พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 486 ทรงพลัง (2)
ทหารรักษาพระองค์กองหนึ่งกรูขึ้นมาบนหอคอย ในมือถือโล่
ความสูงเท่าคน พวกเขายืนเบียดกันล้อมรอบฮ่องเต้และเหล่า
ขุนนาง
“อาวุธนี้ทรงพลังยิ่งกว่าธนูเสินปี้ จึงต้องเพิ่มการคุ้มกัน
เป็นธรรมดา” แม่ทัพนายหนึ่งหันมาเอ่ยกับฮ่องเต้
หลี่เม่ารวบสายตาจากบนหอคอยกลับมา
“ที่จริงแล้วหากเจตนาไม่ดี โล่พวกนั้นก็กันไว้ไม่อยู่หรอก” เขา
พึมพำขึ้น
ฟ่านเจียงหลินหันมองเขา
“แต่ป้องกันไม่ให้เจ้ามีเจตนาแบบนั้นได้” เขาเอ่ย
หลี่เม่าหันมายิ้มให้เขา เขาถูกทุบตีมาทั้งคืนจนหน้าบวมแดง
ต่อให้ยิ้มอยู่ก็ดูไม่ออก กลับกลายเป็นทำให้เขารู้สึกเจ็บจนหน้า
บูดเบี้ยว“ใต้เท้า รถยิงกระสุนพร้อมแล้ว”
ช่างฝีมือคนเมื่อวานเอ่ยเสียงสั่น
หลี่เม่าไม่พูดอะไรต่อ เขาสูดหายใจลึก แล้วเดินกะเผลกไปทาง
รถยิงกระสุน ฟ่านเจียงหลินพาทหารรักษาพระองค์กองหนึ่งเดินตาม
ไปติดๆ
“ทางที่ดีอย่าทำลายรถยิงกระสุนของเราให้เสียเปล่าก็แล้วกัน”
ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
ในตอนนั้น บนหอคอย ทหารจากหน่วยอาวุธก็กำลังอธิบาย
รายละเอียดให้ฮ่องเต้ฟัง
“…รถยิงกระสุนคันนั้นต้องได้รับการดัดแปลง จึงจะสามารถยิง
ระเบิดของเขาได้”
ฮ่องเต้พยักหน้า พลางเอนตัวเลยโล่ออกไปมองดู
“อันนั้น คือระเบิดที่หลี่เม่าสร้างขึ้นมาหรือ” เขาเอ่ยถาม
ขุนนางรีบหันไปมอง เห็นพวกหลี่เม่าและฟ่านเจียงหลินยืน
ประจำ อยู่ที่รถยิงกระสุนแล้ว หลี่เม่ากำลังก้มตัวลงไปหยิบระเบิดลูก
หนึ่งออกมาจากกล่อง“ใช่แล้วพะยะค่ะ” เขาเอ่ย “เขาทดลองมาหลายครั้ง จึงสร้าง
ระเบิดที่ใช้การได้ออกมาห้าลูก เมื่อวันก่อนใช้ไปแล้วหนึ่งลูก
เมื่อวานผู้บัญชาการฟ่านเผลอใช้ผิดไปอีกหนึ่งลูก”
หลี่เม่าวางระเบิดลงบนรถยิงกระสุนอย่างระมัดระวัง พลันหยิบ
ชนวนนำไฟขึ้นมา
เมื่อเห็นเขาทำดังนี้ เหล่าทหารรักษาพระองค์ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
แต่ขุนนางจากกองธนูที่เห็นเหตุการณ์เมื่อวานต่างพากันถอยหลัง
โดยไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องกลัว ข้าทำชนวนไฟไว้ยาวขึ้นกว่าเดิม เหลือเวลาพอให้
พวกเราวิ่งหนีได้” หลี่เม่าเอ่ยขึ้นพลางสะบัดมือจุดไฟขึ้น กำลังจะนำ
ไฟไปจุดชนวนแต่กลับหยุดนิ่งอีกครั้ง พลันหันมองฟ่านเจียงหลิน
“ใต้เท้าจะกล้าลองอีกครั้งหรือไม่”
ฟ่านเจียงหลินยื่นมือไปรับ พลันใช้ไฟจุดชนวนทันที
“ใต้เท้า ท่านน่าจะเตือนกันสักนิดก่อนจุดไฟ” หลี่เม่าตะโกน
ขึ้นพลางหันหลังวิ่งหนี
เมื่อเห็นเขาวิ่งหนี ผู้คนรอบด้านก็รีบวิ่งตามหลังไปฮ่องเต้เห็นภาพนี้จากบนหอคอยพลันหัวเราะขึ้น
“ต้องวิ่งด้วยหรือ หากอยู่ในสนามรบ ไม่ทำเสียภาพลักษณ์อัน
น่าเกรงขามของทหาร…” เขาส่ายหน้าเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็
เห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดดังกระหึ่ม
สั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว
ทหารรักษาพระองค์ที่ถือโล่อยู่ในมือพากันกระเด็น
ไม่เป็นระเบียบ เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างๆ ต่างพากันกรีดร้อง บางคน
ถึงขั้นกรูเข้ามาเอาตัวบังฮ่องเต้ไว้จนมิด
ฮ่องเต้เพียงรู้สึกเหมือนมองเห็นแสงระยิบระยับ เสียงก้องดัง
ขึ้นที่หู แต่ก็เหมือนราวกับไม่ได้ยินอะไรเลย
แบบนี้ไม่เสียภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของทหารหรอก เพียง
เสียงดังกระหึ่มนี้ ก็สามารถทำให้ศัตรูกลัวจนถอยทัพไปไกลได้
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวฮ่องเต้
น่ากลัวเสียจริง!
ราวกับผ่านไปเนิ่นนาน หลังจากขันทีผู้ติดตามนำยา
คลายกังวลถวายให้ฮ่องเต้เจ็ดแปดเม็ด ความวุ่นวายบนหอคอยจึงเริ่มสงบลง ฮ่องเต้เริ่มมองเห็นและได้ยินเสียงชัดขึ้น
“ไร้สาระ ไร้สาระสิ้นดี!”
เสียงเฝิงหลินดังก้องขึ้นที่ข้างหู
“ไม่เลวเลย ไม่เลว” ฮ่องเต้รีบลุกขึ้น เอ่ยขัดคำพูดของเฝิงหลิน
ด้วยคำชมไม่ขาดสาย
“ฝ่าบาท ทรงสามารถตรวจดูผลลัพธ์ได้แล้วพะยะค่ะ” ทหาร
จากหน่วยอาวุธเอ่ยขึ้น
หืม มีผลลัพธ์อะไรอีกหรือ แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮ่องเต้จึงเงยหน้าขึ้น เหล่าทหารรักษา
พระองค์ได้ถอยกำลังออกไปแล้ว ทำให้ภาพที่มองเห็นจากบน
หอคอยกว้างไกลดังเดิม สามารถมองเห็นบริเวณที่ถูกรั้วล้อมใน
ระยะหนึ่งลี้ได้อย่างชัดเจน
เดิมทีภายในรั้วนั้นมีวัวและแกะถูกขังไว้อยู่เจ็ดแปดตัว แต่
บัดนี้กลับไม่มีวัวและแกะวิ่งอยู่ในนั้นแล้ว รั้วที่ล้อมอยู่ก็ถูกทำลายจน
พังเช่นกัน และบนพื้น…
ฮ่องเต้ลุกขึ้นในทันใด“ฝ่าบาททรงระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีรีบเข้าไปพยุงตัว
ฮ่องเต้รีบเดินไปที่ริมหอคอย มือจับกำแพง มองลงไปอย่าง
ไม่อยากจะเชื่อสายตา
ถึงแม้จะห่างกันไกล แต่ก็ยังสามารถเห็นซากศพของวัวและ
แกะที่กระจายพร้อมคราบเลือดอันน่าสยดสยองอยู่บนพื้น
ขุนนางคนอื่นเองก็กรูกันเข้ามาดูเช่นกัน กระทั่งเฝิงหลินเองก็
ถึงกับหยุดพูด
บนหอคอยเงียบสงัดขึ้นมาทันที
ฟ่านเจียงหลินหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ ขมวดคิ้วขึ้น
เล็กน้อย
ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนที่ท่านชายโจวหกทดลองธนูเสินปี้ ที่
เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องทั้งบริเวณ
หรือว่าระเบิดนี้ไม่น่ากลัวมากพอ
สีหน้าฮ่องเต้ซึ่งอยู่บนหอคอยค่อยๆ แดงขึ้น จับรั้วหินด้วยมือที่
สั่นคลอนในระยะที่ห่างออกไปหนึ่งลี้ ระเบิดหนึ่งลูก กับวัวและแกะหนึ่ง
คอก
ระยะทำลายล้างสู้ธนูเสินปี้ไม่ได้ แต่ผลลัพธ์…
ธนูเสินปี้หนึ่งดอกสามารถจัดการได้เพียงคนเดียวเท่านั้น นี่ยัง
ไม่นับที่ยิงพลาด แต่ระเบิดเพียงลูกเดียวนี้จัดการได้ทั้งบริเวณเลย
ทั้ง
บริเวณเลยเชียวนะ!
ถึงแม้จะอยู่ไกล แต่ดูสภาพตรงนั้นแล้ว ก็รู้ได้ว่าวัวและแกะ
พวกนั้นคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่ แถมยังถูกระเบิดใส่จนร่างกายแหลก
เป็นเสี่ยงๆ
หากเปลี่ยนเป็นคนแล้วล่ะก็…
โยนระเบิดไปลูกหนึ่ง ก็รู้เลยว่าต้องเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
เป็นแน่
น่ากลัวเสียจริง!น่ากลัวเสียจริง!
เป็นอาวุธที่ทรงพลังยิ่งกว่าธนูเสินปี้หลายร้อยเท่าจริงๆ !
นี่ยังไม่ถึงครึ่งปี ก็มีอาวุธทรงพลังไว้ใช้ตั้งสองอย่างแล้ว!ฮ่องเต้เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าที่ปกติดู
ซีดเซียวอ่อนแอบัดนี้กลับแดงระเรือง
“ฟ้าทรงประทาน คุ้มครองราชวงศ์ของข้า!” เขาพึมพำขึ้น
ฟ้าทรงประทาน คุ้มครองราชวงศ์ของข้า!
“ฟ้าทรงประทาน คุ้มครองราชวงศ์ของข้า!” ฮ่องเต้ตะโกน
เสียงดัง
เสียงนี้ทำให้เหล่าขุนนางที่กำลังตกตะลึงพากันได้สติหัน
กลับมา
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
เกาหลิงปอตะโกนเสียงดัง พลางโค้งตัวคำนับ
ทันใดนั้น เหล่าขุนนางคนอื่นก็พากันตะโกนและคำนับตาม
สำ เร็จแล้ว!
เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวบนหอคอย ฟ่านเจียงหลิน
จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก มือที่กำไว้แน่นข้างกายค่อยๆ คลายออก
เหงื่อที่เปียกชุ่มถูกลมเย็นพัดจนจางหาย
“หลี่เม่า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้า!”บนหอคอย หลี่เม่าซึ่งถูกเรียกตัวไปเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาเอ่ย แต่ใบหน้าบวมช้ำ ทำให้มอง
ไม่ออกว่าสีหน้าเขาตื่นเต้นหรือไม่ “แต่กระหม่อมไม่กล้ารับรางวัล
คนเดียวพะยะค่ะ”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกไป ทุกคนในบริเวณต่างพากันตกตะลึง
“ไม่กล้ารับรางวัลคนเดียวหรือ เจ้าไม่ได้เป็นคนสร้างสิ่งนี้หรือ”
ฮ่องเต้เอ่ยถาม
หรือว่า…
ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางในบริเวณต่างนึกถึงชื่อหนึ่ง สีหน้าดู
แปลกไป
“มิใช่พะยะค่ะ กระหม่อมเป็นคนสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา” หลี่เม่ารีบ
เอ่ย
ราวกับได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้น
ฮ่องเต้ใช้มือลูบโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
“เพียงแต่ กระหม่อมสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้ ก็เพราะได้รับ
แรงบันดาลใจจากผู้อื่น” หลี่เม่าเอ่ยต่อ “หากมิได้รับการชี้แนะจากคนผู้นั้น กระหม่อมคงไม่สามารถทำสำ เร็จได้ ดังนั้น กระหม่อมจึง
มิกล้ารับรางวัลเพียงผู้เดียว”
ฮ่องเต้พยักหน้า ซื่อสัตย์และถ่อมตน ไม่เลวเลย
“ไม่เป็นไร ข้าจะปูนบำเหน็จให้ทั้งคู่” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
“เขาเป็นใครกัน”
หลี่เม่าโค้งหัวคำนับเพื่อขอบคุณ แล้วจึงเงยหน้าขึ้น
“นายหญิงตระกูลเฉิงจากเจียงโจวผู้พำนักอยู่ที่สะพานอวี้ไต้”
เขาเอ่ย
มือฮ่องเต้ที่ลูบโต๊ะอยู่ถึงกับหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับสีหน้าของ
เหล่าขุนนางในบริเวณ
จริงด้วย!เป็นนางอีกแล้ว!
ทำไมที่ไหนก็มีแต่นาง!
เฝิงหลินซึ่งยืนอยู่หลังผู้คนสีหน้าเหม่อลอย เขายืนนิ่ง
ท่ามกลางลมหนาวที่พัดโชยมา