พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 493 มิใช่ (1)
ปั้น
ฉินเร่งไฟในตะเกียง ห้องจึงอุ่นขึ้นกว่าเดิม
“ข้าพูดผิดไปน่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ยืนตรงทางเดินหน้าประตูยิ้มเจื่อน
“ข้าจะเรียกเจ้าว่าเฉิงฝั่งต่างหาก”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
“ทางผ่านน่ะ ข้าเลยจะเข้ามาทักทายเจ้าเสียหน่อย ไม่ได้
มีอะไรเป็นพิเศษหรอก” จวิ้นอ๋องยิ้มเขินๆ “เดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องคลางแคลงใจจึงเอ่ย
ถาม
“ก็มีนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จวิ้นอ๋องพยักหน้า“จริงสิ” เฉิงเจียวเหนียงนึกอะไรขึ้นได้ “ท่านเป็นคนปล่อยข่าว
ใช่ไหม เรื่องที่ไปทูลฝ่าบาทว่าข้าเป็นคนทำขนม”
อ้อ ที่แท้นางข้องใจเรื่องนี้นี่เอง
จวิ้นอ๋องถอนหายใจเล็กน้อย อย่างน้อยก็ได้รู้ว่านางกังวลเรื่อง
อะไร
“ข้าไม่ได้เป็นคนพูด ก็วันนั้นเจ้ายังเป็นคนบอกเองว่าขนมนั่น
มันหวานเกินไป ข้าเลยให้คนครัวเอาไปปรับแก้ ข้าเลยบอกกับฝ่าบา
ทว่าขนมนั่นเจ้าเป็นผู้ชี้แนะ” เขาอธิบาย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ารับรู้
“ที่เจ้าโกรธก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามด้วย
ความสงสัย
“ไม่ใช่เสียหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
จวิ้นอ๋องมองนาง
“เฉิงฝั่ง” เขาเอ่ยแล้วยื่นมือไปตบเบาๆ ที่แขนของนาง แล้วรีบ
ชักมือกลับ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา“อย่าทุกข์ใจไปเลย” เขาเอ่ย
“ข้ามิได้เป็นอะไร” เฉิงเจียวเหนียงบอกปัด
นางไม่ได้ตอบเขาว่าไม่ทุกข์ใจ เพียงแต่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร
นั่นก็หมายความว่า นางมีเรื่องทุกข์ใจ แต่เลือกที่จะทนต่อไป
เขามองไปยังหญิงสาวที่ออกมายืนคำนับเพื่อส่งเขา จากนั้น
เขาก็ปลดม่านในรถม้าลง
รถม้าที่เคลื่อนตัวนั้นสั่นไปมา
นางอาภัพนัก ครั้นจะได้พบกับญาติพี่น้องแต่ดันมาเสียชีวิตใน
สงคราม แถมยังสร้างชื่อไว้ให้ตระกูล แต่ก็ดันถูกเฝิงหลินสกัดดาวรุ่ง
ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีก็ตาม แต่
ถ้าเลือกได้ก็คงไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแต่แรก
ถึงแม้วันนี้อากาศขมุกขมัว แต่บนถนนก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน ถึง
แม้จะเงียบไปนิด แต่ก็ยังมีความรื่นเริงอยู่บ้าง
จิ้นอันจวิ้นออกดึงม่านรถขึ้น
ใกล้ช่วงสิ้นปี บรรยากาศในเมืองหลวง ร้านค้าบนถนนต่างพา
กันแขวนโคมไฟ พอตกกลางคืนแสงไฟก็ส่องสว่างระยิบระยับไปทั่วตอนกลางวันก็สวยไม่แพ้กัน
บรรดาหญิงสาวบนถนนต่างพากันสวมใส่อาภรณ์สีแดงสีเขียว
กำลังยืนอยู่ในร้านๆ หนึ่งแล้วหัวเราะ หน้าตาแลดูสดใส
แต่กลับกัน คนอย่างนางไม่เคยจะได้มีเสียงหัวเราะเช่นนั้นเลย
เพราะเรื่องอะไรต่อมิอะไร ไม่เคยทำให้นางได้มีเวลาสุขสันต์
กับเขาเลยสักครั้ง
จวิ้นอ๋องก้มหัวลง พลางคิดว่าควรทำอะไรซักอย่างให้นาง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกระแอมขึ้น ขันทีที่นั่งอยู่หน้ารถจึงหันเข้ามา
“เข้ามาสิ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องกวักมือเรียก
ขันทีรีบเข้ามาหาเขา
“หากเจ้ามีเพื่อนที่กำลังไม่สบายใจอยู่ เจ้าจะทำอย่างไรให้
เพื่อนของเจ้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
ขันทีสะดุ้งกับคำถาม
“ข้าน้อยคงให้เงินกับเขาขอรับ” ขันทีให้คำตอบด้วยความ
หวั่นเกรง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเป่าปากคนอย่างนางหรือจะสนใจเงินทอง!หรือแม้กระทั่งจะติดสินบน
เอาเถิด เขาจะคาดหวังอะไรจากพวกขันทีเหล่านี้กันล่ะ!
ความสุขของพวกเขาอย่างไรเสียก็คงไม่พ้นเรื่องเงินทองอยู่แล้วนี่!
“เจ้าไปเถอะ” เขาโบกมือไล่อย่างไม่สบอารมณ์
รถม้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องเคลื่อนไปข้างหน้าตามเดิม
หอฟ้าของสำ นักโหรหลวง ตะเกียงไฟถูกจุดขึ้นท่ามกล่าง
อากาศหนาว มีขุนนางราชสำ นักบางส่วนนั่งอยู่ด้านใน กำลังกินดื่ม
อย่างสำ ราญ
ประตูถูกเปิดออก ลมหนาวที่พัดเข้าห้อง ความรู้สึกเย็นวาบ
เริ่มแผ่ซ่าน พวกเขารีบวางถ้วยเหล้าลง แล้วรีบไปดูเครื่องสังเกตุ
การณ์ท้องฟ้า
“ใต้เท้า”
ต้นเสียงเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เป็นเสียงของศิษย์หนึ่งที่เดินเข้ามารายงานสภาพการณ์
จากนั้นก็นั่งลงตามอำเภอใจ แล้วยกถ้วยเหล้าขึ้น“มีเรื่องอันใดงั้นรึ ข้าเคยพูดไว้มิใช่หรือว่าไม่ให้เข้ามา”
ราชสำ นักนายหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
ศิษย์ผู้นั้นรีบโค้งคำนับขอโทษ
“ใต้เท้า เมื่อครู่ข้าเหมือนจะเห็น บางอย่าง” ศิษย์ผู้นั้นเอ่ย
อย่างตะกุกตะกัก
“เห็นอะไรล่ะ” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจออะไร
ก็บันทึกไว้สิ”
“ข้าเห็น ดาวศุกร์…” ศิษย์ผู้นั้นเอ่ยตอบ
สิ้นคำเมื่อครู่ ขุนนางที่กำลังดื่มเหล้าอยู่แทบจะพุ่งออกมาจาก
ปาก
ดาวศุกร์งั้นรึ !
พวกเขารีบวิ่งขึ้นไปที่บนหอสังเกตการณ์ ท่ามกลางอากาศ
หนาวเย็นในช่วงบ่ายแก่พวกเขาขยิบตามองขึ้นไปบนฟ้า
แต่วันนี้เป็นวันฟ้าปิดนะ
พวกเขาพยายามยืนมองอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่พบเจออะไร“นี่เจ้ากล้าล้อเล่นกับพวกข้างั้นหรือ” พวกขุนนางถอนหายใจ
เฮือกพลางหันไปค้อน
ศิษย์หน้าถอดสี
“แต่ข้ามองเห็นจริงๆ เมื่อครู่นี้เลย อาจจะหายไปแล้วก็ได้…”
ศิษย์ยังคงยืนหยัดในสิ่งที่เห็น แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกพวกขุนนาง
เอ่ยแทรกขึ้น
“ยังจะกล้ามาพูด!” เหล่าใต้เท้ากัดฟันพูด “เจ้ารู้ไหมว่ากำลัง
พูดอะไรออกมา”
“ดาวศุกร์โผล่มางั้นหรือ เจ้ากล้าพูดอะไรเช่นนี้ออกมาได้
อย่างไร” ใต้เท้าอีกคนดุเสียงเบาๆ
ใต้เท้าอีกคนตบไปที่ศิษย์หนึ่งที
“ยังจะมาพูดอีก!” ใต้เท้าเอ่ยอย่างโมโห
เขาไม่พูดอะไรต่อ พลางมองขึ้นไปบนฟ้า
“พวกเราลองมองดูดีๆ อีกครั้ง ถ้าพบก็คือพบ ไม่พบก็คือไม่พบ
สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาตัวเองเห็น” เขาเอ่ยขึ้น พลางมองค้อนศิษย์คน
นั้นเขายืนห่อตัวด้วยความกลัว
พวกขุนนางเพ่งมองท้องฟ้าอีกครั้ง ก็ไม่พบดาวที่ว่าแต่อย่างใด
พลางถอนหายใจเฮือก
“เพิ่งเข้ามาศึกษาไม่นานก็เริ่มเหลวไหลแล้วรึ!” พวกเขาเริ่มบ่น
“งานสังเกตการณ์ท้องฟ้า ต้องละเอียดรอบคอบ จะมาทำเล่นๆ
ไม่ได้ เจ้าต้องระวังคำพูดเจ้าด้วย”
ศิษย์ก้มหน้าเอ่ยตอบ
“แยกย้ายกันเถิด อากาศปีนี้ชักจะหนาวเข้าไปทุกที”
“คืนนี้ใครเฝ้าดูดาวกันล่ะ”
“ใครดูก็เหมือนกันแหละ วันนี้ฟ้าปิด ไม่มีอะไรให้ดูหรอก”
พวกเขาต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน แล้วรีบเอาเสื้อผ้ามาห่อตัว
แล้วรีบเดินลงไป
ศิษย์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหอฟ้า ก็เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
ฟ้าเริ่มมืดลง อีกทั้งมีเมฆหนาตาบดบังท้องฟ้า
“หรือว่าข้าตาฝาดไปนะ” เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยในตัวเอง
แต่ว่า…“ฟู่จือ”
เสียงแหลมสูงเรียกดังขึ้น
ศิษย์ผู้นั้นรีบหันไปทางต้นเสียง พบว่าด้านล่างหอฟ้า
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งโบกมือให้เขา
“รีบไปกันเถอะ” เด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ย พลางทำท่าดื่มเหล้า “ไป
ทำร่างกายให้อุ่นกันเถอะ”
ศิษย์นิ่งอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ส่ายหัว
“วันนี้ข้าต้องดูดาว คงไปดื่มกับเจ้าไม่ได้” เขาเอ่ย พลางชี้นิ้ว
ขึ้นฟ้า
วัยรุ่นคนนั้นตกใจ พลางมองขึ้นไปบนฟ้า
“วันนี้ฟ้าปิด มีอะไรให้ดูด้วยหรือ” เขาเอ่ยอย่างงงงวย
ศิษย์โบกมือไล่เขา เขาจึงเดินออกไป
“ท้องฟ้าวันนี้ก็ดูดีนี่นา” ศิษย์พึมพำกับตนเอง แล้วแหงนมอง
ฟ้า
คืนวันฟ้าปิดท้องฟ้าแลดูหม่นๆ ไม่เผยดาวให้เห็นแม้แต่ดวง
เดียวขณะเดียวกัน ณ ลานในเรือนตระกูลเฉิง ไฟตะเกียงเริ่มมอดลง
คนส่วนใหญ่เริ่มเข้านอนกันแล้ว
ด้านหลังเรือนปั้นฉินได้ปูเสื่อเตรียมไว้ เฉิงเจียวเอนกายนอนลง
บนเสื่อ พลางมองไปยังท้องฟ้า
ปั้น
ฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอาผ้าห่มหนา
มาคลุมให้เฉิงเจียวเหนียงอีกชั้นเพื่อกันความหนาว
“นายหญิง ห่มผ้าอีกชั้นเถิดเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยเสียงอ่อน
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ พลางยื่นถ้วยเหล้าให้ “ริน
เหล้าให้ข้าที”
ปั้น
ฉินขานรับ พลางวางผ้าห่มลงแล้วรินเหล้า มองดูเฉิงเจียว
เหนียงที่จิบเหล้าพลางมองไปยังท้องฟ้า