจเปลี่ยนปณิธานให้คล้อยตามประเพณีที่ปฏิบัติกัน
ทั่วไปได้ แน่นอนว่าจะต้องทุกข์ระทมไปชั่วชีวิตอย่างยากจะเลี่ยงที่
ไม่อาจมีปณิธานได้เช่นกัน” เขาท่องออกมาช้าๆ
ท่องเสร็จก็ยิ้มขื่น
ไม่คิดเลยว่าประโยคนี้ของชวีหยวนเขาจะรู้สึกและเอ่ยมัน
ออกมาในตอนที่เผชิญหน้ากับสตรีคนหนึ่ง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ตำหนักชิ่งอ๋องก็มีเสียงระเบิดหัวเราะ
ดังขึ้น
กองหิมะบนพื้นที่ว่างหลังตำหนักไม่ได้ทำความสะอาด ยามนี้
ชิ่งอ๋องกำลังวิ่งเล่นหัวเราะไปมา“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” ขันทีคนหนึ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน มองจิ้นอัน
จวิ้นอ๋องในชุดคลุมผ้าฝ้ายพลางเอ่ยเรียก
บนศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ แขนเสื้อถลกขึ้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องเผย
ท่อนแขนแข็งแกร่งครึ่งหนึ่งท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บหันมา
มองพร้อมรอยยิ้ม
“แม่นางเฉิงไปศาลต้าหลี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องแย้มยิ้ม
“ครั้งนี้มีละครสนุกให้ดูแล้ว” เขายิ้มเอ่ย ยิ้มเสร็จก็หันหลังไปดู
ชิ่งอ๋องต่อ
[1] ยามสาม ช่วงเวลา 23.00-01.00 น.
[2] ยามห้า ช่วงเวลา 03.00-05.00 น.