พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 494 มีคำถาม
“เชิญทางนี้ขอรับท่าน”
กัวหย่วนกวาดสายตาไปรอบๆ
ประตูถูกเปิดออก เขาเดินก้มหน้าตามไปติดๆ
“นั่งลงก่อนสิ”
เสียงชายหนุ่มดังขึ้น
กัวหย่วน หย่อนตัวนั่งลง เขาไม่กล้าเงยหน้าสบตา สายตาของ
เขามองเห็นแค่พื้นลวดลายปราณีตเบื้องล่าง
“เจ้าเป็นศิษย์ประจำ หอสังเกตการณ์ นามว่ากัวฟู่จือใช่หรือไม่”
กัวหย่วนโค้งคำนับแล้วขานรับ
“เจ้าคำนวณได้ว่าจะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นใช่หรือไม่”
กัวหย่วนนิ่งไปชั่วครู่ พลางนึกไปยังตอนที่ถูกเหล่าขุนนางต่อว่า
เสียจนไม่เหลือชิ้นดี แถมยังกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ผิด‘เจ้าเพิ่งเข้ามาเรียนรู้ได้ไม่กี่วันเอง!สุริยวิถี จันทรวิถี
เจ้าคำนวณได้เองแล้วหรืออย่างไร’
‘ข้าน้อย พอรู้บ้าง…’
‘พอรู้บ้างงั้นเรอะ!หัดเจียมตัวซะบ้าง!’
อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ได้
“ไม่เป็นไร เจ้าพูดมาเถอะ เจ้าพูดมา ข้ารับฟัง”
กัวหย่วนกัดฟันแน่น
“ขอรับ ข้าคำนวณได้ว่าวันที่สิบห้าจะปรากฏจันทรุปราคา”
เขาอธิบาย “แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าข้าจะคำนวณผิด ข้าเองก็ไม่รู้
เหมือนกัน”
“ไม่รู้งั้นหรือ” เสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “ก็ไม่เป็นไรนี่นา เดี๋ยวเรา
จะไปถามมาให้ หากเราได้คำตอบแล้วจะมาบอกนะ”
ถามมาให้งั้นหรือ
ถามใครกันล่ะ
กัวหย่วนจู่ๆ ตงิดใจบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมาดูต้นเสียง จึงได้
เห็นว่าเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมชุดปักตัวยาวกำลังก้าวเท้าเดินออกไป ชายเสื้อของเขาที่สะท้อนระยิบระยับช่างเตะตาเขาเหลือเกิน
กัวหย่วนที่ยืนอึ้งอยู่ก็หันไปมองโต๊ะอาหารที่วางไว้ตรง
เบื้องหน้า
อาหารพวกนี้ช่างดูละลานตาเหลือเกิน
เขาเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อมาเป็นศิษย์ประจำ หอ
สังเกตการณ์นี้เป็นเวลาสามปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอาหาร
หน้าตาน่าทานเช่นนี้
สถานที่โอ่อ่าเช่นนี้ เข้าเองก็เพิ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรก
ว่าไปแล้ว ชายคนเมื่อครู่จ่ายเงินค่าอาหารไปแล้วหรือยังนะ…
ในขณะที่กัวหย่วนกำลังตื่นตาตื่นใจกับอาหารตรงหน้า จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องก็เดินไปขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อย
“ฝ่าบาทจะเสด็จไปถามแม่นางเฉิงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขันที
เอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องปรายตามองขันที
“แน่นอนอยู่แล้ว” พลางยิ้มกริ่ม “แต่ไม่ใช่ตัวข้าเองที่จะเข้าไป
ถาม”ขันทีเมื่อได้ยินเข้าก็รีบพยักหน้าตอบรับ
ต้องหยิบยื่นความฉลาดให้ผู้อื่นสิถึงจะสมกับเป็นคนฉลาดที่
แท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนฉลาดผู้นั้นก็คือฮ่องเต้
ช่วงนี้มีแต่เรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น ความวุ่นวายในวังก็เหมือน
จะลดลงไปบ้าง นานๆ ครั้งฮ่องเต้จะได้อยู่อย่างสงบ
“ฝ่าบาทเสด็จไปหาพระสนมอันดีไหมขอรับ ช่วงนี้นางมิค่อย
ได้เสวยอาหารเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยถามฮ่องเต้
ฮ่องเต้พยักหน้ารับ
“แล้วเหตุใดนางเป็นเช่นนั้นละ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม “เรียกหมอให้
เข้าไปดูด้วย”
ขันทีขานรับ
“แล้วก็เรียกนางรำไปให้ความบันเทิงแก่นางด้วย” ฮ่องเต้
มีรับสั่งทันที “เรียกไปพร้อมๆ กันนั่นแหละ เราเองก็จะไปหานางด้วย
เช่นกัน”ขันทีอมยิ้มพลางขานรับ แล้วก้มหน้าเดินถอยออกไป จังหวะ
ขันทีกำลังถอยอยู่นั้นก็ได้ชนเข้ากับใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามา
พอดี ขันทีตกใจจนเผลอร้องออกมา ในใจพลางคิดจะหันไปต่อว่า
เสียหน่อย แต่พอหันไปดูให้ชัดๆ ว่าเป็นใคร เขาก็รีบโค้งคำนับแทบ
ไม่ทัน
“ฝ่าบาท” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ฮ่องเต้เงยหน้ามองต้นเสียง เห็นจวิ้นอ๋องโบกมือให้กับขันที
แล้วรีบเดินมาหาเขา
ไม่ได้เจอหน้าคร่าตาอยู่หลายวัน เมื่อได้เจอกัน รอยยิ้มก็
ปรากฏบนใบหน้าฮ่องเต้
“เหตุใดมาไม่บอกไม่กล่าวเล่า เจ้าไม่กลัวโดนต่อว่ารึ” ฮ่องเต้
เอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องสีหน้าไม่เหมือนแต่เดิมที่มักจะยิ้มแย้มอยู่ตลอด
ครานี้เขาดูจริงจังหนักแน่นเป็นพิเศษ
“ฝ่าบาท” จวิ้นอ๋องโค้งคำนับ พลางมองซ้ายขวา
“มัวทำอะไรอยู่นั่น” ฮ่องเต้หัวเราะ“ฝ่าบาท” จวิ้นอ๋องกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ พลางเอ่ยกระซิบข้างหู
ฮ่องเต้
ฮ่องเต้หัวเราะร่วนพลางตบไปที่แขนของเขา
“เกิดเป็นบุรุษไม่ควรทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน รีบ
นั่งลงเสีย” ฮ่องเต้เอ็ด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องย่อตัวนั่งลงข้างๆ ฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคง
สีหน้าจริงจังตามเคย แล้วเขาก็ค่อยๆ เอ่ยกับฮ่องเต้
ท่าทางของจวิ้นอ๋องทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสนใจไม่น้อย
“ว่าอย่างไรนะ” เขาถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกระเถิบเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“ข้าได้ยินมาว่า จะเกิดจันทรุปราคาขึ้น” เขาเอามือป้องปาก
พลางเอ่ยกระซิบ
ฮ่องเต้ตกใจ
“จันทรุปราคางั้นรึ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
จวิ้นอ๋องสะบัดมือให้ฮ่องเต้อย่างตื่นตูม“ฝ่าบาท เบาๆ สิ” เขากระซิบเตือนฮ่องเต้
ฮ่องเต้รู้สึกสงสัยก็จริง แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้
“นี่ตำหนักข้าเอง ยังต้องกลัวใครอีกหรือ” ฮ่องเต้เอ่ย พลาง
กวาดสายตามองไปยังขันทีที่ยืนอยู่รอบๆ “หวังไหลกุ้ย เจ้าปากหนัก
หรือไม่”
ขันทีที่ชื่อว่าหวังไหลกุ้ยมิได้เอ่ยอะไรออกมา เขามองไปที่
ฮ่องเต้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก้าวเท้ามาด้านหน้า
“ฝ่าบาทกำลังพูดอยู่กับข้าน้อยหรือขอรับ” เขาฉงน “ข้าน้อย
ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะร่วน
“ฝ่าบาท นี่มิใช่เวลาเล่นสนุกนะ” จวิ้นอ๋องเอ่ย
“เจ้าไปได้ยินจากไหนล่ะ” ฮ่องเต้ถาม ทียิ้มทีขรึม พลางคิด
เหตุใดเรื่องบางเรื่องคนอื่นรู้ล่วงหน้าเขาไปแล้วเสียอย่างนั้นล่ะ
แต่อย่างไรเสีย ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด ในฐานะฮ่องเต้ บางครั้ง
สิ่งที่ได้ฟังได้รู้มานั้น ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนอยากให้เขาได้ยินได้ฟังก็
เท่านั้นเองขันทีรีบก้มหน้าหลบตาต่อ
“ช่วงนี้ข้าเรียนรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์มา” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่าง
หนักแน่น
ฮ่องเต้พ่นเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“อ้อ เจ้าสนใจเรื่องดวงดาวแล้วงั้นรึ” ฮ่องเต้เอ่ย
ตั้ง
แต่เด็กจนโต จวิ้นอ๋องมิเคยตั้งหน้าใฝ่เรียนเลยสักครั้ง เรียน
ภูมิศาสตร์สามวัน อีกสองวันก็หันไปสนใจหมากเพลงบรรเลงต่างๆ
นานา ไม่แปลกใจที่เขาเรียนไม่ค่อยเก่งนัก
แต่ก็เป็นเพราะตามใจมากไปนั่นแหละ
“เหตุใดจึงสนใจเรื่องดวงดาวเล่า” ฮ่องเต้หัวเราะพลางเอ่ย
ถาม
“ก็เพราะว่าสนุกไงอย่าไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอ๋องตอบแบบ
ขอไปที
สนุกงั้นรึ เห็นทีเป็นเพราะอิทธิพลของแม่นางเฉิงเสียมากกว่า
ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรก็คอยเอ่ยถึงนางทุกครั้ง ไม่ว่านางจะสนใจ
เรื่องอันใด จวิ้นอ๋องก็มักจะคล้อยตามนางตลอดมิเช่นนั้นคงไม่เข้าไปวุ่นวายกับขนมที่ส่งมาให้ครั้งก่อนหรอก
อีกสักพักก็คงจะหมักเหล้าเองเป็นแล้วกระมัง
นี่มันใช่เรื่องที่ชายชาตรีเขาทำกันเสียที่ไหน!
“ยังจะมาล้อเล่นอีก” ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ข้าให้เจ้าอยู่นอกวังก็จริง
แต่ใช่ว่าจะคลาดสายตาไปได้ แล้วเรื่องเรียน
หนังสือเล่า เจ้าจะละทิ้งแล้วอย่างนั้นรึ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเริ่มทำตัวไม่ถูก ได้แต่เอามือลูบจมูกตนเอง
แก้เขิน
“ฝ่าบาท” จวิ้นอ๋องเริ่มลนลาน “นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเรื่องนี้
แต่อย่างใด ข้ากำลังพูดถึงจันทรุปราคา ข้าส่งคนไปหอสังเกตการณ์
เพื่อถามถึงเรื่องปฏิทินดวงดาว คนของข้าบอกว่าคนที่นั่นกำลัง
ถกเถียงเรื่องนี้กันอยู่ เพราะมีคนคำนวณได้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์
ขึ้น แต่ก็มีคนบอกว่าการคำนวณนั้นมีข้อผิดพลาด ตอนนี้ยัง
ไม่มีข้อสรุปอย่างใด”
ที่แท้เรื่องเป็นแบบนี้เอง ฮ่องเต้ถอนหายใจพลางส่ายหัว“แล้วเจ้าไปฟังคนพวกนั้นได้อะไรขึ้นมา สภาพมันก็เป็นเช่นนั้น
อยู่แล้วมิใช่รึ พวกขุนนางที่หอสังเกตการณ์วันๆ ก็แต่ด่าทอต่อว่ากัน
ไปมา ไม่เรื่องปฏิทินดวงดาว ก็เรื่องท้องฟ้าอากาศ แล้วอย่างไรต่อ
เล่า” ฮ่องเต้สาธยายต่อ “ข้าเองก็มิได้คาดหวังว่าคนพวกนั้น
จะคำนวณอะไรออกมาได้ ขอแค่ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายที่กระทบกระทั่ง
ในนามฮ่องเต้ เท่านี้ก็ดีเกินพอแล้ว”
“แต่ว่า ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ใบหน้าแลดูสดชื่นขึ้นทันตา “พวกนั้นไม่เก่งพอก็จริง แต่ข้ารู้ว่ามีคน
ที่เก่งพออยู่คนนึง”
ฮ่องเต้แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าเขาหมายถึงใคร
“เหว่ยหลัง” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เจ้าอยากแต่งงานแล้วรึ
”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตะลึงกับคำถามฮ่องเต้ไปชั่วครู่ แล้วรีบส่ายหน้า
ทันที
ฮ่องเต้หรี่ตามอง
“เหว่ยหลัง เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ” ฮ่องเต้เอ่ย“แต่ชิ่งอ๋องยังเด็กอยู่นี่ขอรับ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยตอบ
ฮ่องเต้นิ่งไปชั่วครู่
“ชิ่งอ๋องยังเด็กนัก เขายังต้องการข้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยต่อ
“ข้าเองก็ไม่อยากให้เขาไปสร้างความลำบากให้ผู้อื่น แล้วก็ไม่อยาก
ให้ผู้อื่นมาทำร้ายเขาเช่นกัน”
ฮ่องเต้ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ต่อให้เขาอายุมากขึ้น ก็คง…ไม่ได้ต่างจากเดิมไปมากกว่านี้
หรอก” ฮ่องเต้เอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจู่ๆ ก็ทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“แต่ก็ไม่แน่นะขอรับ” เขาเอ่ยอย่างมีความหวัง
ดูท่าแล้วคงจะไม่หมดหวังไปง่ายๆ สินะ
ฮ่องเต้ถอนหายใจอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปหาไทเฮาเถิด” ฮ่องเต้บอกกับเขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงคำนับทูลลา แล้วเดินออกไป
“ฝ่าบาท ยังไปตำหนักพระสนมอันหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ย
ถามเบาๆฮ่องเต้วางมือบนโต๊ะ พลางคิดตัดสินใจ
“ไม่แล้ว ส่งนักร้องนางรำไปที่ตำหนักนางแล้วกัน” เขาสั่ง
ขันทีขานรับ
จันทรุปราคางั้นหรือ…
ปีนี้มีสุริยุปราคาเกิดขึ้นแล้ว หากตามมาด้วยจันทรุปราคาอีก
ล่ะก็ คงจะ…
ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม
คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกกระมัง
“ตามคนมาที” ฮ่องเต้ตัดสินใจออกคำสั่ง
ขันทีนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา
“ไปเชิญแม่นางเฉิงเข้ามาในวัง” ฮ่องเต้สั่ง
ในขณะที่ขันทีที่เพิ่งได้รับคำสั่งกำลังส่งต่อข้อมูลอย่างดีอกดีใจ
กลับถูกขัดคอด้วยเสียงบ่นของเฉินเซ่า
“ผู้ใดมีเรื่องกับนางอีกงั้นรึ หรือว่านางจะถูกแต่งตั้งให้เป็น
ขุนนางแล้ว”
เฉินเซ่าเอ่ยอย่างไม่พอใจขันทีที่กำลังตกอกตกใจอยู่นั้นรีบส่ายหัว
“ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น แล้วเหตุใดฮ่องเต้จึงเรียกนางเล่า” เฉินเซ่า
เอ่ยถาม
“ฝ่าบาทมีคำถามจะถามนางขอรับ…” ขันทีเอ่ยตอบอย่างกลัว
ๆ
“เรื่องงานหลวงงั้นรึ ก็มีเหล่าขุนนางคอยให้ถาม ถ้าเป็น
เรื่องส่วนตัว พวกราชสำ นักก็น่าจะช่วยได้อยู่แล้ว” เฉินเซ่ารีบ
ถามต่อ “แล้วเหตุใดฝ่าบาทต้องเรียกนางมาด้วยล่ะ”
ขันทีตกใจเสียจนตัวหดไปหมด พยายามหลีกเลี่ยงด้วยการ
ค่อยๆ เดินย่องออกไป
“ถ้าฝ่าบาททำตัวไร้สาระเช่นนี้ แล้วเหตุใดพวกเจ้าไม่เตือน
ฝ่าบาท”
ขันทีที่รีบเดินออกไปนั้นไม่สนใจคำของเฉินเซ่า รีบวิ่งไปให้ไกล
เขาแบบไม่หันกลับ
เมื่อเห็นขันทีวิ่งหนีตน เฉินเซ่าก็ยิ่งรู้สึกโมโหขนาดขุนนางที่เข้าใกล้หรือมีท่าทีสนิทฮ่องเต้เกินหน้าเกินตายัง
ถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่งาม แล้วนับประสาอะไรกับสตรีธรรมดาคน
หนึ่ง!
แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่
เรื่องดีแต่อย่างใด
ฮ่องเต้เองก็จนใจ ราชสำ นักมีกฎระเบียบอยู่แล้ว เขาเองก็พูด
อะไรได้ไม่มากเช่นกัน
ฮ่องเต้เองก็ไม่อยากให้เลยเถิดจนถึงขั้นที่เฉินเซ่าขอลา
ออกจากราชสำ นัก
ว่าไปแล้ว คนที่อุปนิสัยซื่อตรงระดับเฉินเซ่ายัง
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะขอลาออก…
เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยนจริงๆ สินะ
ฮ่องเต้เริ่มใจไม่ดี
“เราไม่ได้จะเอาผิดนาง นางเองก็ไม่ได้มียศตำแหน่งอันใด เรา
เองก็ไม่เห็นว่าจะ…” ฮ่องเต้เอ่ยไม่ทันจบ ก็ถอนหายใจออกมา แล้วตัดไปอีกประโยค “ถ้าเช่นนั้น เราว่าเราจะมอบตำแหน่งให้นาง พวก
เจ้าก็ลองดูแล้วกัน”
อย่างไรเสีย นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วในภายภาคหน้า แต่
เรื่องด่วนในตอนนี้ต้องรีบจัดการเสียก่อน
“เรียกจวิ้นอ๋องมา ให้จวิ้นอ๋องไปถามนาง” ฮ่องเต้เอ่ย “สงสัย
ตอนนี้จวิ้นอ๋องคงกำลังรับมือกับน้ำตาของไทเฮาอยู่ หรือไม่เช่นนั้น
ก็คงกำลังทำให้ไทเฮาร้องไห้อยู่”
น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
… “
ถามข้างั้นหรือ”
ณ เรือนตระกูลเฉิง เสียงเอ่ยถามของเฉิงเจียวเหนียงดังขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
“ฝ่าบาทต้องการทราบว่าจะมีสุริยุปราคาเกิดขึ้นจริงหรือไม่”
เขาเอ่ยถาม
สิ้นเสียงของเขา เฉิงเจียวเหนียงก็พยักหน้าตอบทันที
“เป็นเรื่องจริง” นางตอบจิ้นอันจวิ้นอ๋องนิ่งไปชั่วขณะ พลางเข้าไปพินิจนางใกล้ๆ
“เจ้า ดูเป็นงั้นหรือ” เขาถาม
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ พลางทำท่านับนิ้ว
“ดูเป็นที่ไหนล่ะ ของแบบนี้ต้องคำนวณออกมาต่างหาก” นาง
เอ่ยตอบ
“ใช้นิ้วนับเนี่ยนะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องสงสัยใคร่รู้
“ใช่เสียที่ไหนล่ะ” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว “ใช้วิธีคำนวณปฏิทิน
ตามจันทรคติสิ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าขานรับเหมือนว่าเข้าใจแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าให้คำตอบกับฝ่าบาทตามที่เจ้าเอ่ยมาเลยได้
หรือไม่” เขาเอ่ยถามนางอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ ก็ไม่ใช่เรื่องต้องปิดบังอันใดนี่ ใครๆ ก็รู้
อยู่แล้ว” นางตอบ
“ข้าเกรงว่าจะนำความลำบากมาให้เจ้าน่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะตัวงอเสียจนต้องเอามือมาห่อตัวเอง“สำ หรับตระกูลเฉิงแล้ว การดูดาวไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย และไม่
ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยเนิบๆ
นางไม่เคยปฏิเสธสิ่งใด ไม่เคยเกรงกลัว ไม่หลบหลีกภยันตราย
ใดๆ ไม่มีวันเสียหรอก