พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 487 สอบถาม
รถม้าของฮ่องเต้แล่นไปอย่างช้าๆ บนถนนหน้าวังหลวง ถึงแม้
ในปีหนึ่งฮ่องเต้จะมีโอกาสออกจากวังเพียงสองสามครั้ง แต่บัดนี้
ฮ่องเต้ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้ามิได้มีท่าทีอยากมองดูทิวทัศน์ภายนอก
เลย
เสียงดังกระหึ่มราวกับยังดังขึ้นที่ข้างหู เมื่อครู่นี้ เพื่อเป็น
การพิสูจน์อานุภาพของระเบิดอีกครั้ง หลี่เม่าได้โยนระเบิดที่เหลืออีก
สองลูกออกไป แต่… ไม่ หลี่เม่าบอกไม่เรียกว่าโยน เอาเป็นว่า ไม่ว่า
จะเรียกว่าอะไร สุดท้ายเมื่อระเบิดถูกโยนออกไป รถยิงกระสุนก็
เสียหายจนไม่สามารถใช้ต่อได้ และบนพื้นก็ทิ้งคราบเลือดและเนื้อ
ของวัวและแกะไปทั่วบริเวณ
ภาพนั้นทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ได้
เข้าไปดูใกล้ๆ แต่มีขุนนางบางคนเข้าไปดูแล้ว ต่างพากันหันกลับมา
อาเจียนกันหลายคนรอยยิ้มโผล่ขึ้นบนใบหน้าฮ่องเต้ขณะที่รถม้าเขย่าไปมา
ทว่าช่างเป็นเรื่องน่ายินดี น่ายินดีเสียจริงๆ
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ไม่มีของขวัญที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
หลี่เม่าผู้นี้ช่างทำให้ประหลาดใจยิ่งนัก
หลี่เม่า ลูกชายจากภรรยารองของตระกูลหลี่พ่อค้าดอกไม้ไฟ
เคยมอบตำแหน่งให้เขาเองกับมือ เดิมรับตำแหน่งเป็นนายทวาร
เฝ้าประตู แต่เนื่องจากก่อเหตุไฟไหม้ช่วงก่อนหน้านี้จึงถูกลงโทษยึด
ตำแหน่งราชการ
ที่แท้เหตุไฟไหม้ในครั้งนั้นก็มิได้เกิดจากการตั้งใจก่อการร้าย
แต่ที่บอกว่าได้รับคำแนะนำจากนายหญิงตระกูลเฉิงมันเรื่อง
อะไรกัน
แปลว่ารับเขาเป็นศิษย์แล้วหรือ
“ฝ่าบาท”
ภายในโถงว่าการ หลี่เม่าโค้งหัวคำนับเอ่ยขึ้นว่า
“หลี่เม่ามิกล้าเรียกตัวว่าเป็นศิษย์พ่ะย่ะค่ะ”
เฝิงหลินซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลเงยหน้าขึ้นมองเขา“ฟ่านเจียงหลินเป็นคนจับตัวเจ้าได้หรือ” เขาเอ่ยถามขึ้นทันใด
หลี่เม่าตอบรับ
“แบบนั้นช่างบังเอิญยิ่งนัก” เฝิงหลินเอ่ย
เมื่อคำว่าบังเอิญถูกเอ่ยขึ้น เหล่าขุนนางในบริเวณก็เข้าใจทันที
พากันก้มหน้ายิ้ม
แววตาฮ่องเต้เป็นประกาย
“เจ้ารู้จักกับตระกูลเฉิงด้วยหรือ” เขาเอ่ย
“เรื่องนี้คงต้องเล่ายาวพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เม่าเอ่ย “กระหม่อมรู้จัก
นายหญิงเฉิง แต่นายหญิงเฉิงไม่รู้จักกระหม่อม”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
“เดิมตอนนายหญิงเฉิงนำขบวนศพของพี่น้องเข้าเมือง ได้นำ
เหล้าอันหอมหวานสาดไปทั่วถนน และจุดดอกไม้ไฟส่งวิญญาณ” ห
ลี่เม่าเอ่ยต่อ พูดถึงเรื่องในตอนนั้น พลันเงยหน้าขึ้น แววตา
เป็นประกาย ยกมือขึ้นวาดภาพบางอย่าง “พวกท่านยังจำ ดอกไม้ไฟ
วันนั้นได้หรือไม่ ดอกไม้ไฟที่จุดในตอนกลางวัน”
ดอกไม้ไฟวันนั้นหรือฮ่องเต้อยู่ในวังหลวงดังนั้นจึงไม่ได้เห็นแน่นอน ส่วนขุนนาง
คนอื่นก็ไม่ไปดูของแบบนั้นอยู่แล้ว ต่างได้ยินคนอื่นพูดต่อกัน
มาอีกที แต่ก็เพียงแค่พูดคุยสนุกสนานแล้วจบไปเท่านั้น
“ดอกไม้ไฟในวันนั้นทำไมหรือ” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างอด
ไม่ได้
“ดอกไม้ไฟในวั้นนั้นบินสูงเท่าหอคอยทีเดียว” หลี่เม่าเอ่ยอย่าง
ตื่นเต้น “ตระกูลข้า ตระกูลข้าเรียกได้ว่าผลิตดอกไม้ไฟที่ดีที่สุดแล้ว
แต่กลับผลิตดอกไม้ไฟที่สูงได้เพียงเรือนสามชั้นเท่านั้น แต่ดอกไม้
ไฟของนายหญิงเฉิงกลับบินได้สูงถึงเก้าชั้น ฝ่าบาท ฝ่าบาท สูงถึง
เก้าชั้นเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เก้าชั้นแล้วทำไมหรือ
สวยมากงั้นหรือ
ฮ่องเต้ไม่เข้าใจ
“ฝ่าบาท มิใช่ว่าอยากให้ดอกไม้ไฟบินสูงเท่าไหร่แล้วก็ทำได้
ตระกูลหลี่ของข้าเองก็พยายามศึกษามาโดยตลอด แต่ไม่ว่าอย่างไร
ก็ทำได้เพียงสามชั้นเท่านั้น” หลี่เม่าเอ่ย “กระหม่อมก็คิดว่าดอกไม้ไฟคงทำให้สูงได้เพียงเท่านั้น นึกไม่ถึง นึกไม่ถึงว่าจะมีดอกไม้ไฟที่
สูงได้ขนาดนั้นจริงๆ สามารถผลิตมันออกมาได้จริงๆ ”
“แล้วมันเกี่ยวกับระเบิดของเจ้าอย่างไร” ขุนนางนายหนึ่งเอ่ย
ถามอย่างอดไม่ได้
“เมื่อกระหม่อมเห็นดอกไม้ไฟในวันนั้นแล้ว จึงได้ปรับสูตร
การผลิต ให้ดอกไม้ไฟสามารถใช้ในสนามรบได้” หลี่เม่าเอ่ยตอบ
“เพียงเท่านี้หรือ เช่นนี้ก็นับว่าได้รับคำแนะนำจากแม่หญิง
เฉิงหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตกใจ
พูดเป็นเล่น!แบบนี้ก็นับว่าแนะนำหรือ
หลี่เม่าส่ายหน้า
“ไม่ใช่พะยะค่ะ” เขาเอ่ย
ฮ่องเต้ถอนหายใจ
“เดิมทีกระหม่อมทำไม่สำ เร็จมาโดยตลอด แถมยังทำให้
ไฟไหม้บ้านเสียอีก” หลี่เม่าเอ่ยต่อ “ไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว จึงรวบรวม
ความกล้าขอเข้าพบนายหญิงเฉิง”
จากนั้นนางจึงบอกวิธีทำให้เจ้าหรือฮ่องเต้ถามขึ้นในใจ แต่ยังมิทันได้เอ่ยออกไป
“นายหญิงเฉิงมิได้บอกวิธีทำให้กับข้า”
หลี่เม่าเอ่ยขึ้น
“แต่นางถามข้าว่าต้องการทำอะไร วางแผนว่าจะใช้มันอย่างไร
เพียงแค่สะกิดความคิด กระหม่อมจึงคิดออกว่าต้องนำระเบิดหินมา
ใส่ส่วนประกอบดอกไม้ไฟ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็โค้งหัวคำนับ
“ดังนั้น การที่กระหม่อมสามารถสร้างระเบิดขึ้นมาได้สำ เร็จ ก็
เป็นเพราะคำแนะนำจากนายหญิงเฉิง”
นี่ แบบนี้ก็นับว่าแนะนำหรือ
เพราะแค่นี้จริงหรือ
ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง
ช่างบังเอิญเสียหรือจริง
“เรียกแม่นางเฉิงเข้าวัง” ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นเอ่ย
ขันทีตอบรับแล้วรีบวิ่งออกไป พอออกมาถึงนอกห้องโถงจึงยื่น
นิ่งตะลึง“แม่นางเฉิงอยู่ไหนกัน” เขาเอ่ยถามคนข้างๆ
เมื่อวานเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น ศาลต้าหลี่จึงยังมิได้สอบสวน
คดีเฉิงเจียวเหนียงต่อ เมื่อได้รับข่าวว่าไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่เป็นกอง
ธนูเกิดเรื่องขึ้น ซึ่งคงต้องข้องเกี่ยวกับการลงโทษขุนนางจำ นวนมาก
ทุกคนจึงพากันไปดูเหตุการณ์ รวมถึงราชเลขาธิการที่มาเร่งให้รีบ
สรุปคดีด้วย ดังนั้นคดีของเฉิงเจียวเหนียงจึงถูกทิ้งไว้
แต่แน่นอนว่านางจะกลับบ้านไม่ได้ เพราะนางเป็นบุคคลที่
ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ตรวจสอบ
“มีน้ำร้อนแล้ว”
ภายในห้องขัง ปั้นฉินยื่นถังน้ำร้อนเข้ามา มองดูเฉิงเจียวเหนียง
ซึ่งนั่งอยู่บนพื้น
“นายหญิงล้างมือเสียหน่อยเถิด”
เฉิงเจียวเหนียงยกแขนเสื้อขึ้น จุ่มมือลงในถังน้ำเพื่อล้างมือ
“เดี๋ยวก็มีคนมาส่งข้าวแล้ว” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นขณะเก็บถังน้ำ พลัน
หันไปนั่งคุกเข่าข้างเฉิงเจียวเหนียง หันมองรอบด้านห้องขัง
ถึงแม้จะอยู่มาคืนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยที่จริงแล้ว ที่นี่ไม่นับว่าเป็นห้องขังหรอก เดิมทีต้องเป็น
ที่พักผ่อนของเหล่าผู้คุมขัง
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเกรงใจในชื่อเสียงของเฉิงเจียวเหนียง
คนที่ห้องขังจึงดูแลอย่างดี ส่วนคนอื่นที่ศาลต้าหลี่ก็ทำเป็นปิดตา
ข้างหนึ่งเช่นกัน
แต่แน่นอนว่ามันเทียบกับอยู่บ้านไม่ได้
“ไอ้เวรเฝิงหลิน” ปั้นฉินก้มหน้าลงก่นด่าเสียงเบาอีกครั้ง
ขณะที่กำลังก่นด่าอยู่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจาก
ภายนอก ทันใดนั้น ประตูก็เปิดอก ใครคนหนึ่งสวมชุดคลุมมีหมวก
ปิดหัว ในมือถือกล่องอาหารอยู่
คนส่งอาหารนี่เอง ปั้นฉินกำลังรีบลุกขึ้นยืน แต่
เขาคนนั้นเดินเข้ามาแล้ว
“กินข้าวเถิด” เขาเอ่ย
เสียงนี้ทำให้ปั้นฉินตกตะลึง เมื่อหันไปมองพลันตกใจจนสะดุ้ง
“ฝ่าบาท” นางตะโกนขึ้น “ท่านมาทำอะไรหรือ”
“มาส่งข้าวอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยพลางยกกล่องข้าวในมือขึ้นปั้น
ฉินรับกล่องข้าวมา รีบหาที่ปูฝ้าให้ แต่จิ้นอันจวิ้นอ๋องสะบัด
ชุดคลุมนั่งลงบนพื้นแล้ว
“ก็ไม่เลวนะ ไม่หนาวมาก” เขาเอ่ยขึ้น พลางหันมองรอบด้าน
“ข้าเพิ่งเคยมาห้องขังเป็นครั้งแรกเลย”
“ไม่ต้องเกรงใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางหัวเราะ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะร่า
“ต้องขอบคุณเจ้าสินะ” เขาเอ่ย
ปั้น
ฉินตัดสินใจไม่พูดอะไร คุกเข่าลง พลางเปิดกล่องอาหาร
วางบนผ้าปู
“องค์ชายกินแล้วหรือยัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“ยังเลย ข้ากินข้าวเช้าสายน่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เมื่อได้ยินดังนั้น ปั้นฉินจึงยื่นตะเกียบคู่หนึ่งให้ จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ยื่นมือมารับ
“ไทเฮาทรงเมตตาข้า ประทานพ่อครัวที่เก่งที่สุดในวังมาให้”
เขาเอ่ยขึ้น พลางยื่นมือไปคีบอาหาร “เจ้าลองอันนี้ดู” เฉิงเจียว
เหนียงพยักหน้าชิมอาหาร“…อันนี้ด้วย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย พลางขมวดคิ้ว “…เย็น
หรือยัง”
“ยัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าไม่เรื่องมากเรื่องกิน”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะขึ้น
“ใช่สิ หวานก็กินได้ ขมก็กินได้ ลำบากก็กินได้ สบายก็กินได้”
เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
“พอใจในสิ่งที่ตนมี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ทั้ง
สองคนไม่พูดอะไรต่อ ก้มหน้ากินอาหารของตัวเอง
ขณะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งดังขึ้นจากด้านนอก
“จวิ้นอ๋อง ฝ่าบาทเรียกนายหญิงเฉิงเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคน
หนึ่งยื่นหัวเข้ามากระซิบบอก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบลุกขึ้นยืน สวมหมวกที่ติดกับชุมคลุม หันไป
โบกมือลาเฉิงเจียวเหนียงแล้วเดินจากไป
ปั้น
ฉินรีบขยับตัวไปนั่งแทนที่จิ้นอันจวิ้นอ๋อง ในตอนนั้นเอง
ขันทีจากในวังก็ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว“แม่นางเฉิง” เขาเอ่ยพลางเผยยิ้ม สายตาสาดส่องภายในห้อง
แล้วจึงจับจ้องมาที่สองคนซึ่งนั่งตรงข้ามกันหน้ากล่องอาหาร และ
มองผ่านไป “ฝ่าบาททรงเรียกให้เข้าเฝ้า”
…
ในระหว่างที่รอคนไปรับตัวเฉิงเจียวเหนียง ฮ่องเต้จึงได้
พระราชทานอาหารกลางวันเลี้ยงเหล่าขุนนาง ภายในห้องโถงปีก
ข้างเหล่าขุนนางกินอาหารในวังอย่างเรียบง่าย และพากัน
กระซิบกระซาบอย่างอดไม่ได้
“หลี่เม่านั่นพูดจริงแค่ไหนกัน”
“เป็นเพราะเห็นดอกไม้ไฟนั่น และได้ฟังประโยคนั้นประโยค
เดียวก็สามารถสร้างออกมาได้จริงหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร มีคนเห็นดอกไม้ไฟนั่นตั้งมากมาย
คนอื่นทำไมไม่เห็นจะสร้างได้”
“ก็ถึงได้บอกว่าแม่นางคนนี้ไม่ธรรมดา ช่วยชี้แนะของวิเศษ
มาให้อีกแล้ว”ใครบางทำเสียงกระแอมจากด้านข้าง เหล่าคนที่พูดคุยกันอยู่
จึงหันไปมอง เห็นเฝิงหลินทำหน้าเคร่งเครียดนั่งอยู่ ทุกคน
จึงปิดปากเงียบนั่งตัวตรง
“ว่าแต่ ระเบิดนี้ทรงพลังนัก” ใครคนหนึ่งรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่เลย ตอนหลังวางโล่เอาไว้ แถมเอาโล่ติดป้องกันบนตัวแกะ
แต่ก็ยังถูกระเบิดจนบาดเจ็บอยู่ดี” อีกคนหนึ่งรีบพยักหน้าเอ่ยขึ้น
“ใช่ หนังวัวหนาจะตาย คิดดูสิ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนละก็…”
ใครคนหนึ่งพูดแทรก
หากเปลี่ยนเป็นคนละก็…
เหล่าขุนนางคิดตามอย่างอดไม่ได้ พลันนึกถึงภาพเลือด เนื้อ
และเครื่องในที่เห็นเมื่อครู่ ก็ทำให้รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาทันที พา
กันยกมือขึ้นปิดปาก หันหน้าไปอ้วกในโถ
ภาพนี้ทำให้คนอื่นที่อยู่ในบริเวณพากันกินไม่ลง ระหว่างที่
พูดคุยหัวเราะกัน ขันทีก็เดินเข้ามา
“แม่นางเฉิงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เนื่องจากนางเป็นคนธรรมดา จึงไม่มีสิทธิ์พูดต่อหน้าบัลลังก์
จำ ต้องยืนอยู่ในห้องโถงด้านข้างเหมือนคราวก่อน ถูกฮ่องเต้ไถ่ถาม
จากอีกฟาก ส่วนเหล่าขันทีก็ยืนอยู่ด้านนอกฉากกั้น ได้ยินเสียงหญิง
สาวก้มหัวโค้งคำนับ
“แม่หญิงเฉิง รู้จักหลี่เม่าหรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
“รู้จักเพคะ” เฉิงเจียวเหนียวเอ่ยตอบ
บอกว่ารู้จักจริงหรือ เหล่าขันทีหันหน้ามองกันพลันเผยยิ้ม
แล้วจึงตั้งใจฟังต่อ
“ที่เขาคิดค้นระเบิดได้ เป็นเพราะเจ้า” ฮ่องเต้เอ่ยพลางหัวเราะ
“เหตุใดจึงบอกว่าเขาคิดค้นระเบิดได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“มันมีมาตั้งนานแล้วมิใช่หรือเพคะ”
“แม่นางเฉิง ระเบิดที่เขาสร้างไม่เหมือนระเบิดที่เคยมี เมื่อวาน
เจ้ารู้สึกถึงแผ่นดินสะเทือนหรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียวตอบว่ารู้
“นั่นเป็นเพราะระเบิดของหลี่เม่า” ฮ่องเต้เอ่ย “เขาบอกว่า
คิดค้นออกมาได้เพราะได้รับคำแนะนำจากเจ้า แม่นางเฉิง เจ้ามีผลงานใหญ่เชียว”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“หม่อมฉันมิกล้ารับเป็นผลงาน กระหม่อมไม่เคยแนะนำ” นาง
เอ่ย
เฝิงหลินส่งเสียงหึขึ้นมา
แสดงละครแบบนี้อีกแล้ว!จงใจทำให้สับสน!
ฮ่องเต้เผยยิ้ม
“หลี่เม่าบอกว่าได้เห็นดอกไม้ไฟของเจ้า และได้ยินคำชี้แนะ
จากเจ้า จึงได้คิดออกแจ่มชัด”
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าคำนับ
“ฝ่าบาท เช่นนั้นแล้ว จะเป็นผลงานของหม่อมฉันได้อย่างไร
คนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังเก็บมาใส่ใจ คนทำไม่ได้ตั้งใจ คนมองกลับ
เอามาใส่ใจ เป็นเพียงเช่นนั้นเอง” นางเงยหน้าขึ้นเอ่ย
ฮ่องเต้ตกตะลึง
เฝิงหลินเองก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว“ฝ่าบาท” เขาตะโกนขึ้น พลางยกแผ่นไม้เป็นการแสดงว่า
ต้องการเอ่ยบางอย่าง “อย่าได้ฟังคำเหลวไหลของนางผู้เลยพ่ะย่ะค่ะ
!”
เขาเดินข้ามประตูเข้ามา เฉิงเจียวเหนียงจึงหันไปมองเขา
ทั้ง
สองจ้องมองกัน ก่อนจะเบือนหน้าหนีจากกัน