พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 485 ต้องการทูลเกล้าถวาย
เกิดเรื่องแล้ว!
เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!
เหล่าขุนนางที่เพิ่งจะออกไปได้ไม่นานก็พากันเข้ามาในวังอย่าง
รีบร้อนอีกครั้ง ขันทีที่เข้าเวรยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของตำหนักเอียงหัว
กระซิบกระซาบกันอย่างอดใจไม่ไหว
“กองธนูถูกทำลายเสียหายได้อย่างไร”
เสียงเดือดดาลของฮ่องเต้ดังลอยมาจากในตำหนัก
“สายลับของโจรตะวันตก ตงเหลียวทำเอากองธนู
ราบเป็นหน้ากลองได้เพียงนี้เชียวรึ เช่นนั้นอีกหน่อยพวกเขาคงเข้า
ออกวังของเราได้ตามใจชอบแล้วสิ”
ขุนนางจำ นวนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เห็นขันทีเอียง
ศีรษะกระซิบกระซาบแอบดูภายในตำหนักเข้า หนึ่งในนั้นจึงกระแอม
ออกมาเสียงเข้มออกมาพลางสะบัดแขนเสื้อก้าวเข้าไปเหล่าขันทีรีบยืนกลับเข้าที่ก้มหน้าก้มตาเก็บมือ มองรองเท้า
และเสื้อคลุมเบื้องหน้าผ่านไป
“ฝ่าบาท ผู้บังคับบัญชาฟ่านมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเสียงรายงาน ฮ่องเต้ก็พลันหยุดฝีเท้าที่เดินไปมาแล้ว
หันไปมอง สีหน้าเกรี้ยวกราดยังไม่คลายลง
วันนี้มันวันอะไรกัน
แรกเริ่มรองราชเลาบีบคั้นดึงดันจะตรวจสอบแม่นางเฉิงนั่นใน
การประชุมตอนเช้า ต่อมาเฉินเซ่าก็ขู่เข็ญว่าจะขอลาออก โวยวาย
กันจนใจของเขาว้าวุ่นไปหมด พอเลิกประชุมได้ไม่นานก็ค่อยๆ สงบ
ลงให้ได้หายใจหายคอ พอเสวยมื้อกลางวันเสร็จว่าจะบรรทม
สักหน่อย เพิ่งจะเอนกายลงก็ตกใจจนต้องลุกขึ้นมา
แผ่นดินไหวแล้ว!
แผ่นดินไหวในฤดูหนาวนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง บาดเจ็บ
ล้มตายย่อมมากกว่าเดิมแน่นอน
ฮ่องเต้ในตำหนักฉินเจิ้งหาความสงบมิได้ จนกระทั่งข่าวคราว
มาถึงอย่างว่องไวไม่ใช่แผ่นดินไหว
ฮ่องเต้ถอนหายใจ ดียิ่ง ในที่สุดก็จะได้ฉลองปีใหม่ดีๆ สักที
ไม่ต้องโดนเหล่าขุนนางตำหนิติเตียนพระองค์เรื่องการ
บริหารบ้านเมืองอื้ออึงอยู่ข้างหูแล้ว
ทว่าครู่ต่อมาพระองค์ก็ทรงเดือดดาลขึ้น
เกิดเรื่องขึ้นที่กองธนูแล้ว
กองธนู!ที่นั่นมีอาวุธร้ายกาจที่ข้องเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
และทหารอยู่
“ผู้บังคับบัญชาฟ่าน!”
สายตาตกลงบนร่างขุนนางเบื้องล่าง ทันใดนั้นก็พลันตก
พระทัยยกใหญ่
บุรุษคนนี้เกิดในป่าในเขา หน้าตาก็ไม่ดี ทว่าสภาพวันนี้ยิ่งน่า
ตกใจเหมือนคลานออกมาจากเตาเผาถ่านอย่างไรอย่างนั้น
“เกิดเรื่องขึ้นรึ”
ฟ่านเจียงหลินคุกเข่าโขกหัว“กระหม่อมรีบร้อนมาจึงไม่ได้ผลัดผ้าล้างหน้าล้างตาให้ดี ขอ
ฝ่าบาทประทานอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาทูลบอก
ฮ่องเต้โบกมืออย่างไม่สบอารมณ์
พระองค์ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่จะมาตุ้งติ้งสะดีดสะดิ้ง
“แล้วเกิดเรื่องใดขึ้น” เขาตรัสถาม “คลังเก็บสรรพาวุธของกอง
ธนูเสียหายได้อย่างไร”
ห้องเก็บสรรพาวุธสองห้องเสียหายเป็นเรื่องเล็ก แต่ธนูเสินปี้ที่
ทำเสร็จแล้วในนั้น รวมถึงวัสดุที่ใช้ทำธนูเสินปี้อีก เมื่อครู่มีคน
รายงานว่าคาดว่าธนูเสินปี้ถูกทำลายไปสามร้อยคันโดยประมาณ
ฮ่องเต้ปวดใจนัก
สามร้อยคัน!
“ผู้บัญชาการฟ่าน!” พระองค์เอ่ยขึ้น “กองธนูเป็น
สถานที่สำ คัญ เหตุใดจึงให้สายลับเข้ามาวุ่นวายได้!”
“ฝ่าบาท ไม่ใช่สายลับเข้ามาวุ่นวายพ่ะย่ะค่ะ เป็นกองธนูจับตัว
สายลับได้พ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจียงหลินรีบบอก “พวกเรามีรถปืนใหญ่สองคันที่เสียหาย เมื่อวานตรวจสอบพบว่าเช้าวันนี้จับผู้ต้องสงสัยได้
แล้ว กำลังไต่สวนพ่ะย่ะค่ะ”
ยังมีรถปืนใหญ่อีก!
ฮ่องเต้คิ้วกระตุกอีกหน
“รีบไปตรวจสอบ!” พระองค์ตะคอก
กองธนูยามนี้รอบด้านถูกทหารสวมเกราะปิดล้อมเอาไว้
ในขณะที่ฟ่านเจียงหลินและขุนนางคนอื่นๆ ตอบคำถามฮ่องเต้
ขุนนางที่เหลือก็ล้อมตัวหลี่เม่าที่เป็นต้นเหตุของเรื่องไว้รวมถึง
ช่างคนงานที่ขโมยรถปืนใหญ่มาไต่สวน
“พวกเราไม่ใช่สายลับจริงๆ นะขอรับ” หลี่เม่าและช่างคนงาน
คนนั้นยังคงบอกเช่นนี้
“เช่นนั้นเจ้าเล่ามาว่าเป็นกลไกใด” ขุนนางคนหนึ่งตวาดถาม
“นี่ไม่ใช่กลไกขอรับ” หลี่เม่าเงยหน้าพูด
“แล้วมันคืออะไร” ขุนนางตวาดใส่
หลี่เม่าริมฝีมปากขยับ คล้ายลังเลอยู่เล็กน้อยความลังเลนี้อยู่ในสายตาของทหารด้านข้างทั้งหมด เขายก
มือขึ้น สันดาบกระทุ้งใบหน้าหลี่เม่าอย่างโหดเหี้ยมจนล้มลง ใบ
หน้าที่เดิมทีเขียวช้ำ อยู่แล้วก็พลันมีรอยเลือดปรากฏขึ้น
หลี่เม่าไอกระอักเลือดลงบนพื้นคำหนึ่ง
“ตอบ!”
ขุนนางตะคอก
“ทำลายธนูเสินปี้ของเราไปเป็นร้อยๆ เจ้าอย่าหวังจะแกล้งตาย
ได้!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ็บจนหมดสติหรือว่าอย่างไร หลี่เม่าที่ล้มอยู่
บนพื้นจึงไม่เอ่ยคำใดเลย
เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นด้านนอกโถง คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ทุกคน ณ ที่นั้นสบตากัน
คนของสำ นักราชกิจส่วนพระองค์
“ได้คำตอบหรือยัง” คนด้านหน้าสุดของผู้มาเยือนเอ่ยถามขึ้น
อย่างไม่รีบร้อน
เหล่าขุนนางกองธนูแฝงไว้ด้วยความไม่สมัครใจ“กำลังไต่สวน” คนหนึ่งตอบขึ้น
“ใต้เท้าหัวหน้าพวกเราบอกว่าพวกเจ้าตรวจสอบไม่พบ เช่นนั้น
ก็มอบให้เป็นหน้าที่สำ นักราชกิจส่วนพระองค์เถิด” ผู้มาเยือนอมยิ้ม
บอก “จะได้ไม่ทำให้งานบ้านเมืองล่าช้า”
“นี่เป็นเรื่องในกองธนูของพวกเรา” ขุนนางกองธนูเอยด้วย
ความไม่พอใจ
ทหารอีกคนที่อยู่ทางด้านนี้โน้มตัวลงตรงหน้าหลี่เม่า
“หลี่เม่า เจ้าเคยเป็นคนในกองทัพมาก่อน ย่อมรู้ว่าสำ นัก
ราชกิจส่วนพระองค์เป็นสถานที่เช่นใด หากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของ
พวกเขา เช่นนั้นก็อยู่ไม่สู้ตายแล้ว” เขากระซิบบอกเสียงเบา “มีเรื่อง
ใดเจ้าก็พูดเสียแต่เนิ่นๆ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายอยู่ดี ตายอย่างสบาย
สบายจะเป็นการดีที่สุด”
หลี่เม่าไม่ได้พูดอะไร ช่างคนงานอีกด้านคุกเข่าโขกหัวให้ทีละ
คน
“ใต้เท้า ใต้เท้า ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ข้าได้รับเงิน
เขามา ข้ารับเงินเขา เขาบอกแค่ว่าใช้รถยิงหินสองคัน ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ โทษข้าสมควรตายหมื่นหน ข้าไม่ใช่สายลับจริงๆ นะ
ขอรับ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นสายลับด้วย ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นขอรับ ใต้เท้า
โปรดไว้ชีวิตด้วย ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย”
ช่างคนงานร้องไห้โวยวายเสียงดังอื้ออึงในโสตของทุกคน
ขุนนางชั้นผู้น้อยของสำ นักราชกิจส่วนพระองค์เดินเข้าไปใกล้ห
ลี่เม่าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“หลี่เม่า เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” เขาถาม
ในที่สุดหลี่เม่าก็เงยหน้าขึ้นจากพื้น มองขุนนางชั้นผู้น้อยผู้
สูงส่ง
“ข้าจะพูด” เขาหอบหายใจเอ่ยบอก “ข้าไม่ใช่สายลับ ข้า
ต้องการพบฝ่าบาทขอรับ”
ขุนนางชั้นผู้น้อยของสำ นักราชกิจส่วนพระองค์ขมวดคิ้ว
“เจ้ายังคิดจะพบฝ่าบาทด้วยหรือ” เขาหลุดยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้า
เป็นใครกัน”
“ข้าน้อยต้องการถวายขอล้ำค่าแก่ฝ่าบาท” หลี่เม่าเงยหน้า
บอก“ถวายของล้ำค่ารึ” เขาเอ่ยถาม “เจ้าจะถวายอันใด ไหนบอก
อะไรแปลกใหม่ให้เราฟังซิ อย่าใช้วิธีบ่ายเบี่ยงที่เราคุ้นเคยเช่นนี้เลย”
หลี่เม่าแย้มยิ้ม ออกแรงจะลุกขึ้นมา ทว่าสุดท้ายก็ไร้ผล
“รบกวนใต้เท้าทูลฝ่าบาทว่าสิ่งที่หลี่เม่าต้องการถวายให้ เป็น
อาวุธร้ายกาจที่ยอดเยี่ยมกว่าธนูเสินปี้ร้อยเท่า” เขาบอก
…
“เหลวไหลกันทั้งหมด!”
เสียงของเฝิงหลินดังขึ้นในตำหนัก เขาหันหลังไปมองฮ่องเต้
“นี่เป็นภัยพิบัติที่แม่นางเฉิงนั่นทิ้งไว้ ยามนี้ทุกคนต่างพากัน
ขู่เข็ญฝ่าบาทกันหมดแล้ว ผู้เป็นนายชื่นชอบสิ่งใด ผู้เป็นบ่าวยิ่ง
ชื่นชอบมากกว่า”
เพราะเฉินเซ่าสละตำแหน่งอยู่ที่บ้าน ในท้องพระโรงยามนี้จึง
มีเพียงเสียงของเฝิงหลินที่พูดอยู่คนเดียว
นั่นสิ ทุกคนทั่วทั้งแผ่นดินไม่ควรทำเหมือนแม่นางเฉิง
สีหน้าฮ่องเต้กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เก็บซ่อนความปรีดาที่
ได้ยินว่าเป็นอาวุธร้ายกาจที่ยอดเยี่ยมกว่าธนูเสินปี้ร้อยเท่าเมื่อครู่เอาไว้ แล้วนั่งตัวตั้งตรง
“ให้สำ นักราชกิจส่วนพระองค์ตรวจสอบเถิด” พระองค์ครุ่นคิด
ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยยืนยัน
“ฝ่าบาท หลี่เม่านั่นบอกว่าของชิ้นนี้สำ คัญยิ่ง จำ ต้องนำมา
ถวายฝ่าบาทด้วยตัวเอง ไม่กล้าผ่านมือฝากใครนำมาถวายพ่ะย่ะค่ะ
” หัวหน้าสำ นักราชกิจส่วนพระองค์ก้มหน้าทูลบอก
“บังอาจ!”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสขึ้น เป็นเฝิงหลินที่ตะคอกเสียงดัง
“เจ้านั่นวิเศษวิโสอย่างไร ตัวเองมีคดีไต่สวนพิจารณาคดีอยู่ใน
ศาลต้าหลี่โดยสำ นักราชกิจส่วนพระองค์ ไต่สวนว่ามีโทษก็ให้
ลงโทษ มีความดีความชอบย่อมมอบรางวัลให้ตามกฎหมาย ไม่ทัน
ไรก็จะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้อย่างไร!”
“ยังไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานว่าวิเศษวิโสอย่างที่ว่าจริงหรือไม่
ก็จะถวายของล้ำค่าโดยไม่รู้สึกกระดากอายแล้ว นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาท
ก็หวั่นไหวไปด้วย ขาดสติ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้
ของแม่นางเฉิงทำให้สติปัญญาสับสน!”นั่นก็จริง
แม่นางเฉิงถวายอาวุธวิเศษร้ายกาจที่อ้างว่าดีกว่าธนูจ้งหนู่
ร้อยเท่า ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังดังคาด
ทำให้ยามนี้พระองค์ได้ยินคำว่าร้ายกาจกว่าบางสิ่งบางอย่าง
ร้อยเท่า ก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ทว่านึกดูแล้วสาเหตุก็มาจากแม่นางเฉิงถวายธนูเสินปีแล้ว
ได้รับความดีความชอบ จึงทำให้ทุกคนในแผ่นดินสนใจ
พระองค์คงไม่ได้ยินเพียงเท่านั้นก็ยอมให้เขามาถวายด้วย
ตนเองเองหรอกกระมัง สุดท้ายก็วุ่นวายจนราชสำ นักเหมือน
ตลาดสดอย่างไรอย่างนั้น หากทำเช่นนั้นจะเป็นการทำลายความน่า
ย่ำเกรงของฮ่องเต้เสียเปล่า
นี่เป็นภัยพิบัติที่แม่นางเฉิงก่อไว้อย่างแน่แท้
ฮ่องเต้อ้าปากกำลังจะเอ่ยขึ้น กลับมีคนเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ตรวจสอบหลักฐานเสร็จแล้วมิใช่รึ”
เสียงที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง เห็นเป็นจางฉุนที่
น้อยนักจะเอ่ยปากขึ้นในราชสำ นักและเข้าร่วมการประชุมเกาหลิงปอที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาโดยตลอดพอเห็นจาง
ฉุนก็ยืนตัวตรงอย่างอดไม่ได้ ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อย่าง
แปลกประหลาด
แม้เขาจะไม่ชอบจางฉุนผู้นี้สักเท่าใดนัก แต่เทียบกับเฉินเซ่าที่
เป็นอริกันทางการเมืองมาตลอดแล้ว จางฉุนกลับไม่กินเส้นกันกับ
เขา จางฉุนสนใจเรื่องการศึกษาเล่าเรียนมาโดยตลอด มักจะ
ใช้คำสอนเต๋าปรัชญาต่างๆ จนเกาหลิงปอพลอยโดนหางเลขอยู่
บางครั้ง
ทว่าหนึ่งในจำ นวนน้อยนิดนี้ทำให้เขายากจะลืม
เขาจะทำอะไรกัน
เกาหลิงปอเก็บความคิดฟุ้งซ่าน หรี่ตาลงมองไป
“ตรวจสอบหลักฐานอันใด” เฝิงหลินถามขึ้นมา
“ประสิทธิภาพของอาวุธร้ายกาจที่เขาจะถวายน่ะสิ” จางฉุน
เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ใช่ว่าพิสูจน์ไปแล้วหรือไร”
“พิสูจน์ที่ใดกัน” เฝิงหลินขมวดคิ้ว
จางฉุนยื่นมืออกจากแขนเสื้อชี้ไปทางด้านหนึ่ง“เขานั่นอย่างไร” เขาบอก
ทุกคนมองไปตามมือของจางฉุน เห็นฟ่านเจียงหลินที่ยืนอยู่
รั้ง
ท้ายตรงมุมหนึ่ง
ฟ่านเจียงหลินที่จู่ๆ ถูกชี้ก็ตกอกตกใจยกใหญ่
“ข้าหรือ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ใช่ เจ้านั่นแหละ เจ้าเห็นมากับตาเลยไม่ใช่หรือไร” จางฉุนเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินได้สติขึ้น
“ใช่ ใช่ ใช่ ข้าน้อยเห็น!” เขาตะโกนขึ้นโดยพลัน สีหน้าท่าทาง
ตื่นเต้น “เสียงดังกัมปนาท ห้องเก็บสรรพาวุธเสียหายไปสองห้อง ธนู
เสินปี้ร้อยคันก็ด้วย!”
พูดประโยคนี้ไปพลางก้าวเข้ามา
“ฝ่าบาท เป็นอาวุธที่ร้ายกาจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
จริงด้วย นึกไม่ถึงว่าพริบตาเดียวห้องเก็บสรรพาวุธถึงสองห้อง
ก็เสียหายไปแล้ว ทำลายธนูเสินปี้ไปมากมายเพียงนี้ มองจาก
ประเด็นนี้ ร้ายกาจกว่าธนูเสินปี้ร้อยเท่าจริงๆ นั่นแหละฮ่องเต้ได้ฟังถึงตรงนี้ก็ทนฟังไม่ไหวแล้ว คำพูดของฟ่านเจียง
หลินเรียกความตื่นเต้นจากพระองค์ขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“เรียกตัวหลี่เม่าเข้ามา” พระองค์เอ่ย
ขันทีขานรับเสียงสูง หันหลังเดินออกไป ไม่เปิดโอกาสให้ฟ่าน
เจียงหลินเอ่ยอันใดอีก
จางเจียงโจว!
เฝิงหลินหันไปมองจางฉุน
แต่จางฉุนไม่ได้มองเขา สองมือถือฮู่ป่าน[1]ไว้ไม่เอ่ยอันใดอีก
ราวกับว่าเขาไม่เคยพูดอะไรมาก่อน นิ่งเงียบอยู่ด้านหลังเหล่า
ขุนนาง
[1] ฮู่ป่าน แผ่นป้ายเตือนความจำ ของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ
เทียบได้กับสมุดจดบันทึกที่ต้องถือพกติดตัวไปทุกครั้งที่มีการเรียก
เข้าประชุม ถวายรายงานเหตุบ้านการเมืองต่างๆ ต่อเบื้องพระพักตร์
ฮ่องเต้ในพระราชวัง เหล่าขุนนางทั้งหลายจะใช้สองมือยกแผ่น”ฮู่ป่าน” นี้ขึ้นสูงระดับหน้าตอนถวายรายงานโดยบนแผ่นป้ายนี้อาจ
มีการเขียนบันทึกเนื้อหาที่ต้องการจะกราบทูลและเมื่อกราบทูลเสร็จ
เรียบร้อยแล้วก็จะเก็บเหน็บไว้ที่เอว ซึ่งรวมถึงใช้จดบันทึก
พระราชประสงค์ หรือพระราชดำรัสต่างๆ ของฮ่องเต้ เปรียบเสมือน
แผ่นป้ายกันลืมชิ้นสำ คัญของเหล่าขุนนางจีน