พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 490 น่ายินดี
ในขณะที่คนนอกกำลังคาดเดากันไปเรื่อย เฉิงเจียวเหนียงยัง
คงอยู่ในวังหลวง
การประชุมราชสำ นักได้จบลงไปแล้ว แต่ฮ่องเต้ยังคง
ไม่พักผ่อน
เขานั่งอยู่ในห้องโถงว่าการ หลังจากกินยาคลายกังวลแล้ว
ฮ่องเต้เห็นหลี่เม่าเดินเข้ามา ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีหลังจาก
กริ้วอยู่พักใหญ่
การตัดสินใจของฮ่องเต้ในครั้งนี้คงจะสร้างความเปลี่ยนแปลง
ในราชสำ นัก และต้องมีคนมาถามถึงอาวุธวิเศษกันอย่างตื่นเต้น
เป็นแน่
“ขอบคุณนายหญิงที่ชี้แนะ” หลี่เม่าคำนับฮ่องเต้เสร็จแล้วจึง
หันไปคำนับเฉิงเจียวเหนียงด้วยความตื่นเต้น
“มิบังอาจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย โค้งตัวคำนับกลับ“แม่นางเฉิง หลี่เม่าบอกว่าดอกไม้ไฟในวันนั้นไม่เหมือน
ดอกไม้ไฟทั่วไป นี่เป็นความสามารถอีกอย่างของเจ้าหรือ” ฮ่องเต้
เอ่ยถาม
“เป็นเพียงสิ่งที่อาจารย์ทำไว้เพื่อความสนุกสนานเท่านั้นเพคะ
” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ขนาดของเล่นยังเป็นสิ่งที่คนอื่นเล่นไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นความสา
มารถพิเศษอีกอย่างหนึ่ง” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจ ในใจคิด
เสียดายอีกครั้ง แต่เสียดายไปก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องทำตาม
สถานการณ์ในปัจจุบันไปเท่านั้น เขาหันกลับไปมองหลี่เม่า “ระเบิดนี้
ผลิตออกมาเร็วที่สุดได้มากเท่าไหร่”
หลี่เม่าโค้งคำนับ
“ฝ่าบาท ระเบิดนั้นทำง่าย เพียงแต่การผสมส่วนประกอบนั้น
ไม่ง่าย” เขาเอ่ย “ต้องใช้เวลาพอสมควร”
ฮ่องเต้พยักหน้า
“ต้องการอะไรเจ้าก็ไปจัดการขอเอาเอง” เขาเอ่ย ใบหน้ายาก
ที่จะปกปิดความดีใจ “ก่อนปีใหม่ส่งไปให้เหล่าทหารที่ชายแดนสักหน่อย ถือเป็นของขวัญพวกโจรตะวันตกดีไหม”
“เกรงว่าจะไม่ทันการพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เม่ารีบเอ่ย “ระเบิดแบบนี้
อันตรายมาก ฝ่าบาทก็รู้ว่าเคยเกิดไฟไหม้ขึ้นที่บ้านกระหม่อม”
อันตรายจริงๆ ฮ่องเต้พยักหน้า ภาพระเบิดในวันนี้ลอยขึ้นมา
“การอัดดินระเบิดและจุดชนวนไฟก็ต้องให้เหล่าทหารฝึกให้
คล่องก่อนเช่นกัน มิเช่นนั้น อาจกลายเป็นทำร้ายตนเองแทนที่จะ
ทำร้ายศัตรู” หลี่เม่าเอ่ย
ฮ่องเต้พยักหน้า
“เช่นนั้นก็จัดทหารกองหนึ่งมาฝึกเพื่อการนี้โดยเฉพาะ” เขา
เอ่ย
หลี่เม่าขานรับ
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ยต่อ “ฝ่าบาททรงได้เห็นแล้ว ว่า
กระหม่อมดัดแปลงรถยิงกระสุน แต่ก็ยังใช้ไม่ได้ เพียงยิงกระสุนสอง
สามครั้งก็พังทลาย หากเป็นแบบนี้ จะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป”
นี่คือปัญหาใหญ่ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว หากเป็นเช่นนี้ การใช้ระเบิดคงไม่เหมาะสัก
เท่าไหร่
รถม้าคันหนึ่งต้องใช้ม้าสิบกว่าตัว ต่อให้เป็นม้าที่แข็งแรงแค่
ไหนก็คงต้องทิ้งมันไป
“รถยิงกระสุนหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงซึ่งนั่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าได้รับคำแนะนำจากข้า และเรียกข้าว่าเป็น
อาจารย์ ข้าก็คงไม่อาจอยู่เฉยๆ อย่างไม่สมชื่ออาจารย์ ข้าจะบอก
เจ้าเองว่าต้องดัดแปลงรถยิงกระสุนเพื่อใช้กับระเบิดของเจ้าอย่างไร”
ดัดแปลงรถยิงกระสุนเพื่อใช้กับระเบิด!
ฮ่องเต้และหลี่เม่าดีใจเป็นอย่างมาก
สมแล้ว สมแล้ว นี่หรือคือที่นางเคยบอกว่าต้อง
มีความต้องการก่อนจึงจะคิดออกว่าต้องทำอะไร
เหล่าพี่ชายบุญธรรมต้องการเลี้ยงม้า นางจึงมอบเกือกม้าให้
ต้องการฆ่าศัตรูเพื่อชาติ นางจึงมอบธนูเสินปี้ให้
บัดนี้พี่ชายบุญธรรมไม่อยู่แล้ว แต่ก็มีหลี่เม่าโผล่มาแทนเพียงได้เห็นครั้งเดียว ได้ฟังประโยคเดียวก็เรียกนางเป็น
อาจารย์ นางจึงต้องการตอบแทนหรือ
ฮ่องเต้นึกถึงข่าวที่ฟังมาจากทหารรักษาพระองค์ ว่าตอนที่
แม่นางผู้นี้สาบานเป็นพี่น้องบุญธรรมกับพี่น้องที่เขาเม่าหยวนซาน
นางทำไปเพียงเพราะพี่น้องเหล่านี้บังเอิญหาบ่าวที่หายตัวไปของ
นางพบ
เพียงเรื่องแค่นี้ นางถึงกับยอมเป็นพี่น้องร่วมสาบาน แถมยัง
มอบเรือนไท่ผิงให้ และดูแลเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ ต้องการฆ่าศัตรูก็
ส่งไปออกรบ ต้องการเกียรติยศก็เรียกร้องให้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ถึงกับรู้สึกชาไปทั่วร่าง
ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณขนาดไหนกัน
แต่รู้จักตอบแทนบุญคุณก็ดีแล้ว ดีแล้ว คนรู้บุญคุณแต่
ไม่ตอบแทนอย่างเฝิงหลินน่ากลัวเสียกว่า!
คิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็นึกโกรธขึ้นในใจอย่างอดไม่ได้ กล้าว่าข้า
แยกแยะไม่ออกได้อย่างไร!
ไอ้เฝิงหลินสมควรตาย!เขาก็แค่บังเอิญโชคดี ดูอย่างหลี่เม่าสิ ควานหาโชคให้ตัวเอง
ได้
แม่นางผู้นี้ไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ แต่เขากลับได้เป็นศิษย์คน
แรกของนาง นี่ถือเป็นโชคดีที่สุดแล้ว
ฮ่องเต้มองลงไป เห็นหลี่เม่าทำหน้ารู้ซึ้งในความหมายของ
ประโยคนี้เช่นกัน เขารู้สึกดีใจยิ่งนัก คุกเข่าลงทันที
“ท่านอาจารย์” เขาก้มหัวคำนับ “ขอบคุณที่ไม่รังเกียจ รับหลี่
เม่าไว้เป็นศิษย์”
เขาไม่รอให้เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบ รีบก้มหัวคำนับอีกครั้ง
ราวกับกลัวว่าหากรอช้าแล้วนายหญิงผู้นี้จะกลับคำ
“เช่นนั้น คราวหน้าหากมีคนตำหนิข้าว่าจงใจพูดให้สับสน ข้า
บอกว่าไม่รู้จักเจ้า ก็สมควรแล้วนะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ฮ่องเต้หลุดหัวเราะออกมา
ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กสาวที่คิดแค้นเรื่องนี้
ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน ทหารรักษาพระองค์ก็ได้ตรวจสอบ
ทุกรายละเอียดแล้วว่าหลี่เม่าไม่เคยมีสัมพันธ์กับเฉิงเจียวเหนียงมาก่อน ถึงขั้นไปถามเหล่าทหารที่ประตูเมือง ซึ่งต่างพูดเป็นเสียง
เดียวกันว่าวันนั้นหลี่เม่ายืนดูดอกไม้ไฟอยู่บนกำแพงเมืองและ
เหม่อลอยอยู่นาน ยังถูกคนล้อเลียนอยู่เลย
เพียงแค่เห็นดอกไม้ไฟก็คิดได้ว่าจะเอาไปทำเป็นอาวุธ ถือเป็น
คนที่มีเจตนาดี ตอนนั้นมอบตำแหน่งขุนนางให้เขา ก็ถือว่ามองคน
ไม่ผิด
ฮ่องเต้ลืมไปแล้วว่าเดิมทีเขาเพียงมอบตำแหน่งเท่านั้น แต่
ไม่ได้เลือกคนด้วยตนเอง
เขาแค่ก่อเหตุไฟไหม้จึงถูกยึดตำแหน่งขุนนางและถูกขุนนาง
คนอื่นดูถูก
หากจะว่าแบบนี้ หลี่เม่าก็เป็นคนผลักดันตัวเอง แล้วจึงได้
แม่นางเฉิงเป็นอาจารย์
ฮ่องเต้สีหน้าภาคภูมิใจ
“แม่นางเฉิงคิดมากไปแล้ว คนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังเก็บมา
ใส่ใจ คนทำไม่ได้ตั้งใจ คนมองกลับเอามาใส่ใจ หากมีคนจะตำหนิ
เจ้าอีก คงต้องคิดถึงเจตนาให้ดี” เขาเอ่ยขึ้น กึ่งล้อเล่นกึ่งพูดจริงขณะกำลังพูดคุยกัน ขันทีผู้หนึ่งก็เข้ามาอย่างร้อนรน สีหน้า
ตกใจ
“ฝ่าบาท” เขาคุกเข่าคำนับ “ยินดีกับฝ่าบาทด้วย”
ยินดีหรือ
ฮ่องเต้ตกตะลึง มีเรื่องอะไรน่ายินดีอีก
“เมื่อครู่พระชายาอันไม่สบาย” ขันทีเงยหน้าขึ้นเอ่ย “จึงได้
เชิญหมอหลวงมาตรวจ ทราบว่าพระชายาตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนี้ ฮ่องเต้พลันตกตะลึง
จริง จริงหรือ
“แม่ แม่นางเฉิง เจ้าอยู่ที่นี่พอดี ไปดูให้หน่อย” เขาเอ่ยขึ้น
โดยไม่รู้ตัว พลางหันมองเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงโค้งตัวคำนับ
“ฝ่าบาท กระหม่อมดูไม่เป็นพ่ะย่ะค่ะ” นางเอ่ย “กระหม่อมดู
เป็นเพียงโรคที่ถึงตาย”
ฮ่องเต้ไม่มีอารมณ์พูดเรื่องอื่น จึงให้หลี่เม่าและเฉิงเจียวเหนียง
ทูลลาไป พลันรีบหันไปถามรายละเอียด“ตั้งครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจอีกครั้ง
เมื่อเชิญหมอหลวงกลับแล้ว ฮ่องเต้ยังคงไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่
เกิดขึ้น
“ฝ่าบาท” พระชายาอันผู้ทรงเสน่ห์นอนพักอยู่บนเตียง พลัน
ยื่นมือมาจับแขนเสื้อฮ่องเต้ และเอียงตัวเข้าซบ “เกิดจากเมื่อครั้ง
วันที่ยี่สิบสี่ เดือนสิบ”
วันที่ยี่สิบสี่ เดือนสิบ
ฮ่องเต้ตกอยู่ในภวังค์ ใช่แล้ว เขายังจำ วันนั้นได้ เขาได้ค้างแรม
ที่ตำหนักพระชายาอันจริง วันนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกหรือ
วันนั้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้ามาพบเขาในวัง แถมยังนำขนม
มาถวาย
และแน่นอนว่าได้ถือโอกาสเอ่ยชมเชยแม่นางเฉิง
“นี่คือขนมที่ทำขึ้นเพื่อแม่นางคนนั้นในงานเลี้ยงหรือ”
“มิใช่พะยะค่ะ ส่วนที่ทำเพื่อเลี้ยงแม่นางทานหมดแล้ว ข้าตั้งใจ
ทำให้ฝ่าบาทและเหนียงเหนียงโดยได้รับคำแนะนำจากแม่นางเฉิง
จึงเพิ่มเติมส่วนประกอบลงไป ฝ่าบาทลองชิมดูพะยะค่ะ”ขนม!
“ขนมที่ข้านำมาวันนั้นเจ้าได้กินด้วยใช่ไหม” ฮ่องเต้รีบหันไป
ถาม
ตอนนั้นเขากินมากไม่ได้ และกำลังจะมาที่ตำหนักพระชายา
อันพอดี จึงถือมาด้วย
พระชายาอันตกตะลึง ผ่านมาตั้งนานแล้ว กินอะไรไปนางจะ
จำ ได้อย่างไร แต่นางก็ยังรู้ว่าต้องพูดจาต่อหน้าฮ่องเต้อย่างไร
“ได้กินเพคะ” นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “ฝ่าบาทตั้งใจนำมา
ให้ กระหม่อมก็ต้องชอบอยู่แล้ว ไม่ได้เหลือให้ใครกินเลยเพคะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋อง โอรสตัวปลอม เสียงบรรเลงชำ ระล้างตำหนัก
ขนมที่แม่นางช่วยแนะนำ ขอพร ลัทธิเต๋า…
ฮ่องเต้รู้สึกสับสน ความคิดอันแปลกประหลานวิ่งวนในหัว
“ฝ่าบาท ทรงร่างกายแข็งแรงดีแล้ว บัณฑิตถงอายุมากกว่า
ท่าน แต่ช่วงสามปีมานี้ยังมีลูกได้ตั้งสองคน” พระชายาจับแขน
ฮ่องเต้เอ่ยพลางหัวเราะ
บัณฑิตถง!ยาพวกนั้น!เป็นยาของแม่นางเฉิง!ฮ่องเต้หัวใจเต้นแรง หรือจะเป็นเพราะขนมนั่นจริงๆ
นี่มันช่าง…ดีจริงๆ !
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเฉิงเจียวไม่เหนียงไม่ใช่ศิษย์ลัทธิเต๋า และยิ่ง
ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นศิษย์ของเทพเซียน แต่บัดนี้ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอย่า
งอดไม่ได้
บางที…
…
“อะไรนะ พระชายาอันตั้งครรภ์หรือ”
เมื่อได้ข่าวจากกุ้ยเฟย เกาหลิงปอถึงกับตกใจ พลันส่ายหัว
ทันที
“มีก็มีไป หากเป็นพระธิดาชินอ๋องก็คงเลี้ยงดู แต่ไม่สนใจเลย
หรือว่าอาจจะมีชินอ๋องเพิ่มมาอีกคน”
“ไม่ใช่ ใต้เท้า พระชายาบอกว่า” นางกำนัลที่มาส่งข่าวรีบเอ่ย
ขึ้น นางหันมองซ้ายมองขวา และกระซิบต่อว่า “ได้ยินมาว่าวันนั้น
ฝ่าบาทและพระชายาอันได้กินขนมที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องนำมาถวาย
จึงทำให้ตั้งครรภ์”“พูดไร้สาระ!” เกาหลิงปอหัวเราะ พลันหันพิงเก้าอี้
“ใต้เท้า ได้ยินมาว่าขนมของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง นายหญิงเฉิงเป็น
คนทำเองกับมือ” นางกำนัลเอ่ย
นายหญิงเฉิงหรือ
เกาหลิงปอยืดตัวตรงทันที
ทำไมไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องของนาง
เป็นเพราะกินขนมของนางหรือ พระชายาจึงสามารถตั้งครรภ์
กับฮ่องเต้หรือ
“นี่สิเรื่องใหญ่” เกาหลิงปอเอ่ยขึ้นเสียงเนิบ