พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 491 หมดคำจะเอ่ย
ข่าวคราวเกี่ยวกับอาวุธวิเศษกระจายไปทั่วเมืองหลวง
“เจ้าสิ่งนั้น เสียงของมันดังก้องกังวาล จากนั้นพอมันระเบิดตัว
ก็มีควันลอยขึ้น ถ้าใครได้โดนเข้าคงเละน่าดู”
“ที่เจ้าว่ามา มันคืออาคมปีศาจร้ายงั้นรึ”
“ก็ประมานนั้นแหละ ก็นั่นเป็นอาวุธที่ลูกศิษย์เทพเซียนสร้าง
ขึ้นมานี่”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ อันนี้น่ะไม่ใช่ นี่เป็นฝีมือของพวกตระกูลหลี่ทำขึ้น
มาน่ะ”
เสียงพูดคุยดังกึกก้องทั่วโรงน้ำชา งานพลุของตระกูลหลี่กลาย
เป็นที่เลืองลือชั่วข้ามคืน ผู้คนมากหน้าจากหลายที่ต่างก็
มารวมตัวกัน
“นั่นเป็นพลุที่คล้ายกับกระสุนหินใช่หรือไม่”
“แล้วอันนั้นล่ะ”“ไหนข้าขอดูหน่อยสิ”
เสียงของผู้คนในร้านดังเกรียวกราว ชี้มือชี้ไม้พลางตะโกน
โหวกเหวก จนแท่งพลุที่วางอยู่แทบจะหมดร้าน เหล่าผู้ช่วยร้านต่าง
พากันยุ่งวุ่นวายจนเท้าแทบไม่ติดกับพื้น
เมื่อได้เห็นภาพเหล่านี้ เหล่าตระกูลหลี่ไม่มีใครบ่นเหนื่อยซัก
คำ แต่ละคนต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เม่าร์เป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับแสงสว่าง อีกทั้งพระท่านยัง
เคยทำนายไว้ว่าเขาจะได้เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
ขณะที่ถูกรุมล้อมไปด้วยเหล่าผู้คน
บางคนเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าก็หัวเราะร่วน บ้างก็
หัวเราะเจื่อน
“ไหนว่าเมื่อคืนยังบอกอยู่เลยว่าเจ้านั่นลงไม้ลงมือกับมารดา
ของตน เลยจะกดหัวเจ้านั่นลงในโถส้วมให้ขาดใจตายไปเลยมิใช่รึ”
มีคนป้องปากพูดงึมงำ กับอีกคนที่อยู่ข้างๆ
จากนั้นก็ถูกคนที่ยืนข้างๆ สะกิดเข้าให้หนึ่งที
ฮูหยินอีกคนที่อยู่ถัดออกไป ก็กำลังถูกผู้คนรุมล้อมอยู่เช่นกัน“คุณนายหลี่เม่า รีบมานี่ทีสิ” ฮูหยินเฒ่ากวักมือเรียก ใบหน้า
ยิ้มย่องผ่องใสราวกับดอกเก๊กฮวยที่บานสะพรั่ง
“ตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว อีกหน่อยข้าก็จะเป็นหญิงที่มียศถาบรรดาศักดิ์แล้ว
ไม่มีใครเทียบชั้นข้าได้”
ผู้คนที่ได้ยินก็ต่างพากันเสวนาด้วยความอิจฉาตาร้อนอย่าง
ไม่หยุดปาก
บรรยากาศคึกคักของร้านตระกูลหลี่ช่างต่างกับบริเวณสะพา
นอวี้ไต้ หน้าเรือนของแม่นางเฉิงยิ่งนัก
“วันนี้ไม่เขียนอักษรหรือ”
มีกลุ่มคนสองสามคนเดินเข้ามาถามคนที่ยืนอยู่บนถนนด้วย
ความอยากรู้
“วันนี้ก็ไม่ได้ติดป้ายประกาศว่างดเขียนแต่อย่างใด” คนที่ยืน
อยู่บนถนนตอบ พลางมองไปยังหน้าประตูเรือนตระกูลเฉิง
“เพียงแต่ว่า…”
คนที่เข้ามาถามก็เหลียวไปมองดูตาม พลางทำหน้าตกใจ“นั่นใครกัน” พวกเขาเอ่ยถาม
มีชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านตระกูลเฉิง
“นั่นน่ะเหรอ ก็เจ้าผู้พิพากษาปีศาจที่ขุนไม่ขึ้น เลี้ยงไม่เชื่องผู้
นั้น
ไงเล่า” คนบนถนนเอ่ยตอบ
ปั้น
ฉินที่มองดูอยู่จากทางเดินในเรือนอดไม่ได้ที่จะพึมพำเง้า
งอด แต่ก็ต้องสงวนท่าทีด้วยความระมัดระวัง ยังดีที่ไม่มีใครมาเห็น
เข้า ก่อนจะรีบหันหลังกลับไป
“เพิ่งมารู้ตัวตอนนี้ก็สายเสียแล้ว” ปั้นฉินเอ่ย
“เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ” สาวใช้เดินเร่อร่าเข้ามา พลางยื่นมือไป
แตะไหล่ปั้นฉิน “เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทำผิด ก็แค่ทำไปเพื่อ
ความสบายใจของตัวเองเท่านั้น”
ปั้น
ฉินรู้สึกขัดใจเล็กน้อย มองไปยังสาวใช้ที่ตอนนี้กำลังก้าว
เท้าเข้าไปในห้อง จากนั้นจึงได้เดินตามหลังไป
“ถ้าเขาอยากพบนายหญิง เจ้าว่านายหญิงจะยอมไหม” ปั้นฉิน
ถามขึ้นอย่างคับข้องใจ“ปั้นฉิน เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะ” สาวใช้ยิ้มเยาะ “จะได้พบ
หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนายหญิง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเอ่ยปากขอพบ
หรือไม่”
ปั้น
ฉินขานรับ แต่ทว่าไม่นานก็เป็นไปตามคาด บ่าวที่เฝ้าประตู
ก็เดินมาบอกว่าเฝิงหลินนั้นโค้งคำนับสามทีก็เดินจากไป
ดูท่าแล้วคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก
เมื่อประตูถูกเปิดออก เมื่อได้เห็นหญิงสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดิน
ออกมา เหล่าผู้คนที่มายืนคอยหน้าประตูก็รีบพุ่งเข้าไปหานาง
“แม่นางเฉิงจะเขียนตัวอักษรแล้ว”
“ดูได้อย่างเดียว ห้ามถามอย่างนั้นหรือ”
“ถามได้สิ แต่เจ้าจะดูแต่ตาแล้วนึกรู้ได้ด้วยตนเองแบบหลี่
เม่าก็ได้ ไม่แน่เจ้าอาจจะถูกแม่หญิงชวนมาเป็นลูกศิษย์ก็เป็นได้”
“งั้นข้าจะให้แม่นางเฉิงดูลายมือของข้า เผื่อนางจะช่วยให้
คำแนะนำได้บ้าง”
เสียงผู้คนพูดคุยหัวเราะกันอึกทึก แต่พอเมื่อเฉิงเจียวเหนียง
คว้าพู่กันขึ้นมา ทุกคนก็เงียบเสียงลง“ใครยังไม่ซักผ้าซักผ่อนก็รีบๆ เข้าล่ะ เดี๋ยวน้ำจะกลายเป็น
สีน้ำหมึกไปเสียก่อน” เหล่าฮูหยินบนถนนต่างพากันเรียกร้อง
ความสนใจ
ในขณะที่ฝั่งนี้อยู่ในความสงบ อีกฝั่งหนึ่ง เหล่าฮูหยินก็กำลัง
พูดคุยหยอกล้อกันเจี๊ยวจ๊าว หันหยวนเฉาที่กำลังเบือนหนีหน้าอยู่นั้น
ก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“นายท่านจะไปดูไหมขอรับ” บ่าวของเขาเอ่ยถามขึ้น
หันหยวนเฉาส่ายหน้า ขนาดเฝิงหลินยังทำได้แค่โค้งคำนับ
สามทีแล้วเดินจากไป แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างเขาที่จะขอ
เข้าไปเสนอหน้า แถมยังเคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าเขากับนางอุดมการณ์
ไม่ตรงกัน
ถ้อยคำทั้งหลายในราชสำ นักถูกแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว
โดยเฉพาะตรงเหตุที่เกิดขึ้นในศาลาพักม้าก็ถูกกระจายอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งเรื่องราวที่ถูกต่อเสริมเติมแต่งแล้วนำไปพูดเป็นตุเป็นตะ จึงไม่
แปลกที่ผู้รับฟังมาอีกทีจะรู้สึกตกตะลึงและประหลาดใจเสียจนต้อง
ปักธงเชื่อ“ก็อย่างที่เขาว่ากันไว้ อย่างไรเสีย ธรรมะย่อมชนะอธรรม
อยู่แล้ว ผีมันก็เป็นผีอยู่วันยังค่ำ เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาก็ทำตัว
จองหองพองขน ไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร ดันไปกำแหงกับ
เทพเซียนเสียอย่างนั้น!”
หันหยวนเฉาไม่เห็นด้วยกับประโยคเมื่อครู่ คนอย่างเฝิงหลิน
น่ะหรือจะเป็นพวกจองหองพองขน
เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์เริ่มพลิกแพลงไปก็เท่านั้นเอง
ผู้ชนะย่อมได้เปรียบกว่าผู้แพ้อยู่แล้ว
เรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก บิดาของเขาเคยเล่าเรื่องที่
นางปะทะกับภิกษุโจร ดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไร แต่พอได้ลงมือเท่า
นั้น
แหละ ถึงตายชนิดที่ว่าเลือดตกยางออกเลยทีเดียว
นางเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ
บางมุมก็เหมือนแม่พระมาเกิด แต่อีกมุมก็เหี้ยมโหดชนิดที่ว่า
ไม่ยั้งมือเลยสักนิด
“เด็กบ้าแห่งเจียงโจว…” หันหยวนเฉาพึมพำขึ้น พลางหันหลัง
กลับ “ไปกันเถอะ”หลังจากที่ปีนขึ้นม้าแล้วออกตัวไปไม่กี่ก้าว อยู่ๆ เขาก็เอี้ยว
หันไปด้านหลังอย่างอดไม่ได้ ภาพที่เขาเห็นคือหญิงสาวที่ถูกรุมล้อม
ไปด้วยผู้คน กำลังเขียนตัวอักษรด้วยอย่างเงียบสงบ จู่ๆ เขาดันไป
สบตากับหญิงสาวอีกผู้หนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตู แต่ไม่วายเขาก็
เบนสายตาไปที่อื่น
ความรู้สึกอิ่มเอมใจเหมือนครั้งที่เจอนางตอนแรกนั้นหายไป
ไหนแล้วนะ ทว่าภายในใจเขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากมายเท่าไหร่
ราวกับว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปเสียแล้ว
หันหยวนเฉารีบควบม้าฝ่ากลุ่มคนทะยานออกไปตามถนนใน
เมือง
ด้วยความช่วยเหลือจากท่านพ่อ ทำให้ครั้งนี้หันหยวนเฉาได้
พำนักในศาลาพักม้า พอเขาเดินทางมาถึง ผู้ช่วยประจำ ศาลาพัก
ม้าก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านบัณฑิตหัน มีคนมาขอพบท่านขอรับ” เขาเอ่ยบอก
ตั้ง
แต่ที่ท่านพ่อของเขาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถึงสามครั้ง
สามคราในหนึ่งวัน ส่งผลให้มีผู้คนมากหน้าหลากตาเข้าหาพวกเขาเป็นจำ นวนมาก มีทั้งคนเก่าคนแก่ คนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักเข้ามา
วุ่นวายกันไม่หยุดหย่อน แต่ก็ถือว่าเป็นการขยายฐานคนรู้จักให้
มากขึ้น
ว่าไปแล้ว เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็เป็นเพราะแม่นางเฉิงผู้นั้น
“ท่านพ่อข้าไม่อยู่รึ” หันหยวนเฉาเอ่ยถาม พลางลงจากม้า
“ใต้เท้าหันอยู่ขอรับ เพียงแต่ว่า เขาผู้นั้นประสงค์จะพบท่าน
ขอรับ” ผู้ช่วยเอ่ยยิ้มกริ่ม ผายมือไปยังห้องด้านใน
หันหยวนเฉาเงยหน้ามองไปตามมือผู้ช่วย ปรากฏชายผู้หนึ่ง
เดินออกมาจากห้อง แต่งกายด้วยอาภรณ์สะอาดสะอ้าน ดูๆ แล้ว
ไม่เหมือนเศรษฐี แต่ก็ไม่ได้ดูยาจกจนเกินไป
ใบหน้าของชายผู้นี้มองอย่างไรก็ไม่รู้สึกคุ้นสักเท่าไหร่
เขาคือใครกัน
“ท่านชายหันผู้มีพระคุณ”
หลี่ต้าเสาย่างเท้าไปด้านหน้า พร้อมโค้งคำนับ
คำว่าผู้มีพระคุณเมื่อครู่ ทำให้หันหยวนเฉาฉุกคิดอะไรขึ้นได้
เขามองไปยังชายที่กำลังโค้งตัวอยู่อย่างละล้าละลังผู้มีพระคุณอย่างนั้นหรือ
สรุปแล้วใครเป็นผู้มีพระคุณต่อใครกันแน่นะ
ทั้ง
สองนั่งลงในห้อง บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด หลี่ต้าเสาเองก็
นิ่งเงียบ พลางก้มลงแล้วยื่นซองเงินให้กับเขา
“นี่ท่านจะทำอันใดหรือ”
หันหยวนเฉามองแวบเดียวก็รู้ว่านั่นคือซองเงินที่เขามอบคืนให้
กับร้านไท่ผิง จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถาม
“ท่านโปรดฟังข้าอธิบายก่อน” หลี่ต้าเสารีบชิงพูดก่อนที่เขา
จะเอ่ยถาม จากนั้นจึงเอ่ยต่อพลางอมยิ้มเล็กน้อย
หันหยวนเฉามองเขา
“ข้าเองก็เพิ่งรู้เรื่องระหว่างท่านกับแม่นางเฉิง ท่านเป็นผู้มีคุณ
ของแม่นาง…” หลี่ต้าเสาอธิบาย
“ไม่สิ แม่นางเฉิงเป็นผู้มีคุณต่อข้าต่างหาก” หันหยวนเฉารีบ
แย้ง
หลี่ต้าเสาขานรับ“นั่นเป็นเรื่องระหว่างแม่นางเฉิงกับท่าน ส่วนซองเงินนี้
เป็นธุระของท่านกับข้า มิได้เกี่ยวข้องกับแม่นางแต่อย่างใด” เขา
อธิบายต่อ
หันหยวนเฉาตะลึงนิ่งอยู่ชั่วขณะ
“น้ำใจที่แม่นางมอบให้ท่าน คือการให้ความช่วยเหลือท่านโดย
ไม่หวังสิ่งตอบแทน” หลี่ต้าเสาเอ่ยต่อ “นางมอบหน้าที่พ่อครัวให้ข้า
ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนแก่ท่านแล้ว เดิมซองเงินนี้เป็นของข้า แต่ข้า
ประสงค์จะมอบให้แก่ท่าน”
เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ
“ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก มันเกินตัวไป” หันหยวนเฉาผลักมือออก
แต่หลี่ต้าเสาก็ดันซองเงินคืนกลับไปที่เขา
“ท่านเอ่ยเช่นนี้ ไม่ดูใจจืดใจดำไปหน่อยหรือ” หลี่ต้าเสาเยื้อน
ยิ้ม “เมื่อก่อนท่านเคยรับไว้นี่นา”
หันหยวนเฉาหน้าเริ่มถอดสี
“ข้าไม่ได้มีเจตนาปรักปรำท่านแต่อย่างใด” หลี่ต้าเสารีบแก้ตัว
“ข้ารู้ดีว่าเป็นเพราะแม่นางเฉิง ท่านเลยต้องคืนเงินก้อนนี้ ที่ข้าตั้งใจมาพบท่านก็มิได้มีกงการอื่นใด เพียงแต่ต้องการมาบอกท่านว่า
เงินก้อนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแม่นางเฉิงแต่อย่างใด ดังนั้นแล้ว
ขอท่านโปรดรับเงินก้อนนี้ไว้ด้วยเถิด”
ขณะที่หันหยวนเฉากำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมา หลี่ต้า
เสาก็ก้มคำนับให้เขา
“ท่านสบายใจได้เลย ข้ามาคืนเงินเพราะความเข้าใจผิดของ
ท่าน มิได้มีเจตนามาบังคับให้ท่านรับเงินก้อนนี้แต่อย่างใด ข้าพอ
เข้าใจความรู้สึกของท่านและสิ่งที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ ข้าแค่
มาคืนเงินที่ท่านควรได้ก็เท่านั้นเอง แล้วจากวันนี้เป็นต้นไป ท่านจะ
ไม่ได้รับเงินกำไรจากร้านไท่ผิงอีก” หลี่ต้าเสาเอ่ยต่อ “หลังจากนี้ไป
เรื่องบุญคุณอยู่ที่ใจ ส่วนเรื่องเงินทองก็ตัวใครตัวมัน”
หันหยวนเฉาปรายตามองหลี่ต้าเสาอยู่ครู่หนึ่ง พลางพยักหน้า
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่เอ่ยถึงอดีต แล้วมาให้แล้วไป
” หันหยวนเฉายิ้มละไม
หลี่ต้าเสาโค้งคำนับให้เขาอีกรอบ“ข้าขอบคุณน้ำใจท่านนัก” หลี่ต้าเสากล่าว พลันหยัดตัวขึ้น
“ข้าขอตัวก่อน”
ไม่มีหัวข้อสนทนาอื่นแทรกขึ้นแม้แต่นิด
หันหยวนเฉามองไปที่เขา
“เดินทางปลอดภัย” หันหยวนเฉาเอ่ย
หลี่ต้าเสาหันหลังเดินออกไป พอถึงหน้าประตู เขาอดไม่ได้
ที่จะหันมาพูดกับหันหยวนเฉา
“ท่านชายหัน ข้าอยากจะบอกกับท่านว่า จริงๆ แล้วแม่หญิง
เฉิงนางเป็นคนดีนะ” หลี่ต้าเสาบอกกับเขา
เมื่อเอ่ยจบ ก็เห็นหันหยวนเฉายืนยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้น
“มีคนห้ามเจ้าพูดประโยคนี้สินะ” หันหยวนเฉาเอ่ยถาม
หลี่ต้าเสายิ้มอย่างมีเลศนัย
“เป็นเช่นนั้น ปั้นฉินกำชับข้าว่า ให้พูดกับท่านแค่เรื่องจำ เป็น
เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง” หลี่ต้าเสาอธิบาย มือไม้อยู่ไม่สุข พลาง
ถอนหายใจ “แต่ข้าอดไม่ได้ที่จะต้องพูด แม่นางเฉิงเป็นคนดีจริงๆ
นะท่าน”หันหยวนเฉายิ้มร่าพลางหยักหน้า
“เป็นอย่างเจ้าว่า” เขาเอ่ยต่อ “นางเป็นคนดี”
หลี่ตาเสาเหลือบมองเขาอีกครั้งก่อนจากไป แต่ไม่วายก็หยุด
เดินแล้วหันกลับมาอีกรอบ
“ข้าลืมเสียสนิทเลย” หลี่ต้าเสารีบเดินกลับมาที่เขา พลางยืน
มือออกไป “ท่านชายหันผู้มีพระคุณ ปั้นฉินบอกว่าบุญคุณระหว่าง
นางกับท่านเองต้องมีวันจบสิ้น แถมนางยังบอกอีกว่าอุดมการณ์ของ
ท่านกับนางไม่ตรงกัน ดังนั้น ขอให้ท่านนำคัมภีร์หลุนอวี่คืนให้กับ
นางด้วย”
หันหยวนเฉาละห้อยละเหี่ยใจ
แม่หญิงพวกนี้ จริงๆ เลยนะ….
… “
ช่วงนี้คงไม่มีใครกล้าใส่ร้ายป้ายสีเจ้าแล้วล่ะ”
ช่วงบ่ายแก่ในฤดูหนาว เฉิงเจียวเหนียงกับท่านชายฉินสิบ
สามกำลังนั่งหัวเราะร่วนด้วยกันในห้อง
“ก็ข้าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าแต่แรกนี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยท่านชายฉินสิบสามยิ้มย่อง พลางกระดกน้ำชาในแก้วจน
เกลี้ยง
“ถ้าเกิดว่า หลี่เม่าไม่ได้ประดิษฐ์กระสุนหินออกมาล่ะ” เขาเอ่ย
ถามขึ้น
เรื่องที่หลี่เม่าประดิษฐ์กระสุนหินเพราะได้แรงบันดาลใจจาก
ดอกไม้ไฟของเฉิงเจียวเหนียง คงพอตอกกลับคำสบประมาทของ
เฝิงหลินได้บ้าง
ดูเผินๆ อาจจะไม่ได้มีความเกี่ยวโยงอย่างใดแต่กลับมีส่วน
เอี่ยวด้วย สอดคล้องกับประโยคที่ว่า คนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังเก็บมา
ใส่ใจ คนทำไม่ได้ตั้งใจ คนมองกลับเอามาใส่ใจ
ถึงว่าเฝิงหลินจึงบอกว่าช่างบังเอิญเสียจริง ก็เป็นเรื่องที่บังเอิญ
จริงๆ นั่นแหละ
แล้วสมมติว่า กระสุนหินไม่ได้ถูกทำขึ้นมาล่ะ หรือไม่ก็ ถ้าหลี่
เม่าไม่ได้ออกมาบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากดอกไม้ไฟของนาง
ล่ะ อย่างไรเสีย ตบมือข้างเดียวคงไม่ดังอยู่แล้ว
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา“โลกนี้ไม่มีเรื่องสมมติว่าหรอก” นางเอ่ย “หยุดคิดได้แล้ว”
โลกนี้ไม่มีเรื่องสมมติว่าหรอก
สมมติว่า ข้าไม่ได้ให้เจ้ารักษาขาของข้า เจ้าจะรับคำ
ขอแต่งงานจากข้าหรือไม่
ท่านชายฉินสิบสามจ้องมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา
“ถ้าเจ้ารู้กฎของข้า เจ้ายังอยากจะให้ข้ารักษาขาของเจ้าอยู่
หรือไม่”
“ข้าถึงได้บอกไง ว่าอย่าไปมัวกังวลเรื่องที่ผ่านมาแล้ว โลกนี้ไม่
มีเรื่องสมมติว่าหรอก สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วก็คือเกิดขึ้นแล้ว”
เพราะว่าไม่มีเรื่องสมมติ ดังนั้น ก็คงไม่มีหวัง
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเจื่อนๆ พลางก้มหน้าจิบชาต่อ เก็บ
ความรู้สึกเสียดายไว้ข้างใน
แม่หญิงคนนี้นี่ จริงๆ เลยนะ