พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 489 ไม่ได้
ห้องโถงว่าการเงียบสงัดต่อไปอีกไม่นานนัก หรือนี่อาจเป็น
เพียงภาพลวงตาของเหล่าขุนนาง
“ใต้เท้าเฝิง”
เสียงของหญิงสาวคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับ
ที่ผ่านมา คราวนี้น้ำเสียงสงบและอ่อนโยนยิ่งนัก ทำให้ผู้ฟังรู้ทันทีว่า
เป็นเสียงของหญิงสาววัยสิบเจ็ดสิบแปดปี
“ท่านเป็นรองราชเลขาธิการ เป็นเสาหลักของแผ่นดิน จะให้
มาเปรียบเทียบกับหญิงสาวอย่างข้าได้อย่างไร”
น่าเสียดายที่คำพูดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดสิบแปดนี้ช่างฟังดู
แก่กล้าและโหดเหี้ยม
ประโยคนี้อาจฟังดูแปลก ปกติควรจะพูดว่าหญิงสาวอย่างข้า
จะไปเปรียบเทียบกับท่านได้อย่างไร ท่านชมข้ามากไปแล้วแต่หญิงสาวผู้นี้มิได้พูดผิด นางต้องการแสดงความเห็นแบบ
ไม่ปกติ
ใต้เท้าเฝิง ท่านจะมาหาเรื่องหญิงสาวอย่างข้าทำไม
ใต้เท้าเฝิง ท่านจะสู้หญิงสาวอย่างข้าได้หรือ
ใต้เท้าเฝิง แค่หญิงสาวอย่างข้าท่านยังสู้ไม่ได้หรือ
ใต้เท้าเฝิง ท่านทำให้ตัวเองน่าอับอายเสียจริง!
“คราวก่อนจางเจียงโจวก่นด่าบัณฑิตชราจนสิ้นชีพ บัดนี้หญิง
สาวจากเจียงโจวคงไม่ทำให้ขุนนางอับอายจนสิ้นชีพหรอกกระมัง”
ขุนนางหลายคนในห้องข้างๆ ต่างพากันคิดอยู่ในใจ บางคน
ถึงกับอดไม่ได้ เขย่งเท้ามาแอบมองผ่านช่องว่างระหว่างประตู
พวกเขาเห็นเฝิงหลินกำลังสั่นเทาไปทั้งร่าง แต่เพียงครู่เดียวก็
ยืนมั่นคงได้
“ฝ่าบาท หม่อนฉันซื่อสัตย์มาโดยตลอด ทำให้คนทรยศไม่สา
มารถหลอกลวงฝ่าบาทได้…” เขาสีหน้าซีดเซียว ยืดหลังตรงเอ่ยขึ้น
เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว แผนที่เคยวางไว้ต้องล้มเหลวไป คนต้อง
ปรับตัวไปตามสถานการณ์ สิ่งที่เสียไปแล้วอย่าไปคิดถึงมัน ต้องรีบคว้าสิ่งที่ยังคว้าได้ไว้ก่อน ในเมื่อช่วยชีวิตหมาจมน้ำไม่ได้ ก็ต้อง
เปลี่ยนเป็นช่วยตีมันแทน
สิ่งที่คว้าได้ในตอนนี้ก็คือทำตามใจฝ่าบาท พูดแทนฝ่าบาทใน
สิ่งที่ท่านพูดไม่ได้ พูดแทนฝ่าบาทในสิ่งที่ท่านอยากพูด
ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในสมองเกาหลิงปอ เขารีบชูแผ่นไม้ขึ้น
พร้อมก้าวเท้าออกมา
“เฝิงหลิน เจ้าคนเจ้าเล่ห์ ทำเป็นซื่อสัตย์ สมควรลงโทษ!” เขา
ตะโกนเสียงดัง
บนบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมของฮ่องเต้ดูผ่อนคลายลง ทรง
ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง
เมื่อเกาหลิงปอเดินออกมา ขุนนางคนอื่นก็ไม่พลาดที่จะ
เดินตามออกมา
เฝิงหลินหน้าซีดขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงยืดตัวตรง มือกำแผ่น
ไม้ไว้แน่น
“กระหม่อมไม่มีความผิด” เขาค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ
“ฝ่าบาทได้โปรดทรงตรวจสอบให้ชัดด้วย!”“เฝิงหลิน เจ้ากำลังจะบอกว่าฝ่าบาทไม่รู้เรื่อง แยกแยะไม่ออก
ลงโทษอย่างไม่เท่าเทียมหรือ”
เกาหลิงปอยกคิ้วขึ้นตะคอกใส่
เฝิงหลินเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ยกแผ่น
ไม้ในมือขึ้น
“หากฝ่าบาทไม่ฟังคำเตือนจากหม่อมฉัน เชื่อคำพูดที่ไม่
ซื่อตรงของคนทรยศ จะต้องถูกหลอกลวงจนแยกแยะดีชั่วไม่ออก”
เขาเอ่ย
บัดนี้ฝ่าบาททนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เฝิงหลิน เจ้ายังจะกล้าพูดอีก!” เขาเลิกคิ้วตะคอกเสียงดัง
“ธนูเสินปี้สร้างคุณประโยชน์แต่เจ้ากลับมองไม่เห็น ใครต่อใครถวาย
อาวุธวิเศษเพื่อชาติเจ้าก็มองไม่เห็น กลับเห็นแต่หญิงทรยศผู้นั้น
ขุนนางมากมายเต็มราชสำ นัก นี่เจ้าตาบอดจนมองไม่เห็นเลยหรือ
อย่างไร เจ้าพร่ำพูดว่าทำเพื่อข้าและแผ่นดิน แต่ให้ข้าเห็น
ความดีงามเป็นความผิด สงสัยในความดีงามอย่างนั้นหรือ นี่หรือ
คือการแยกแยะดีชั่วอย่างยุติธรรมของเจ้า”“เกาหลิงปอ พวกเจ้าทำเป็นแค่ยืนมองหรือ เฉินเซ่าถูก
ร้องเรียน พวกเจ้าจึงกลัวกันหมดงั้นหรือ”
ปกติจะไม่ค่อยได้เห็นฮ่องเต้กริ้ว เพราะฮ่องเต้สุขภาพไม่ดี
และเชื่อในการปกครองด้วยคุณธรรม บัดนี้ท่านพูดรุนแรงเพียงนี้
ทำให้ภายในห้องโถงโกลาหลขึ้นมา
“กระหม่อมผิดไปแล้ว”
เหล่าขุนนางในห้องโถงพากันโค้งตัวคำนับ เหล่าขันทีพลันนำ
ชามาให้ดื่มสงบจิตสงบใจ
เฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ ถอยออกไปข้างๆ มองดูเฝิงหลินถูกเหล่า
ขุนนางผลัดกันเดินมาตำหนิติเตียน
เฝิงหลินกำแผ่นไม้ในมือไว้แน่น พลางเอ่ยโต้ตอบเหล่าขุนนาง
สีหน้าซีดเซียวแต่ยังยืดหลังตรง ร่างกายไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
“น่ากลัวเสียจริง”
มีคนเอ่ยขึ้นช้าๆ
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมอง พบกับจางฉุน
“ช่วยไม่ได้จริงๆ” เฉิงเจียวเหนียวเอ่ยขึ้นเสียงเนิบสองคนเอ่ยประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกัน จากนั้นจึงเงียบไป พลาง
มองดูความโกลาหลในห้องโถง
“เฝิงหลินไม่รอดแล้ว”
เฉินเซ่าเอ่ยขึ้น
เขาปฏิเสธสาส์นเรียกเข้าเฝ้าของฝ่าบาทไปสองครั้งแล้ว และ
ขอพักอยู่ที่บ้าน แต่ถึงแม้จะพักอยู่บ้าน เมื่อการประชุมราชสำ นักจบ
ลงเขาก็ได้รับข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในทันที
นายใหญ่เฉินพยักหน้า
“ฮ่องเต้มิได้โง่เขลา และยังขี้สงสัยกว่าคนทั่วไป ฝีมือแม่นาง
เฉิงในครั้งนี้เรียกได้ว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง โหดเหี้ยมเสียจริง”
“ทั้งสองคนต่างหวังผลประโยชน์ส่วนตัว ใช้คำพูดตัวเองชักจูง
ฮ่องเต้ แต่เมื่อเทียบกับแม่นางเฉิงแล้ว เฝิงหลินก็มีโทษหนักกว่ามาก
” เฉินเซ่าเอ่ย
พูดถึงตรงนี้ก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
“หาเรื่องใส่ตัว” เขาเอ่ย“ว่าแรงเกินไป” นายใหญ่เฉินส่ายหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจใน
ทัศนคติของเขา
เฉินเซ่าหันไปขานรับท่านพ่อพร้อมคำนับ แต่ใบหน้ายังคง
โกรธเคืองอยู่
“แม่นางเฉิงเก่งสมคำเล่าลือจริงๆ ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยพลาง
หัวเราะ “การกระทำของเฝิงหลินในครั้งนี้ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องแย่ แต่
แม่นางผู้นี้ช่างดื้อรั้น อีกหน่อยต้องมีคนอยากใช้นางเป็นอาวุธ
ไม่น้อยเป็นแน่”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็หันมองเฉินเซ่า
เฉินเซ่าสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ขอเพียงนางสร้างประโยชน์ให้แผ่นดิน และไม่ทำร้าย
ประชาชน ดั่งที่นางบอก เหล่าโจรเองก็ยังมีประโยชน์ ท่านพ่อ ข้า
มิได้เป็นคนหัวแข็ง” เขาเอ่ย
นายใหญ่เฉินหัวเราะร่า
“… แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้นางกำลังเฟื่องฟู คนอื่นยังไม่กล้าและ
ไม่มีโอกาสกระโดดออกมา คราวนี้เฝิงหลินกระโดดออกมาก็คงเป็นไปตามที่นางต้องการพอดี” เขาเอ่ยต่อ “เฝิงหลินอยากจะ
เชือดไก่ให้ลิงดู นางก็คิดเหมือนกันมิใช่หรือ ผ่านครั้งนี้ไปแล้ว เมื่อ
มีตัวอย่างแบบเฝิงหลิน จะมีใครกล้าเปลี่ยนความคิดนางอีก จะ
มีใครทนประโยคนั้นไหว คนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังเก็บมาใส่ใจ แล้ว
ใครจะกล้าถูกฮ่องเต้ถามว่ามีเจตนาอะไร”
เฉินเซ่าสีหน้าสับสน พลันส่ายหน้า
“ดังนั้น จะบอกว่าแม่นางเฉิง…” เขาเอ่ย สุดท้ายก็ไม่พูดออก
ไป กลับถอนหายใจออกมาแทน
เขาเป็นคนช่วยนางหรือ ไม่น่าจะนับแบบนั้นได้ กลับกลายเป็น
นางช่วยเขาเสียมากกว่ากระมัง
“อีกไม่นาน เฝิงหลินจะต้องถูกส่งตัวออกจากเมืองหลวง เจ้าก็
ต้องเตรียมตัว ให้อภัยฝ่าบาทแล้วกลับไปเถิด” นายใหญ่เฉินเอ่ย
เฉินเซ่าขานรับแล้วจึงเดินออกไป
นายใหญ่เฉินยังนั่งดื่มชาต่อ พลางหันมองฉากกั้นด้านหลัง
จุดกลมๆ บนนั้นเพิ่มขึ้นมากว่าสองแถวโดยไม่รู้ตัวเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง วางถ้วยชาลง แล้วจึงหยิบพู่กันขึ้นมา
จุ่มหมึกสีดำ
“ท่านปู่”
นายใหญ่เฉินหันกลับไปมอง เห็นเฉินตันเหนียงยืนพิงขอบ
ประตูยื่นหัวเข้ามามองอยู่
เมื่อเห็นท่านปู่มองมา เฉินตันเหนียงก็เผยยิ้มกว้างขึ้นบน
ใบหน้า
นายใหญ่เฉินเองก็เผยยิ้มเช่นกัน พลันกวักมือเรียกนางเข้ามา
“ท่านปู่ทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” เฉินตันเหนียงเดินเข้ามาอยู่
ด้านหน้าฉากกั้น มือไขว้กันด้านหลังพลางเอียงคอมอง “จะระบายสี
ดำลงไปบนฉากกั้นอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
นายใหญ่เฉินพยักหน้า พลันยกพู่กันขึ้นวาดจุดกลมๆ ลงบน
ฉากกั้น
“ท่านปู่ ดูตัวหนังสือที่ข้าเขียนสิ” เฉินตันเหนียงเอ่ยขึ้น พลาง
หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านหลัง“ไปเรียนกับนายหญิงเฉิงมาหรือ” นายใหญ่เฉินเอ่ยถาม พลาง
ยื่นมือมารับและพยักหน้าชื่นชม “ไม่เลว ไม่เลว ฝีมือก้าวหน้าไปมาก
”
“นายหญิงเฉิงไม่อยู่บ้านเจ้าค่ะ” เฉินตันเหนียงเอ่ย “รอนาง
เสร็จธุระแล้วข้าจะไปเยี่ยมนาง”
นายใหญ่เฉินเงยหน้ามองนาง
“ตันเหนียง นี่เจ้าไม่เป็นห่วงนายหญิงเฉิงเลยหรือ” เขาเอ่ยถาม
เฉินตันเหนียงเงยหน้าขึ้น แต่ยังมองตัวหนังสือของตนเองอยู่
“ไม่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” นางเอ่ยตอบอย่างผ่อนคลาย “นายหญิง
เฉิงไม่ได้เป็นคนเลวเสียหน่อย ต้องไม่เป็นอะไรแน่”
ไม่ใช่คนเลว ก็แปลว่าจะไม่เป็นอะไรหรือ
แล้วเฝิงหลินเป็นคนเลวงั้นหรือ
หรือจะบอกว่านายหญิงเฉิงเป็นคนดี
นายใหญ่เฉินเผยยิ้มบางๆ พลันลูบแขนเสื้อหันมองตัวหนังสือที่
ตันเหนียงเขียน ไม่ถามเรื่องนี้ต่อในอีกฟากหนึ่ง นายใหญ่จางเองก็กำลังยกพู่กันขึ้นเติมเส้นบน
ฉากกั้นเช่นกัน ยังไม่ทันขีดเสร็จก็หยุดมองดูอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง
“เล็กไปหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น พลันยกพู่กันขึ้นเติมอีกขีดหนึ่ง
“เฉินเซ่าต้องใหญ่กว่าคนอื่นนิดหนึ่ง”
บ่าวชราซึ่งอยู่ข้างๆ หัวเพราะพลางส่ายหน้า
“เฝิงหลินได้ยื่นขอออกจากเมืองหลวงด้วยตนเองแล้ว” เขาเอ่ย
ขึ้น
“คราวนี้ค่อยฉลาดหน่อย รู้จักเชิญตัวเองออกไป ไม่ต้องให้
ฮ่องเต้ไล่ ยังพอเหลือศักดิ์ศรีอยู่บ้าง” นายใหญ่จางเอ่ยพลางหัวเราะ
พลันวางพู่กันในมือลง
“จะว่าไป ที่จริงแล้วเนื้อแท้ของเขาก็เป็นคนจิตใจบริสุทธิ์
แถมความสามารถในการจัดการบัญชีก็ไม่เลว” บ่าวชราเอ่ยพลาง
หัวเราะ “เป็นขุนนางที่มีความสามารถ เพียงแต่ไม่ควรทำหน้าที่รอง
ราชเลขาธิการ ไปเป็นซานซือในกรมพระคลังเสียดีกว่า”
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว หลังจากเรื่องในครั้งนี้เขาคงไม่
มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงอีก“สมควรแล้ว ใครใช้ให้เขาไปยุ่งกับหญิงโหดเหี้ยมผู้นั้น”
นายใหญ่จางส่งเสียงหึ “ไม่คิดบ้างหรือว่ามีคนต้องสูญเสียจาก
น้ำมือหญิงคนนั้นมามากเท่าไหร่แล้ว นางเป็นตัวซวย จับต้องแล้ว
เป็นอันต้องเจ็บตัวเจียนตาย แค่เจอหน้าก็ราวกับถูกพิษไปสามวัน
ดังนั้นเจ้าจึงเห็นว่าข้าไม่ไปหานาง… ”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึงตังขึ้นจากด้านนอก
“นายใหญ่ นายใหญ่”
นายใหญ่จางหันไปส่งเสียงชู่ให้บ่าวชราเงียบ
“ถ้านางรู้ว่านายใหญ่เรียกนายหญิงของนางเป็นตัวซวย นาง
คงไม่ทำอาหารให้เราสามวัน” เขากระซิบพลางหัวเราะเบาๆ
บ่าวชราส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลันหันมองสาวใช้เดิน
เข้ามาคุกเข่าคำนับ
“ขอบคุณนายใหญ่ นายหญิงของข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” นางทั้ง
หัวเราะทั้งร้องไห้
“ไม่เป็นไรแล้วหรือ” นายใหญ่จางแกล้งทำเป็นตกใจ “ปล่อย
กลับมาแล้วหรือ”สาวใช้ฉีกยิ้ม
“นายใหญ่ ยังจะมาแกล้งข้าอีก ฮูหยินส่งคนไปบอกข้าแล้วว่า
นายหญิงไม่เป็นไรแล้ว” นางเอ่ย
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” นายใหญ่
จางเอ่ยพลางหัวเราะ
“ข้าต้องขอบคุณลูกชายนายใหญ่ ในเมื่อเขาเป็นลูกของ
นายใหญ่จึงต้องขอบคุณนายใหญ่ด้วย”
สาวใช้เอ่ย พลางลุกขึ้นเดินจากไป เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของ
นายใหญ่จางและบ่าวชราดังออกมาจากในห้อง สาวใช้จึงเงยหน้าขึ้น
ปาดน้ำตาและฉีกยิ้มอีกครั้ง
“ขอบคุณข้างั้นหรือ”
จางฉุนเพิ่งกลับจากกิจราชการนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เขา
ขมวดคิ้วหันมองสาวใช้ที่คุกเข่าคำนับอยู่บนพื้น
“ปั้นฉินขอบคุณนายท่านที่ปกป้องนายหญิง” สาวใช้เอ่ยด้วย
ความเคารพ
“ข้าไปปกป้องนางตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉางจุนขมวดคิ้วเอ่ยถาม“ฮูหยินบอกว่า นายท่านช่วยพูดแทนนายหญิงและท่านชาย
ใหญ่ในการประชุมราชสำ นัก” สาวใช้ก้มหน้าเอ่ยขึ้น
จางฉุนวางหนังสือลง พลางส่ายหน้า
“ข้าพูดมิได้พูดแทนพวกเขาหรอก ข้าเพียงแค่เบื่อหน่ายที่
คนอื่นพูดมากในการประชุมราชสำ นัก ตอนนี้สำ นักบัณฑิตใกล้
จะเปิดสอนแล้ว ยังจะมาพูดมากไม่จบไม่สิ้นในเรื่องที่พูดให้จบได้ใน
ไม่กี่ประโยค ข้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น!” เขาเอ่ยขึ้น
สาวใช้ยังคงโค้งหัวคำนับอยู่
“แต่ก็ช่างมัน” จางฉุนมองดูสาวใช้ สีหน้าผ่อนคลาย “มีคนคิด
แบบเจ้ามากมาย ไม่มีอะไรต้องอธิบายเพิ่ม อธิบายไปก็
ไม่มีประโยชน์ แล้วแต่พวกเจ้าแล้วกัน”
สาวใช้ขานรับ
นางถอยออกมา หันไปคำนับอีกครั้งเมื่อเดินถึงประตู
“ขอบคุณนายท่านที่ช่วยอธิบายให้บ่าวฟังเป็นการเฉพาะ” นาง
เอ่ยแล้วจึงลุกยืนขึ้นเดินจากไปจางฉุนได้ยินประโยคนี้ถึงกับตกใจ สีหน้ากระอักกระอ่วน เขา
ส่ายหน้าพลางหัวเราะ แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ