พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 486 ทรงพลัง (1)
เพื่อให้มั่นใจว่าความลับจะไม่รั่วไหล และเพื่อความปลอดภัย
หน่วยอาวุธของกองธนูจึงตั้งอยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบชวีเจียงบริเวณเขต
พระราชฐาน ซึ่งเป็นสถานที่สำ คัญในการเก็บอาวุธอยู่แล้ว ดังนั้นจึง
ไม่อนุญาตให้ชาวเมืองเข้าใกล้มาโดยตลอด
แต่ถึงอย่างไรก็ยังตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงดังสนั่นเมื่อครู่จึง
สั่นสะเทือนจนชาวบ้านครึ่งค่อนเมืองต่างพากันตกใจ
ทหารรักษาพระองค์ในชุดเกราะสิบกว่านายวิ่งวุ่นกันบนถนน
ทำให้ถนนที่เดิมก็เต็มไปด้วยผู้คนอยู่แล้ววุ่นวายขึ้นกว่าเดิม
เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!
ข่าวถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วในเมืองหลวง ราวกับวิ่งตาม
เหล่าทหารรักษาพระองค์ไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกองธนูกลาย
เป็นที่รู้กันไปทั่ว
“นายท่าน นายท่าน ไม่ได้การแล้ว…”ภายในบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งกึ่งวิ่งกึ่งคลาน
เข้ามาพลางตะโกนเสียงสั่น
ชายสองสามคนเดินออกมาจากด้านในเมื่อได้ยินเสียงเรียก
แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ก็ได้ยินเสียงดังวุ่นวายมาจากประตูใหญ่
ตามมาด้วยเสียงพังประตู ทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งถือดาบและ
ปืนกรูกันเข้ามา
สีหน้าพวกผู้ชายเปลี่ยนทันที
“ล้อมเอาไว้ให้หมด ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!” แม่ทัพผู้
เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“ใต้เท้า ใต้เท้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” นายใหญ่ตระกูลหลี่ขยับ
เข้าไปถามด้วยสีหน้าซีดเผือด
“เจ้าคือหลี่ซินใช่หรือไม่” แม่ทัพคนนั้นหันมองเขาพลางเอ่ย
ถาม
นายใหญ่ตระกูลหลี่พยักหน้า
“คือข้าน้อยเอง ข้าน้อยตั้งใจค้าขายดอกไม้ไฟ และจ่ายอากร
ตรงเวลาเสนอมา ไม่เคย…” เขาเอ่ยยังไม่ทันพูดจบก็ถูกแม่ทัพนายนั้นพูดขัด
“หลี่เม่าคือลูกชายเจ้าใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม
หลี่เม่า!
“ใช่ขอรับ เขาเป็นลูกชายกับภรรยารองของข้า…” เขาเอ่ยตอบ
ยังไม่ทันพูดจบ แม่ทัพนายนั้นก็ยื่นมือมาชี้หน้า
“ใช่ก็ถูกต้องแล้ว!จับตัวไว้!” เขาตะคอก
เมื่อได้ยินคำสั่ง เหล่าทหารจึงพากันกรูเข้ามา ไม่นานก็จับพวก
หลี่ซินดันแนบพื้นไว้ได้ ในขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องทั้งชายหญิง
และเสียงสะอื้นของเด็กเล็กก็ดังขึ้นรอบด้าน ภายในบ้านตระกูลหลี่
โกลาหลขึ้นในทันใด
ค่ำคืนคืบคลานเข้ามา เรือนอันโอ่อ่าที่มีไฟเปิดอยู่เพียงดวง
เดียวช่างดูมืดสลัว
เหล่าคนตระกูลหลี่ถูกขังไว้ในห้องนี้เพื่อรอผล
“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ” หลี่ซินนั่งอยู่บนพื้นในสภาพผมเผ้า
ยุ่งเหยิงเอ่ยถามเสียงสั่น พลันหันมองชายคนหนึ่งที่เพิ่งถูกผลัก
เข้ามาในห้อง“ช่วงบ่ายที่มีสั่นสะเทือนไปทั้งเมือง” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงสั่น
“เป็นเพราะเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่กองธนู ทำลายธนูเสินปี้ไปนับร้อย”
ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดีว่ากองธนู และธนูเสินปี้คืออะไร
“คงไม่ใช่ฝีมือเขาใช่หรือไม่” หลี่ซินเอ่ยถามเสียงสั่น
ชายคนนั้นพยักหน้า สีหน้าราวกับกำลังจะร้องไห้
“ฝีมือเขาเลย” เขาเอ่ย
เมื่อได้ยินดังนี้ หลี่ซินถึงกับเป็นลมไปทันที
ผู้คนภายในห้องแตกตื่นขึ้นมาในทันใด ทั้งเสียงกรีดร้องและ
เสียงร้องไห้ดังไปทั่ว ทำเอาทหารอารักขาด้านนอกประตูต้องหันมา
ดุ ก่อนจะนำน้ำถ้วยหนึ่งมาป้อนให้หลี่ซินตามคำร้องขอ
“ตายแล้ว ตายแล้ว ตายแล้ว” หลี่ซินได้สติกลับมา เขาหลับตา
บ่นพึมพำขึ้น น้ำตาไหลอาบแก้ม “ทรัพย์สินตระกูลหลี่ของเราที่สร้าง
กันมากว่าร้อยปีต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของเขาทั้งหมด”
“คราวก่อนเขาทำไฟไหม้จนของถูกเผาไปครึ่งค่อนถนนก็
แทบจะทำให้ตระกูลหลี่ของเราล้มละลายแล้ว ข้าถึงได้บอกให้ไล่เขา
ออกจากเมืองหลวงไป แต่พวกเจ้ากลับไม่ฟัง”“…ใครไม่ฟัง ไม่ได้มีคนใจอ่อนคนเดียวเสียหน่อย จะมาโทษ
อะไรกันตอนนี้!”
“…ไม่ควรไปขอตำแหน่งราชการให้เขาตั้งแต่แรก หากไล่ให้ไป
ทำธุรกิจตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่มีวันนี้…”
เสียงกล่าวโทษดังขึ้นไปทั่วห้อง
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย มาคุยกันก่อนว่าสรุปมันเกิดอะไร
ขึ้นกันแน่ หากเขาเป็นสายลับจริง พวกเราก็อย่าคิดว่าจะได้มีชีวิตอยู่
ต่อไปเลย!” มีคนตะโกนเสียงดังขึ้น
ภายในห้องเงียบขึ้นมาครู่หนึ่ง แล้วจึงโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
ไม่นานหญิงคนหนึ่งก็ถูกลากจากกลุ่มหญิงสาวและเด็กเล็กในห้อง
ข้างๆ เข้ามา
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าไม่รู้เรื่องนะ” หญิงสาวคุกเข่าร้องไห้ “เขา
ไม่กลับบ้านมานานแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรและไปเจอใคร
มาบ้าง เขาเพียงบอกว่าต้องใช้เงินเพราะไม่มีตำแหน่งแล้วแถมยัง
ทำให้ท่านพ่อโกรธ เขาจึงต้องการทำการค้าเล็กๆ แต่ที่บ้านเราไม่มีเงิน ข้า ข้าก็เลยเอาสินสอดไปขายเพื่อเอาเงินให้เขาใช้…ท่านพ่อ ข้า
ไม่รู้จริงๆ ว่าเขากำลังทำอะไร”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ทุกคนในห้องก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นทั่วร่าง
แอบทำอะไรลับๆ อยู่จริงด้วย!
ตายแล้ว ตายแล้ว ตายแล้ว
“ตระกูลหลี่ของข้าทำไมถึงมีคนอกตัญญูแบบนี้!” หลี่ซินยก
มือขึ้นทุบอกร้องไห้
เมื่อฟ้าสว่างจากทางทิศตะวันออก ก็มีคนผลักประตูเข้ามาวาง
ข้าวถังหนึ่งไว้บนพื้น
“กินข้าว กินข้าว” เขาตะโกนบอก พลางมองดูชายหญิงไร้
ชีวิตชีวาที่นอนกองเละเทะอยู่ในห้อง
“ข้าวน่ะไม่กินหรอก ตายเร็วๆ แบบนี้ดีกว่า สมควรแล้ว” มีคน
เอ่ยขึ้น
คำพูดนี้ทำให้ชายหญิงที่ร้องไห้มาทั้งคืนแล้วเริ่มปล่อยโฮขึ้น
อีกครั้ง
“จะถูกลากไปตัดคอแล้วหรือ!”ไม่รู้ฮูหยินคนไหนตะโกนขึ้น เสียงร่ำไห้ดังลั่นขึ้นทั่วห้อง
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ นายท่าน นายท่าน ข้าเอง!”
มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย
“ท่านชายหลี่เม่าเองก็ไม่เป็นไร ท่านชายหลี่เม่าไม่เป็นไร”
ประโยคนี้ทำให้หลี่ซินซึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้นถึงกับพลิกตัวขึ้นมา
คนกลุ่มหนึ่งพากันกรูไปที่ประตู แต่ถูกทหารรักษาพระองค์ที่ประตู
ขวางไว้ เขาหันมองบ่าวซึ่งกำลังคุยกับแม่ทัพอยู่ในบริเวณบ้าน บ่าว
ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้แม่ทัพนั้น เมื่อเห็นแม่ทัพพยักหน้าจึงหลบ
ทางให้
บ่าวคนนั้นจึงวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่” นายใหญ่หลี่ตะโกนถาม
“นายท่าน ท่านชายหลี่เม่ากำลังจะถวายของวิเศษให้ฝ่าบาท
เป็นของวิเศษที่ทรงพลังยิ่งกว่าธนูเสินปี้เสียอีก” บ่าวตะโกนตอบ
เมื่อได้ยินดังนี้ ทุกคนในห้องต่างพากันไม่เชื่อ
“แปลว่า ไม่ใช่สายลับใช่ไหม” มีคนเอ่ยถามเรื่องสำ คัญ
บ่าวพยักหน้า“ไม่ใช่สายลับ” เขาเอ่ย พลางยกแขนเสื้อขึ้นปากเหงื่อ “วันนี้
ท่านชายจะพิสูจน์พลังของอาวุธวิเศษนี้ให้ฝ่าบาทดูด้วยตนเองที่
ทะเลสาบชวีเจียง”
เขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้นพร้อมยกมือขึ้นชี้ไปทางทะเลสาบชวีเจียง
เมื่อฟ้าสว่าง ถนนหน้าพระราชฐานถูกปิดการจราจร จนเมื่อ
ฮ่องเต้เสด็จผ่านไปแล้ว เหล่าประชาชนจึงพากันกรูเข้ามา
“ฝ่าบาทจะเสด็จไปทะเลสาบชวีเจียงแล้ว!”
“อากาศหนาวเช่นนี้ ฝ่าบาทจะไปทำอะไรที่ทะเลสาบชวีเจียง”
“มีคนจะถวายของวิเศษให้ท่าน เป็นของที่ทรงพลังยิ่งกว่าธนู
เสินปี้เสียอีก”
“นายหญิงเฉิงจะถวายของวิเศษอีกแล้วหรือ”
“ไม่ใช่นายหญิงเฉิงหรอก แต่เป็น… คนอื่น”
ชาวเมืองบนถนนถกเถียงกันสนุกสนาน แต่บัดนี้บริเวณ
ทะเลสาบชวีเจียงกลับเงียบสงัด
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนหอคอยริมทะเลสาบชวีเจียง โดยมีเหล่าขันที
นั่งกระจายอยู่รอบด้าน“ไร้สาระสิ้นดี!” เสียงเฝิงหลินดังขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาทไม่ใส่ใจ
ภาพลักษณ์ตนเอง ออกจากวังตามใจชอบ ทำให้ชาวเมืองพากัน
ซุบซิบนินทา ไร้สาระสิ้นดี”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ใต้เท้าเฝิงก็อย่าอารมณ์เสียไปเลย” เกาหลิง
ปอเอ่ย
ถึงแม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฮ่องเต้ แต่ในเมื่อ
ฮ่องเต้ทรงทำลงไปแล้ว ก็ไม่ควรอารมณ์เสีย
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ สีหน้าฮ่องเต้ก็ดูดีขึ้นมาทันที
“เป็นขุนนางผู้รับใช้แผ่นดิน แต่กลับไปเอาอกเอาใจคนอื่น”
เฝิงหลินเอ่ยขึ้น พลางถลนตาใส่เกาหลิงปอ
ถึงจะถูกชี้หน้าด่าทอ แต่เกาหลิงปอก็ไม่ได้กระโดดออกมา
หาเรื่องเหมือนเฉินเซ่า เพียงแต่หัวเราะเท่านั้น
ทะเลาะกับคนดื้อรั้นเช่นนี้ซึ่งหน้ามีแต่จะเสียหาย คนแบบนี้
ต้องแอบลงมือลับๆ เท่านั้น
“หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงเหลวไหล ค่อยระวางโทษ
พูดเท็จต่อหน้าฮ่องเต้ก็ได้ เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู” เกาหลิงปอหันไปพูดกับฮ่องเต้ต่อ
ฮ่องเต้พยักหน้า
เอาอกเอาใจคนอื่นอะไรกัน ทำแบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว